รีวิว ซูซูกิ เออร์ติก้า ใหม่ ปรับโฉมล้ำสมัย ตอบโจทย์ความคุ้มค่า
ล่าสุดทีมงานเช็คราคา.คอม เดินทางสู่จังหวัดพิษณุโลกเพื่อร่วมทดสอบรถ
NEW ERTIGA 2016 ใหม่ เพื่อพิสูจน์สมรรถนะและอรรถประโยชน์การใช้งานของ Ertiga ใหม่ MPV ขนาดเล็กที่ผ่านการปรับโฉมใหม่ทั้งด้านหน้าและหลังเพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น รวมถึงภายในที่ปรับให้หรูกว่าเดิม โดย เออร์ติก้า ใหม่ แบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย คือ Dreza รุ่นท็อป และ GL รุ่นพื้นฐาน ที่ปรับให้แตกต่างกันชัดเจนตั้งแต่ภายนอก ส่วนขุมกำลังคงใช้พลัง 92 แรงม้า จากเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร ตัวเดิม
การทดสอบเริ่มต้นจากโรงแรม ภัทรธารา รีสอร์ทแอนด์สปา จังหวัดพิษณุโลก ภายในตัวเมือง มุ่งหน้าไปเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 12 ใช้เวลาขับ เออร์ติก้า ภายในอุทยานฯ จนครบรอบก็เดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์สังคโลก แวะเยี่ยมชมสักพักก็เดินทางต่อไปยังไร่องุ่นคานาอัน ในจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อพักแวะดื่มชา-กาแฟ จากนั้นจึงกลับสู่ปลายทางโรงแรม ภัทรธาราฯ สิ้นสุดการขับทดสอบ
ซูซูกิ เออร์ติก้า ใหม่ (Suzuki Ertiga) ปรับโฉมใหม่แบบไมเนอร์เชนจ์ โดดเด่นกับรุ่น Dreza ที่รูปลักษณ์ด้านหน้าดุจคอนเซปต์คาร์ กระจังหน้าออกแบบให้ล้ำสมัยแต่คงความสปอร์ตในตัว และช่องอากาศในกันชนหน้าเป็นทรงปีกสอดรับกับกระจังหน้า มุมช่องอากาศทั้งสองฝั่งมีไฟ LED Daytime Running Light ทั้งหมดล้อมกรอบด้วยวัสดุโครเมียม จนทำให้คิดว่าเป็นการปรับโฉมใหม่หมด แต่รุ่น GL ก็ปรับกระจังหน้าใหม่เช่นกัน รวมถึงลายกันชนหน้าด้วย แต่ไม่หวือหวาเท่ารุ่น Dreza ด้านล้ออัลลอยทั้ง 2 รุ่นย่อยเป็นลายใหม่ต่างกันตามรุ่น ดูลงตัวเข้ากับการออกแบบภายนอกที่ต่างกัน
กระจังกับกันชนหน้าดีไซน์แปลกล้ำสมัย คล้ายคอนเซปต์คาร์ ด้านท้ายเติมแค่แผงทับทิมสะท้อนแสงต่อระหว่างไฟท้าย 2 ข้าง พร้อมโลโก้ Dreza ในรุ่น TOP ช่วยให้หรูขึ้น สเกิร์ตข้างเสริมด้วยแผ่นวัสดุโครมตามแนวยาวสอดรับกับล้ออัลลอยลายใหม่เงินวาวตัดดำ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวมีให้ครบ
