TOYOTA ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ เวอร์ชั่น TRD Sportivo สปอร์ตมาดเข้ม
New Fortuner TRD Sportivo ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากแรงบันดาลใจในการออกแบบและพัฒนาร่วมกันระหว่าง วิศวกรคนไทยจาก บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง และ Toyota Racing Development ภายใต้แนวคิด Premium Sport ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์รถยนต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าคนไทยมากที่สุด เพิ่มภาพลักษณ์ความสปอร์ตผสมผสานกับความหรูหราอย่างลงตัว ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมระบบช่วงล่างที่ปรับปรุงใหม่รองรับการขับสไตล์สปอร์ต ตลอดจนระบบมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก รวมอยู่ใน New Fortuner TRD Sportivo
การทดสอบเริ่มต้นจากเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านทางโค้งชันสู่ที่ว่าการฯ ด้านบน ก่อนลงไปทางด่านปราจีนบุรี เพื่อไปพักที่ดาษดา รีสอร์ท จากนั้นใช้เส้นทางเข้าสู่นครนายกจนถึงรังสิตคลอง 5 แล้วตัดเข้าถนนกาญจนาภิเษกยิงยาวสู่ถนนบางนา มุ่งหน้าไปยูเทิร์นหน้าห้างฯ เซ็นทรัล บางนา เพื่อเลี้ยวเข้าไปจบที่ "โตโยต้า ไดร์ฟวิ่ง เอ็กซ์พีเรียนซ์ พาร์ค"
ฟอร์จูนเนอร์ TRD ปรับโฉมใหม่แบบไมเนอร์เชนจ์ ให้ความโดดเด่นกว่ารุ่นปกติอย่างชัดเจน ดูสปอร์ตเข้มมากขึ้น ถ้าเป็นสีขาว สามารถเลือกหลังคาหุ้มฟิล์มสติ๊กเกอร์สีดำตัดให้ความดุดันยิ่งขึ้น ส่วนตัวรถรุ่น TRD มีให้เลือกเพียง 2 สี ดำ และขาว รายละเอียดภายนอกชัดเจนด้วยชุดแต่งเสริมรอบคัน แต่ที่โดดเด่นสุดๆ ผู้เขียนว่าเป็นล้ออัลลอย 20 นิ้ว ดีไซน์ 6 ก้าน คล้ายสายฟ้า โทนสีเข้ม ซึ่งถ้าเลือกรถสีขาวดูตัดกันดีมาก และเด่นกว่าสีดำ ด้านหลังมีโลโก้ TRD Sportivo ติดที่ฝาท้ายบ่งบอกชัดถึงความพิเศษ
กระจังหน้าแบบรมดำ รับกับกันชนดีไซน์ใหม่ ให้อารมณ์สปอร์ตเต็มๆ
กันชนท้ายดีไซน์ใหม่ สอดแทรกด้วยวัสดุสีดำรับกับด้านหน้า
บันไดข้างกว้างก้าวขึ้นสบาย เข้มรับตัวรถ
ตัวถังขาว หลังคาดพร้อมเสาอากาศทรงฟินสีดำ สปอยเลอร์ก็ดำ
โลโก้ TRD Sportivo และ sigma 4 บนตัวถังสีขาว บ่งบอกความเป็นที่สุดของรุ่น และแพงสุดด้วย
ฟอร์จูนเนอร์ TRD ภายในห้องโดยสารขยับปรับเปลี่ยนให้สอดรับความสปอร์ตมากขึ้น นับตั้งแต่ก้าวขึ้นไปนั่งรู้สึกว่าหรูและสปอร์ตขึ้น ด้วยวัสดุหนังผสมหนังสังเคราะห์สีดำ-แดงแบบทูโทน และเดินด้ายสีแดงแนวสปอร์ต พร้อมเสริมหลายจุดด้วยการหุ้มฟิลม์ลายคาร์บอนเคฟลาร์ ส่วนวัสดุโครเมียมภายในรถเป็นแบบเงารมดำ แต่ส่วนที่เด่นและผู้เขียนชอบคือ มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ออกแบบใหม่ พื้นหลังวงกลมกลางลายคาร์บอนฯ ด้านขวามาตรวัดความเร็วมีสัญลักษณ์ TRD สีขาว ตัดบนพื้นคาร์บอนฯ สวย ได้อารมณ์เรซซิ่ง นอกจากนี้ก็มีพรมเฉพาะรุ่น ซึ่งน่ามีขายแยกในโชว์รูม และปุ่ม Push Start สีแดงสัญลักษณ์ TRD
คอนโซลโดยรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนมาก แต่เบาะดำ-แดง และส่วนหุ้มลายคาร์บอนฯ เป็นจุดสร้างความแตกต่าง
โตโยต้า มักออกแบบเบาะนั่งสบาย และเบาะฟอร์จูนเนอร์ TRD ก็เช่นกัน
แถมปรับละเอียดด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทางในตำแหน่งคนขับ ผู้เขียนนั่งขับแล้วสบายจริงๆ
เบาะหลังนั่งสบาย และปรับพับแยก 60/40 และเลื่อน-เอนได้
ตรงกลางมีปลั๊กไฟ 220 โวลต์ ให้ใช้เพิ่มความสะดวกในการใช้สารพัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เบาะแถวสามพับได้แบบ 50/50 สามารถปรับเอนได้ด้วย
มุมมองจากเบาะแถวสาม เห็นได้ว่าช่องแอร์เพดานกระจายวางตำแหน่งได้ทั่วถึง
พรม TRD Sportivo เฉพาะรุ่นพิเศษ แต่อาจมีขายแยกในโชว์รูม สำหรับคนใช้รุ่นธรรมดาที่อยากได้บ้าง
พื้นที่หลังเบาะแถวสามกว้างพอวางถุงกอล์ฟ และกระเป๋าสัมภาระได้หลายใบ แต่ถ้าขนอุปกรณ์สันทนาการหรือกีฬาขนาดใหญ่ไปพร้อมกับสมาชิกหลายคน เช่น จักรยาน, เรือยาง หรืออื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่อาจต้องติดแร็คหลังคาเพิ่ม ซึ่งตัวรถก็มีราวหลังคารองรับเรียบร้อยแล้ว
ฟอร์จูนเนอร์ TRD เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร ให้พลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 - 2,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มีระบบขับเคลื่อนซิกม่าโฟร์ สามารถเลือกโหมดการขับ H2 H4 และ L4 ผสานการทำงานร่วมกับระบบ DAC และ A-TRC ให้พร้อมลุยสไตล์ออฟโร้ดได้มากขึ้นด้วย
การขับทดสอบ ฟอร์จูนเนอร์ TRD เริ่มต้นด้วยการนั่งรถตู้ไปที่ เทมส์ วัลลีย์ รีสอร์ท เขาใหญ่ เพราะผู้เขียนอยู่ในกลุ่มขับเที่ยวกลับ โดยมีนักข่าวอีกกลุ่มขับเที่ยวไปในวันเดียวกัน ในวันรุ่งขึ้น ขบวนรถทดสอบ ฟอร์จูนเนอร์ TRD เริ่มทยอยออกจากที่พักในช่วงสาย โดยรถ 1 คัน ต่อนักข่าว 2 คน ให้สลับขับกันเองระหว่างทาง ขบวนฯ มุ่งหน้าขึ้นอุทยานฯ เขาใหญ่ ผ่านด่านเก็บค่าเข้าแล้วขับขึ้นไปยังที่ว่าการฯ ด้านบน ผ่านเส้นทางคดเคี้ยวที่หลายคนคุ้นเคย ช่วงขาขึ้นต้องใช้พลังในการขึ้นเขาผ่านโค้งพับซ้าย-ขวาหลายช่วง กำลังของเครื่องยนต์ 177 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร ผสานกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ สามารถพาตัวรถขับเคลื่อนผ่านความชัน และเร่งแซงรถช้าด้านหน้าได้อย่างสบายๆ ที่แม้แต่ผู้ขับรถขึ้นเขาไม่เก่งก็ไม่ต้องกลัว เพราะตัวรถเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีและระบบช่วยต่างๆ มากมาย ที่สำคัญพลังเหลือเฟือ และเกียร์ดีพอช่วยให้ผู้ขับไม่ต้องกังวลกับการจังหวะการเร่ง-หยุดบนทางชัน
