งานวิจัยล่าสุดพบว่า ผู้คนกว่า 1 ใน 3 ที่ซื้อรถใหม่ ต้องการรถที่รองรับ Apple CarPlay หรือ Android Auto และบางคนสามารถจ่ายเงินเพื่อฟีเจอร์นี้หากรถคันนั้นไม่มี
ผลการสำรวจนี้ จัดทำโดย McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการระดับโลก และนำมาเผยแพร่โดย Automotive News ระบุว่า กว่า 30% ของผู้ซื้อ EV ทั่วโลก และ 35% ของผู้ซื้อรถน้ำมันทั่วโลก ต่างกังวลถึงความสามารถในการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของรถยนต์ โดยมีผลต่อการซื้อ-ขายรถเลยทีเดียว
McKinsey เผยแพร่การศึกษา Mobility Consumer Pulse (ที่ศึกษาทุกสองปี) เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยสำรวจผู้บริโภคกว่า 30,000 คน ใน 15 ประเทศ นับเป็นมากกว่า 80% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก
Apple CarPlay และ Android Auto เป็นที่นิยมมากในรถยุคนี้
Apple CarPlay และ Android Auto คืออินเทอร์เฟซที่ช่วยแสดงผลโทรศัพท์ของเราลงบนหน้าจอ infotainment ของรถ มีรายงานจาก Wards Intelligence เมื่อปีที่แล้วระบุว่า มีการบันทึกว่าระบบทั้งสองถูกติดตั้งในรถยนต์ทั่วไป (United States light vehicles) มากกว่า 90% ตั้งแต่ปี 2021 ตัวอย่างเช่น ในบ้านเราก็จะเห็นได้ว่ารถส่วนใหญ่จะรองรับทั้งสองระบบนี้กันหมดแล้ว
การสำรวจของ McKinsey ยังพบว่า ผู้ที่ซื้อรถน้ำมันกว่า 17% และเกือบ 30% ของผู้ซื้อ EV มีแนวโน้มที่จะจ่ายเพิ่มเพื่อฟังก์ชันนี้หากไม่มีเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
“หากนำการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่ไร้รอยต่อจาก OEM ออกไปแล้ว แน่นอนว่านั่นคือความเสี่ยง” Kevin Laczkowski หนึ่งในหัวหน้าด้านยานยนต์และการประกอบชิ้นส่วนของ McKinsey กล่าว
หากไม่มีสองระบบนี้ หลายคนก็ไม่ใช้ระบบของรถอยู่ดี
นักวิจัยของ McKinsey ถามเพิ่มเติมว่า หากมีการนำการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเหล่านี้ออกไปจากรถของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?
มีผู้ตอบคำถามเพียง 35% เท่านั้นที่จะใช้ระบบปฏิบัติการของรถแทน แต่มีถึง 52% ที่กล่าวว่าพวกเขาจะใช้โทรศัพท์ของพวกเขา ขณะที่ 14% จะซื้อรถคันต่อไปเป็นแบรนด์อื่นแทน
เมื่อไม่นานมานี้ Ferrari ยืนยันว่าจะเลิกใช้ระบบนำทางด้วยดาวเทียมในรถของตน เนื่องจากระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนที่มีนั้นทำได้ดี ขณะที่ Aston Martin และ Porsche จะเปิดให้รถของตนรองรับ Apple CarPlay เจเนอเรชั่นถัดไป ที่รองรับการขยายได้หลายจอและสามารถควบคุมฟังก์ชันบางอย่างได้ เช่น ระบบปรับอากาศ
บางค่ายไม่อยากให้มีระบบนี้ เพราะไม่ปลอดภัยมากพอ
ผลการสำรวจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ General Motors (GM) ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ประกาศเมื่อปีก่อนว่า รถ EV ที่เปิดตัวใหม่จะไม่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto อีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและเตรียมวางแผนให้ระบบช่วยเหลือการขับขี่ทำงานร่วมกับระบบนำทางของรถแทน
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์บางรายก็ต้องการสร้างระบบปฏิบัติการของตัวเองเพื่อควบคุมบางอย่างและสร้างความเชื่อมั่นในบริษัทอย่างที่ Apple และ Android ทำ ซึ่งมีข่าวลือว่า GM จะทำแบบนั้น และอาจมีการสมัครสมาชิกรายเดือนสำหรับซอฟท์แวร์นั้นด้วย
Mike Himche ผู้อำนวยการบริหาร GM ฝ่ายประสบการณ์ห้องโดยสาร กล่าวกับรอยเตอร์สเมื่อปีก่อนว่า “เรามีระบบช่วยเหลือการขับขี่ใหม่ ๆ มากมาย ที่มาพร้อมระบบนำทางที่ทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น เราไม่ต้องการออกแบบฟีเจอร์เหล่านี้ในลักษณะที่ขึ้นอยู่กับคนที่มีสมาร์ทโฟน”
Tim Babbitt หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ระบบอินโฟเทนเมนท์ของ GM กล่าวว่า ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto มีปัญหาด้านความเสถียร ซึ่งทั้ง การเชื่อมต่อหลุด, เรนเดอร์ภาพช้า และหน้าจอที่ตอบสนองไม่ดี เขาระบุว่า ปัญหาเหล่านี้ทำให้ผู้ขับขี่ต้องหยิบโทรศัพท์ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ของระบบ
โดย Babbitt ยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการเชื่อมต่อไร้สาย แต่การใช้สายเชื่อมต่อนั้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเสมอไป
ลูกค้าของบางแบรนด์อยากให้รถรองรับ Apple CarPlay หรือ Android Auto
ในรถบางแบรนด์ เช่น Tesla และ Rivian ไม่สามารถรองรับ Apple CarPlay หรือ Android Auto ได้
โดย Automotive News รายงานการวิจัยโดย Rivian เองพบว่า ลูกค้าของแบรนด์กว่า 70% ต้องการ Apple CarPlay ในรถของพวกเขา แม้ว่าตัวเลขนี้จะค่อย ๆ ลดลงจนเหลือ 30% เมื่อพวกเขาคุ้นชินกับระบบในรถของแบรนด์แล้ว
แล้วรถของคุณมี
Apple CarPlay หรือ Android Auto หรือไม่ ระบบเหล่านี้ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นหรือเปล่า มาแบ่งปันความคิดเห็นกันได้ที่เพจ
Car GURU Thailand ได้เลยครับ