ด้านหน้ารุ่น GL ดูสวยตามยุค อารมณ์สปอร์ตเรียบง่าย และอาจโดนใจหลายคนมากกว่า ซูซูกิ เออร์ติก้า ใหม่ ภายในห้องโดยสารมี 2 แบบแยกตามรุ่นย่อย รุ่น Dreza เน้นภายในแบบทูโทน คอนโซลหน้าชิ้นบนและวัสดุหุ้มเบาะเป็นสีเข้มตัดกับสีเบจของห้องโดยสาร และเสริมด้วยวัสดุลายไม้ในหลายจุด ช่วยให้ดูหรูขึ้นอีก ขณะที่ภายในของรุ่น GL จะเป็นโทนสีเบจล้วนเน้นความโปร่งกว้าง และเรียบง่าย นอกนั้นแทบไม่ต่างกัน เว้นแค่พวงมาลัยของ Dreza เป็นแบบมัลติฟังก์ชัน จุดเด่นภายในของ เออร์ติก้า ที่ผู้เขียนชอบก็คือ เบาะนั่งแถวสองสามารถปรับเลื่อนหน้า-หลังได้ 240 มม. และยังมีที่วางแขนด้วย นอกจากนี้เบาะแถวสามพับแยกได้ 50:50 ให้ความอเนกประสงค์มากขึ้น
ทรงคอนโซลรูปปีกตามสมัยนิยม ตำแหน่งวิทยุและแผงสวิตช์แอร์เหมือนทั่วไป ให้ความคุ้นเคยใช้งานง่าย
เบาะนั่งคู่หน้าขนาดกำลังพอดี ผู้เขียนหนัก 83 กก. ยังคงรู้สึกสบายในทุกตำแหน่ง และลุกเข้า-ออก สะดวก เบาะแถวสองพับได้แบบ 60:40 ช่วยให้พับได้หลากหลายแบบ รองรับการขนสัมภาระได้มากขึ้น ตัวเบาะก็นั่งสบายมาก
เลื่อนขึ้นหน้า-หลังได้ด้วย นับเป็นความโดดเด่นของ MPV อย่าง เออร์ติก้า ใหม่ เบาะแถวสามนั่งได้จริง 2 ตำแหน่ง ไม่แคบเหมือน Dog Seat และพับได้ 50:50 ออกแบบให้ใช้งานจริงด้วยการทำที่วางแขนและวางแก้วทั้งสองฝั่ง แต่ถ้านั่งสบายจริง เบาะแถวสองต้องปรับขึ้นหน้าให้พอดีนั่ง
ข้อดีของ MPV เออร์ติก้า คือ เบาะเลือกพับได้หลายรูปแบบ
หลังเบาะแถวสามยังพอมีพื้นที่ใช้สอยวางกระเป๋าเป้หรืออื่นๆ ได้พอสมควร ซูซูกิ เออร์ติก้า ใหม่ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว รหัส K14B ซึ่งเป็นตัวเดิมจากรุ่นก่อนปรับไมเนอร์เชนจ์ ให้กำลังสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งน้อยไปนิด ด้านช่วงล่างหน้าเป็นแบบ แม็กเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง และหลังแบบทอร์ชั่นบีม คอยล์สปริง ส่วนระบบเบรกด้านหน้าดิสก์-หลังดรัม เพียงพอต่อการชะลอและหยุดความเร็วได้อย่างมั่นใจ ทั้งยังให้ความรู้สึกตอบกลับที่ดีไม่น้อย
การขับทดสอบ ซูซูกิ เออร์ติก้า ใหม่ ด้วยระยะทางกว่า 315 กม. เดินทางเป็นขบวน ผ่าน 3 จังหวัด คือ เริ่มต้นจากโรงแรมภัทธาราในจังหวัดพิษณุโลก สู่อุทยานประวัติศาสตร์จังหวัดสุโขทัย เส้นทางช่วงนี้ผ่านหลายแยกไฟแดง จึงเสมือนการใช้งานทั่วไปจริงๆ ใช้ความเร็วทั่วไปไม่เกิน 120 กม./ชม. และต้องเบรกพร้อมจอดเดินเบาบ่อยครั้ง การเร่งออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง ผู้เขียนสังเกตว่าทำได้ดี ไม่พบอาการรอจังหวะหรืออืดแต่อย่างใด แม้บรรทุกผู้โดยสารรวม 4 คน น้ำหนักรวมประมาณ 290 กก.