ขบวนฯ ขึ้นมาถึงที่ว่าการอุทยานฯ ด้านบนในช่วงเวลาไม่นาน และขับไปลงที่ด่านปราจีนฯ เพื่อแวะพักที่ดาษดา รีสอร์ท ในช่วงเส้นทางขึ้น-ลงเขาใหญ่ที่ขับผ่านมา ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวรถมั่นคงกว่ารุ่นปกติในช่วงเข้าโค้งอย่างชัดเจน การบังคับเลี้ยวเฉียบคมขึ้น และกระฉับกระเฉงดี แม้ใช้ล้ออัลลอยใหญ่ถึง 20 นิ้ว และยางหน้ากว้าง 265/50 ผสานกับช่วงล่างแบบสปอร์ต จึงทำให้ ฟอร์จูนเนอร์ TRD ขับสนุก และมั่นใจในการทำความเร็วหรือเข้าโค้งมากขึ้น รวมไปถึงระบบเบรกที่เป็นดิสก์หลังขนาดใหญ่ติดตั้งแทนแบบดรัมในรุ่นปกติ จริงๆ เป็นการปรับให้เหมาะสมกับคาแรคเตอร์รุ่น TRD Sportivo ที่เน้นความสปอร์ตมากกว่า ถ้าใช้งานทั่วไปดรัมเบรกหลังก็ให้พลังหยุดเพียงพออยู่แล้ว สำหรับความรู้สึกที่ได้จากการเบรกของรถรุ่นนี้ พบว่าระบบเบรกให้น้ำหนักดี ให้ความมั่นใจแม้เบรกต่อเนื่องในช่วงทางลงเขา
เมื่อได้เวลาอันสมควรขบวนฯ เดินทางต่อจากดาษดา รีสอร์ท มุ่งสู่ "โตโยต้า ไดร์ฟวิ่ง เอ็กซ์พีเรียนซ์ พาร์ค" บางนา ปลายทาง โดยในช่วงท้ายผู้เขียนได้มีโอกาสลองความเร็วบนถนนเปิดโล่ง และสามารถใช้ความเร็วระดับ 120-150 กม./ชม. ได้นานต่อเนื่องหลายช่วง เรื่องพละกำลังนับว่าหายห่วงมั่นใจทุกครั้งที่กดคันเร่งแซงรถช้า การทรงตัวเมื่อเปลี่ยนเลนที่ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ตัวรถตอบสนองได้นิ่งกว่าเดิมชัดเจน แต่เมื่อแช่ทางตรงยาวพบว่าพวงมาลัยมีความละเอียดอ่อนต่อรอยต่อถนนและค่อนข้างไวพอสมควร ทำให้ต้องมีสมาธิกับการบังคับพวงมาลัยมากกว่ารุ่นปกติ อาจดีถ้าขับแบบสปอร์ต แต่การใช้งานขับทางไกลอาจทำให้ผู้ขับเหนื่อยล้าง่าย แต่โดยรวมก็นับว่าพอใจและชอบมากกว่ารุ่นปกติ ส่วนตัวถ้าผู้เขียนกำลังคิดซื้อรุ่นปกติคงยอมขยับเพิ่มอีก 120,000 บาท เพื่อแลกกับความคุ้มค่าและสมรรถนะการขับที่ดีกว่า
การขับทดสอบทริปนี้ใช้เส้นทางไม่ไกลมาก และเน้นทดสอบด้านสมรรถนะของตัวรถแบบสปอร์ตมากกว่า จึงไม่ได้ให้น่้ำหนักด้านการทำอัตราสิ้นเปลืองมากนัก เป็นการขับที่เน้นอัตราเร่ง และการทำความเร็วมากกว่า ด้วยระยะทางเกือบ 200 กม. จากเทมส์ วัลเล่ย์ ทางขึ่้นเขาใหญ่ห่างจากหน้าด่านอุทยานฯ เขาใหญ่ประมาณ 5 กม. ขบวนฟอร์จูนเนอร์ TRD 7 คัน ขับเรียงตามขึ้นไป โดยเป็นการลองพลังขับเคลื่อนผ่านทาางชันขึ้น-ลงเป็นส่วนใหญ่จนถึงด่านด้านปราจีนบุรี จากนั้นเป็นทางราบจนถึงกรุงเทพฯ เมื่อถึงที่หมายหน้าจอแสดงข้อมูลวัดได้ 10.4 กิโลเมตร/ลิตร
เทคโนโลยีและความสะดวกสบาย
ฟอร์จูนเนอร์ TRD เข้า-ออก ตัวรถสะดวกด้วยกุญแจ Smart Key และสตาร์ทสะดวกแบบไม่ต้องควักกุญแจบิดด้วยปุ่ม Push Start สัญลักษณ์ TRD ในช่วงระหว่างขับก็สั่งงานหรือเรียกดูข้อมูลง่ายขึ้นผ่านพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ซึ่งใช้วัสดุหนังแท้ตัดกับฟิล์มลายคาร์บอนฯ เข้าชุดกับพื้นที่รอบคันเกียร์ ส่วนระบบเอนเตอร์เทนเพลินมากกับชุดเครื่องเสียงระดับพรีเมียมแยกชิ้น โดยมีเฮดยูนิท พาวเวอร์แอมป์ และลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง รวม 11 ลำโพง พร้อมซับวูฟเฟอร์ด้านฝาท้าย นับว่าครบเครื่องเอาใจสมาชิกที่ชอบดูหนังฟังเพลงในรถ
ส่วนระบบนำทาง (Navigator) โดดเด่นด้วย T-Connect บริการพิเศษสำหรับรถโตโยต้า เชื่อมต่อผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย Bluetooth แสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเล่นไฟล์เพลง-หนังได้ และแสดงภาพจากกล้องมองหลังเมื่อถอยรถ
