ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 3.2L Titanium+ 4x4 AT เอสยูวีพันธ์ุแกร่ง
ทีมงานเช็คราคาได้รับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ รุ่นย่อย 3.2L Titanium+ 4x4 AT ซึ่งเป็นรุ่นท็อปมาทดสอบ นับเป็นเอสยูวี (พีพีวี) พันธ์ุแกร่ง ที่ปรับโฉมแบบบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ได้สวยงามทั้งภายนอกและภายใน เสมือนใหม่หมดทั้งคัน ความโดดเด่นของ เอเวอเรสต์ ใหม่ อยู่ที่การติดตั้งระบบช่วยเหลือและเทคโนโลยีอำนวยความสะดวก ตลอดจนระบบปลอดภัยอันทันสมัย ดูล้ำหน้ากว่ารุ่นอื่นในคลาสเดียวกัน แต่การใช้งานจริงทั้งในและนอกเมือง
3.2L Titanium+ 4x4 AT ตอบสนองได้ดีแค่ไหนติดตามจากรีวิวนี้ เส้นทางการขับตลอดระยะเวลา 4 วัน เป็นการผสมผสานการใช้งานทั้งในและนอกเมือง โดยในเมืองขับเหมือนการใช้งานในชีวิตประจำวันจริง โดยขับไป-กลับจากถนนแจ้งวัฒนะ - บางรัก - ชิดลม - สีลม - แจ้งวัฒนะ และนอกเมืองไป-กลับ กรุงเทพฯ - ระยอง รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 888 กม.
การขับบนเส้นทางออฟโรดเต็มไปด้วยความมั่นใจ เอเวอเรสต์ พาครอบครัวลุยได้ทุกเส้นทาง ทำให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดของรถยนต์นั่งทั่วไป แม้เจออุปสรรคบ้าง แต่การมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ Terrain Management System ก็ทำให้เราอุ่นใจตลอด ภายนอกรุ่น
3.2L Titanium+ 4x4 AT ดูบึกบึนแข็งแกร่งลงตัวที่สุด ยิ่งได้ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว นับว่าใหญ่สุดในบรรดาเอสยูวี-พีพีวี ด้านหน้าดูแกร่ง-ดุดันด้วยทรงฝากระโปรงที่ดูหนาแข็งแกร่ง แม้ขับเร็วก็ไม่กระพือ พร้อมคงเอกลักษณ์ด้วยกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูให้อารมณ์ฟอร์ด เรนเจอร์ ขณะที่บางยี่ห้อผลิตเอสยูวี-พีพีวี แต่พยายามออกแบบด้านหน้ารถใหม่หมด เพื่อให้ฉีกหนีจากรูปลักษณ์กระบะของตน รุ่นนี้ได้ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ HID ปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติพร้อมที่ฉีดทำความสะอาด ไฟท้ายพร้อมแอลอีดีดูพรีเมียมมากขึ้น ฟอร์ด เอสเวอเรสต์ ใหม่ ดูลงตัวจนเหมือนเป็นเอสยูวีพันธ์ุแท้ ติดตรงด้านหน้ายังให้อารมณ์เรนเจอร์
ด้านท้ายออกแบบได้สวยงามมีเอกลักษณ์ชัดเจน
แผ่นพลาสติกแต่งข้างรถคล้ายช่องระบายอากาศ บ่งบอกความแรงระดับ 3.2 ลิตร
ภายในห้องโดยสารของ
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 3.2L Titanium+ 4x4 AT นับว่าหรูหรา พรีเมียมที่สุดในคลาสเดียวกัน จนรู้สึกเหมือนนั่งในรถราคาดับ 2-3 ล้าน การออกแบบแผงคอนโซลสวบงาม และใช้วัสดุสัมผัสนุ่มหลายจุด น่าเสียดายที่ไม่มีปุ่มสตาร์ต-สต็อป แต่ให้ใช้กุญแจบิดหมุนสตาร์ตเหมือนรถทั่วไป และเบรกมือยังเป็นแบบด้ามจับแทนที่จะเป็นแบบไฟฟ้า แต่การมีจุดเด่น เช่น ประตูท้ายรถเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า, ภายในมีช่องเก็บของกว่า 30 จุด, ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า 12 โวลต์ ทั้งด้านหน้า-หลัง พร้อมปลั๊กไฟเอซี 230 โวลต์ และหลังคาพาโนรามิค มูนรูฟ ที่เลือกปรับได้แบบครึ่งหรือเต็ม ส่วนเบาะนั่งแถวสามปรับขึ้น-ลงแบบไฟฟ้า ให้ความสะดวกเมื่อต้องปรับจากฝาท้าย และเมื่อพับราบทั้งเบาะแถว 2-3 จะบรรทุกสัมภาระได้กว่า 2,010 ลิตร รับน้ำหนักได้กว่า 750 กิโลกรัม ภายในเน้นครีม หรือ เบจ ต้องดูแลรักษามากกว่าเบาะสีเข้ม เบาะแถวสามถ้านั่งยาวๆ เหมาะกับเด็กเล็ก-โตมากกว่า ด้านหลังยังมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้จริงจัง หลังคาพาโนรามิค มูนรูฟ ให้ผู้นั่งเบาะแถวสองและสาม มีอะไรดูมากกว่าที่เคย รุ่น | 2.2L Titanium | 3.2L Titanium | Titanium+ |