เมื่อถึงอุทยานฯ ขบวนขับรถเข้าด้านในเพื่อชมโบราณสถานต่างๆ การมองทิวทัศน์จากตัวรถทำได้ดีจริงๆ เหมือนเป็นการเที่ยวแบบซาฟารีที่ไม่ต้องลงจากรถแต่สมาชิกในรถสามารถมองได้สะดวกทุกคน จากนั้นมุ่งหน้าสู่พิพิธภัณฑ์สังคโลก เพื่อชมอุปกรณ์เครื่องใช้ ถ้วย ชาม แบบต่างๆ ในอดีต โดยเป็นเวลาใกล้เที่ยง อากาศภายนอกร้อน แต่ภายในรถที่ไม่ได้ติดฟิล์ม ผู้เขียนยังรู้สึกถึงความเย็นสบายค่อนข้างเกินพอ ต้องยกความดีให้กับระบบปรับอากาศบนเพดานเหนือที่นั่งแถวสอง ที่นี่สมาชิกของขบวนฯ ได้พักรับประทานอาหารกลางวันกันด้วย
หลังจากอิ่มเรียบร้อยขบวนฯ ออกเดินทางต่อไปยังไร่องุ่นคานาอัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ช่วงนี้ผู้เขียนขยับมาขับเอง การปรับตำแหน่งพวงมาลัยทำได้เฉพาะขึ้น-ลง และต้องออกแรงถือพวงมาลัยไว้ด้วยระหว่างปรับ เพราะไม่มีหน่วง การปรับเบาะทำด้วยมือเช่นกัน จากนั้นก็พร้อมขับยาวๆ กว่า 118 กม. เส้นทางช่วงนี้ใช้ความเร็วเต็มที่ได้ง่ายขึ้น แต่บางช่วงก็ติดรถช้า จึงได้โอกาสลองอัตราเร่งแซง ก็พบว่าทำได้ดีกว่าที่คาด พลัง 92 แรงม้า ส่งตัวถังเออร์ติก้าพร้อม 4 ผู้โดยสารขึ้นหน้าได้อย่างกระฉับกระเฉง การเปลี่ยนเลนเข้า-ออก หลังแซงที่ระดับความเร็ว 120 -160 กม./ชม. ตัวรถเก็บอาการได้ดี ไม่โคลงจนต้องลุ้น ที่สำคัญคือ การเบรกและชะลอความเร็ว ให้ความรู้สึกตอบกลับที่ดีมาก ตัวรถสามารถกระจายแรงเบรกหน้า-หลังได้อย่างมีสมดุล ทำให้ไม่เครียดในการควบคุมรถช่วงที่ต้องเบรก
เมื่อถึงไร่องุ่นฯ สมาชิกได้แวะพักทานเครื่องดื่มและของว่างกันประมาณ 20 นาที จากนั้นจึงออกเดินทางต่อเพื่อกลับสู่จุดหมายปลายทางที่เดียวกับตอนสตาร์ท ช่วงนี้ผู้เขียนได้สลับมานั่งเบาะผู้โดยสารอีกครั้ง เพื่อนสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ขับสบโอกาสในการทำความเร็วสูงยาวๆ เพราะถนนเปิดกว้างและค่อนข้างโล่ง จนบางครั้งเข็มความเร็วขึ้นไปแตะช่วง 170 - 180 กม./ชม. แต่ตัวรถเออร์ติก้าใหม่ตัวถัง MPV ขนาดกะทัดรัดกับยางขนาด 185/65-15 ก็ยังรักษาอาการได้ดี แม้ในความเป็นจริงหลายคนแทบไม่มีโอกาสใช้ความเร็วขนาดนี้ก็ตาม จนขบวนฯ ถึงที่หมายกันปลอดภัยทุกคัน พร้อมเสร็จสิ้นการขับทดสอบด้วยความประทับใจในเออร์ติก้าใหม่ MPV ขนาดเล็กแต่สมรรถนะหลายด้านไม่ได้เล็กตาม นับเป็นรุ่นที่น่าสนใจสำหรับครอบครัวที่อยากขยับจากรถซีดานหรือมองเปรียบเทียบกับซีดานกลุ่ม B segment ไว้
การขับทดสอบหลายช่วงตลอดระยะทางรวม 315 กม. เน้นแวะท่องเที่ยวหลายจุด ภายในรถบรรทุกผู้โดยสารรวมผู้ขับ 4 คนใช้ความเร็วแตกต่างกันหลายระดับ โดยเฉพาะช่วงทางระหว่างจังหวัดที่ยืนระยะทำความเร็วมากกว่า 150 กม./ชม. ได้บ่อยครั้ง การขับทดสอบแทบไม่เจอกับการขับแบบจราจรหนาแน่น และไม่มีทางชันขึ้นเขาผสม จากการสังเกตจอแสดงผลอัตราสิ้นเปลืองทุกจุดพักมักอยู่ในช่วง 14-15 กม./ลิตร ก็นับว่าน่าพอใจไม่น้อย เพราะผู้โดยสาร 4 คน รวมน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 250 กก. รถยังให้อัตราเร่งและทำความเร็วได้ดี พร้อมให้ตัวเลขความประหยัดที่น่าพอใจ ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขับทดสอบเป็น E20
เทคโนโลยีและความสะดวกสบาย