ด้านหลังมีช่องปลั๊กไฟกระแสสลับ AC 220 โวลต์ ให้ความสะดวกมากขึ้น
ตำแหน่งทวิตเตอร์บนเสาเอ พร้อมโลโก้ JBL บ่งบอกถึงความพิถีพิถันด้านเสียงเพลงมากขึ้น
ลำโพงเสียงกลางติดตั้งเสริมบนคอนโซลทั้ง 2 มุม เพื่อซาวด์สเตจที่ดีขึ้น ซับวูฟเฟอร์ใช้พื้นที่ในฝาท้าย ทำงานคล้าย BASS BOX มากกว่า ข้อดีคือ ไม่กระทบต่อพื้นที่ภายในรถ แอร์ด้านหน้า ถูกเสริมด้วยแอร์เพดาน 4 ตำแหน่ง เพื่อความเย็นทั่วถึงทุกพื้นที่
ความสบายที่ผู้เขียนชอบ ไม่ต้องเอื้อมจับฝาปิด แค่กดก็ปิดอัตโนมัติเหมือนรถพรีเมียม
ฟอร์จูนเนอร์ TRD ลุยอย่างมั่นใจระบบขับเคลื่อนซิกม่าโฟร์ ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยสามารถเลือกโหมดการขับ H2 H4 และ L4 ตามความเหมาะสมในการใช้งาน ผสานการทำงานร่วมกับระบบ DAC, A-TRC และดิสก์เบรก 4 ล้อ ยิ่งมั่นใจ ลองแล้วชอบความรู้สึกในการชะลอเบาเบรกจริงๆ แม้ใช้ล้อวงโตก็ตาม สำหรับรุ่นขับ 2 ล้อหลัง ต่างตรงที่ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC เป็นแบบธรรมดาแต่ขับ 4 ล้อ เป็นแบบแอคทีฟ A-TRC และรุ่นขับ 2 ล้อหลังไม่มีระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC
ระบบเบรกหน้า-หลังดิสก์ ถูกนำมาใช้กับรุ่นพิเศษอย่าง TRD Sportivo รองรับการขับแบบสปอร์ตมากขึ้น ให้น้ำหนักดีเยี่ยม
ชุดโช้กอัพ-สปริง TRD พ่นสีแดงคงทนทุกทุกสภาวะ พร้อมปรับค่า K ใหม่ แน่นหนึบ
ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ TRD Sportivo ให้สมรรถนะและอารมณ์การขับที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากรุ่นปกติ 2.8V 2WD AT (1,559,000 บาท) และ 2.8V 4WD AT (1,629,000 บาท) เทียบกับแบบตรงรุ่นขับเคลื่อน ซึ่งใช้เป็นพื้นฐานในการปรับเป็นรุ่น TRD ไม่ว่าการออกแบบภายนอกที่ได้ดูสปอร์ตมาดเข้มกว่า โดยเฉพาะล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลายสปอร์ต ส่วนภายในห้องโดยสารก็ถูกปรับให้เป็นสไตล์ TRD มีโลโก้บ่งบอกหลายจุด ที่สำคัญคือ ระบบเครื่องเสียง JBL ชุดใหญ่ เหมือนรุ่นพรีเมียมหลายล้าน นับเป็นความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาที่เพิ่มขึ้นเพียง 120,000 บาท แค่ชุดโช้กอัพ-สปริง TRD กับล้อ-ยาง 20 นิ้ว ก็คุ้มแล้ว ส่วนที่หลายคนอาจมองว่า TRD Sportivo ราคาสูง แต่จริงๆ ถ้าเป็นผู้ที่กำลังมองและกำลังซื้อ ฟอร์จูนเนอร์ อยู่แล้วการขยับจากรุ่นธรรมดาเป็น TRD ย่อมคุ้มค่ากว่า ถ้าไม่ติดว่ามีแต่สีดำกับขาว
ราคา โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ TRD Sportivo 2016 *สำหรับสี White Pearl CS ราคาเพิ่ม 12,000 บาท
- 2.8 TRD Sportivo 4WD AT Black Top ราคา 1,769,500 บาท
- 2.8 TRD Sportivo 4WD AT ราคา 1,749,500 บาท
- 2.8 TRD Sportivo 2WD AT Black Top ราคา 1,699,500 บาท
- 2.8 TRD Sportivo 2WD AT ราคา 1,679,000 บาท