แบบเครื่องยนต์ | ดีเซล 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ | ดีเซล 5 สูบแถวเรียง 20 วาล์ว เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ |
ปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี) | 2,198 | 3,198 |
ระบบเกียร์ | อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์ แบบธรรมดา | อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์ แบบธรรมดา |
กำลังสูงสุด (PS) | 160 ที่ 3,200 รอบ/นาที | 200 ที่ 3,000 รอบ/นาที |
แรงบิดสูงสุด (Nm) | 385 ที่ 1,600 - 2,500 รอบ/นาที | 470 ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที |
ระบบขับเคลื่อน | ขับเคลื่อน 2 ล้อ | ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอัตโนมัติ พร้อมระบบTerrain Management |
เฟืองท้าย | แบบมาตรฐาน | แบบ Locking Rear Differential |
ขนาดล้อ-ยาง | 265/60 R18 | 265/60 R18 | 265/50 R20 |
การขับทดสอบ
การขับทดสอบ ผู้เขียนได้ใช้เวลากับการเดินทางในเมืองอยู่ 2 วัน เสมือนใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน โดยออกเดินทางตอนเช้าและกลับตอนค่ำ เจอกับสภาพการจราจรรถติดอย่างต่อเนื่องตลอด ความเร็วที่ใช้จึงมักไม่เกิน 60 กม./ชม. และต้องใช้ความคล่องตัวเป็นหลัก ซึ่ง
3.2L Titanium+ 4x4 AT ที่มีตัวถังขนาดใหญ่ก็สามารถฝ่าการจราจรได้อย่างสบาย ความยาวและใหญ่ของตัวรถไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้งานมากนัก เพราะมีระบบช่วยเหลือต่างๆ คอยอำนวยความสะดวก ทั้งการเตือนระยะห่างรถคันหน้า, ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ล้วนทำงานบ่อยครั้ง ผู้เขียนรู้สึกได้ว่าระบบเหล่านี้มีบทบาทและข้อดีเป็นอย่างมากเมื่อใช้งานในเมืองที่การจราจรวุ่นวาย และระบบเหล่านี้เอเวอเรสต์ก็ทำหน้าที่ได้อย่างน่าประทับใจ ด้านการใช้งานนอกเมืองได้มีโอกาสขับทางไกลไปจังหวัดระยอง โดยใช้ทางด่วนยกระดับ ต่อด้วยถนนบายพาสเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3 ไปสิ้นสุดปลายทางที่แหลมแม่พิมพ์ ช่วงการขับทางไกลทั้งไปและกลับ ผู้เขียนสามารถใช้ความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมมีโอกาสทดลองการเร่งออกตัวและเร่งแซงรถช้า ตลอดจนเข้าไปลองในเส้นทางออฟโรด ทำให้รู้สึกได้ถึงความสบายในการเดินทางไกล ช่วงล่างรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวล อาจไม่เฟิร์มแน่นเท่ากับรุ่นอื่นในช่วงทำความเร็วแบบออนโรด โดยเฉพาะการเข้าโค้งที่ใช้ความเร็วระดับ 80 กม./ชม. ขึ้นไป ตลอดจนการเหินคอสะพานแล้วลงเร็ว ยังต้องให้สมาธิในการควบคุมพวงมาลัยและชะลอเบรก แต่ถ้ามองตามลักษณะการใช้งานเน้นไปแบบครอบครัว ทำความเร็วพอประมาณ บุกตะลุยเข้าถึงได้ทุกที่ คงความสบายให้กับผู้โดยสาร เอเวอเรสต์ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะภายในถูกปรุงแต่งให้ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินไปกับระบบเอนเตอร์เทนเมนต์ สิ่งอำนวยความสะดวก และนั่งสบายภายใต้ความหรูหราได้นานๆ