เออร์ติก้า ใหม่ ให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบตรงความต้องการในระดับพอดี เช่น พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน (เฉพาะรุ่น Dreza), ช่องเชื่อมต่อ USB รองรับสารพัดอุปกรณ์พกพา และช่องจ่ายไฟสำรอง 12v ด้านหน้าใกล้กัน และด้านหลังสุดคอนโซลกลางอีกตำแหน่ง นับว่าโดนใจคนยุคนี้ที่มักมองหาแหล่งจ่ายไฟให้กับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ
อุปกรณ์เครื่องเสียงอาจดูเรียบธรรมดา แต่ตอบสนองการใช้งานจริงได้ดี และยุคนี้หลายคนก็มักให้ความสำคัญกับ
ระบบเอนเตอร์เทนภายในรถน้อยลง เพราะติดกับสมาร์ทโฟนที่ให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า แม้พื้นที่ภายในห้องโดยสารจะเยอะตามตัวถังแบบ MPV อีกทั้งกระจกหน้าต่างก็มากหลายตำแหน่ง
ทำให้ห้องโดยสารร้อนง่ายกว่ารถซีดานทั่วไป แต่ด้วยระบบปรับอากาศ 2 ตำแหน่งทั้งด้านหน้าและหลัง
จากการนั่งเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรและไม่มีฟิล์ม มั่นใจได้เลยว่าเย็นแบบจับใจทุกตำแหน่งจริงๆ
ช่องจ่ายไฟสำรองด้านหลังคือ ความจำเป็นและสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดของผู้โดยสารยุคนี้ และยังสามารถแชร์ร่วมกันได้อีก
ช่องวางแก้วแบบดึงออกมาได้ตรงคอนโซลหน้าคือ สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากเพราะวางถ้วยหรือขวดถนัดมือ
และยังรักษาความเย็นได้ดีด้วย
ไม่ได้ออกแบบแค่ให้มีเบาะนั่งพอได้ แต่ เออร์ติก้า ใหม่ เน้นให้นั่งได้สบายที่สุดภายใต้พื้นที่จำกัด
อย่างน้อยก็มีที่วางแขนและขวดน้ำ
เออร์ติก้า ใหม่ ไม่ใช่รถที่อัดแน่นด้วยสารพัดเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามระดับและราคารถ แต่ก็ไม่นับว่าขาดตกบกพร่องในส่วนที่จำเป็น เพราะที่ให้มาเช่น โครงสร้างตัวถังเหล็กกล้า, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, สัญญาณเตือนขณะถอยหลัง, เข็มขัดนิรภัย 3 จุด 6 ตำแหน่ง 2 จุด 1 ตำแหน่ง และมีระบบป้องกันล้อล็อคและกระจายแรงเบรก (ABS&EBD) เฉพาะรุ่น Dreza ก็เพียงพอกับการใช้รถในวิถีการขับแบบที่ควรเป็น ขับอย่างมีสติและไม่ประมาทย่อมเป็นหลักสำคัญในการใช้รถปลอดภัยเสมอ
ระบบเบรกหน้าดิสก์-หลังดรัม เพียงพอและกระจายน้ำหนักเบรกได้ดี ภายใต้ล้อขนาด 15 นิ้ว ยางสเปค 185/65
เข็มขัดนิรภัยตำแหน่งเบาะแถวสามเป็นแบบ 3 จุด เน้นความปลอดภัยผู้โดยสารครบถ้วนทุกตำแหน่ง
ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
นี่คือ MPV ขนาดกะทัดรัดที่ให้ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา อาจไม่ใช่ข้อสรุปที่เกินจริง เพราะจากการขับทดสอบขับพบว่าตัวรถมีสมรรถนะและความสะดวกสบายในการโดยสารที่น่าพึงพอใจ และมั่นใจว่า เออร์ติก้า ใหม่ จะเป็นรถตอบโจทย์การเดินทางของครอบครัวได้ดีอีกรุ่น ด้วยราคาเริ่มต้น 655,000 บาท นับเป็นความคุ้มค่าที่หาได้ยากถ้าเทียบกับยี่ห้ออื่น หรือต้องการความล้ำสมัยก็เลือก Dreza แม้แพงกว่า 60,000 บาท แต่ได้ออปชั่นที่ครบสมบูรณ์มากกว่า พร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยงามโดดเด่นกว่ารุ่น GL ทั้งภายในและภายนอก เมื่อคิดคำนวณราคาผ่อนชำระก็ต่างกันไม่มาก ส่วนตัวผู้เขียนเชียร์ Dreza เพราะคุ้มค่าและครบเครื่องที่สุด โดยเฉพาะการได้ระบบป้องกันล้อล็อคพร้อมระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์
ราคา New SUZUKI ERTIGA
- รุ่น GL AT ราคา 655,000 บาท
- รุ่น Dreza AT ราคา 715,000 บาท