การได้ขับเอเวอเรสต์บนเส้นทางออฟโรด เหมือนเราได้พามันไปถูกที่ถูกทาง มุมมองจากที่นั่งคนขับนับว่าเห็นได้ครอบคลุมชัดเจน มั่นใจในการขับผ่านสารพัดอุปสรรคกีดขวาง มั่นใจทุกเส้นทางที่ขับผ่าน ทำให้การเดินทางไปได้ไกลและสนุกกว่าที่เคย ช่วงล่างออกแบบมาลุยได้หลากหลายรูปแบบ พระเอกของ เอเวอเรสต์ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ Terrain Management System ที่สื่อสารง่ายๆ ผ่านรูป ด้านอัตราสิ้นเปลืองจากการทดสอบขับในเมืองกับขับทางไกลผสมกันได้ระยะทาง 888 กม. และมีผู้โดยสารพร้อมสัมภาระเต็มทุกที่นั่ง ทำให้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองบนหน้าจออยู่ที่ 9.0 กม./ลิตร นับว่าพอใช้ ถ้าเทียบกับกลุ่มเอสยูวี-พีพีวี ขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยกัน
เทคโนโลยีและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
เทคโนโลยีในฟอร์ด เอเวอเรสต์ อย่างระบบ SYNC นับว่าโดดเด่นมาก สามารถกดปุ่มสั่งงานด้วยเสียงได้ง่ายขึ้น แต่ยังคงใช้ภาษาอังกฤษ ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็มีให้ครบครัน เช่น จอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว, แผงควบคุมแอร์ปรับแยกหน้า-หลัง, ช่องไฟและปลั๊ก AC 220v ให้ความสะดวก ใช้งานได้เลย ด้านระบบเครื่องเสียงภายในรถสามารถรองรับการเล่นผ่านหลากหลายช่องทาง แต่ที่ชอบมากคือ การพับเบาะแถวสามขึ้น-ลงด้วยไฟฟ้า ให้ความสะดวกเวลาขนถ่ายของทางด้านหลังมาก เพราะตัวรถเอสยูวีที่สูงเวลาปรับเบาะพับเพื่อเพิ่มพื้นที่จากด้านหลังมักปรับลำบาก
ความสบายของผู้โดยสารตอนหลัง เลือกปรับแอร์ได้อิสระและมีปลั๊กให้เลือกใช้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน มีปุ่มสั่งงานครบทุกตำแหน่ง ดูเยอะจนน่างง
งานคอนโซลหรูหราด้วยการเดินด้ายเย็บหนังหุ้มอีกชั้น
ปุ่มพับเบาะขึ้น-ลงแบบไฟฟ้าของที่นั่งตอนหลังสุด ช่วยให้ใช้งานสะดวกมากขึ้น
จอ 2 ฝั่งข้างเรือนไมล์ ปรับเปลี่ยนได้ตามเมนูการใช้งาน
แสดงให้เห็นถึงอินเตอร์เฟสแบบตามอง-มือสัมผัส ยังคงนิยมใช้มากกว่าการสั่งงานด้วยเสียง เทคโนโลยีความปลอดภัยในรุ่น Titanium + นับว่าโดดเด่นมากๆ จากการขับทดสอบมีโอกาสได้สัมผัสการทำงานของระบบต่างๆ ที่มีเฉพาะรุ่นนี้ เช่น ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ และระบบแจ้งเตือนการขับขี่ ซึ่งล้วนแต่เป็นระบบที่ก้าวล้ำกว่าใครในคลาสเดียวกัน
ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
บทสรุปของการทดสอบรุ่น 3.2L Titanium+ 4x4 AT ราคา 1,749,000 บาท คือ เหมาะกับผู้ที่อยากได้เอสยูวี-พีพีวี ที่ให้อารมณ์พรีเมียมแบบรถยุโรป และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้านความแรงของเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร อาจไม่สะใจกับการขับแบบออนโรด แต่แรงบิดในการบุกตะลุยทางออฟโรดนั้นทำได้ดีเยี่ยม ภายในให้อารมณ์หรูหราก้าวล้ำกว่าใครในคลาสเดียวกัน ด้วยราคาที่เป็นเพดานสูงสุดของคลาสนี้ เท่ากับ
Toyota Fortuner 2.8 TRD Sportivo 4WD AT สำหรับผู้เขียน ตัวแปรสำคัญสำหรับการตัดสินใจคือ ภายในที่สวยหรู และการใช้งานที่ครบครันและง่ายของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