Mercedes-Benz G-Class ไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกเปิดตัวแล้ว ในชื่อ
Mercedes-Benz G580 with EQ Technology ครั้งแรกในโลกที่ปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งเป็นปีที่ G-Class ฉลองครบรอบ 45 ปีพอดี รถคันนี้ถือเป็นหนึ่งในการขยายไลน์อัพรถยนต์ไฟฟ้าซีรี่ส์ EQ ของค่ายดาวสามแฉกนั่นเอง
ก่อนหน้านี้มีการพรีวิวรถคอนเซ็ปท์ Mercedes-Benz Concept EQG ขึ้นมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 โดยมีเป้าหมายว่า G580 จะให้สมรรถนะบนทางออฟโรดที่ดีกว่าหรือเทียบเท่า G-Class รุ่นเครื่องยนต์สันดาป แต่ไม่มีการปล่อยมลพิษใด ๆ และคาดว่าเริ่มส่งมอบในช่วงครึ่งหลังของปี 2024
Platform เดิม เพิ่มเติมช่วงล่างรองรับขุมพลังไฟฟ้า
G580 ยังอยู่ภายใต้แพลทฟอร์มแบบขั้นบันได (Ladder Frame) เช่นเดียวกับ G-Class รุ่นปัจจุบัน แต่มีการปรับปรุงบางส่วนเพื่อรองรับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมา เริ่มจาก มีการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแชสซีเพื่อรองรับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
สำหรับช่วงล่าง ด้านหน้ายังคงเป็นแบบดับเบิลวิชโบน ส่วนช่วงล่างหลังเดิมที่เป็นแบบคานแข็ง ถูกเปลี่ยนเป็นช่วงล่างแบบ De Dion พร้อมแดมเปอร์แบบ adaptive มาให้เป็นมาตรฐาน
มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวแยกกันแต่ละล้อ มีโหมด Low และ High
รถคันนี้มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวด้วยกันอยู่ที่เพลาหน้า-หลัง โดยส่งกำลังแยกกันไปทั้ง 4 ล้อ กำลังจากมอเตอร์จะถูกส่งไปที่ล้อผ่านเพลาข้อต่อคู่ (dual-joint shafts) ซึ่งมีข้อดีตรงที่ทำให้แคมเบอร์ไม่เปลี่ยนระหว่างการบีบอัด
มอเตอร์แต่ละตัวจะมีเกียร์ 2 สปีดอยู่ภายใน ซึ่งรวมอยู่กับโครงที่ประกอบด้วยอินเวอร์เตอร์คู่ วัตถุประสงค์ของเกียร์ในมอเตอร์คือช่วยให้มีโหมด Low และ High คล้ายกับรถออฟโรดทั่วไป
สำหรับในโหมด Low จะให้อัตราทด (reduction ratio) ที่ 2:1 เพื่อเพิ่มแรงบิดให้รถสามารถขับขี่บนทางออฟโรดได้ และถูกจำกัดความเร็วไว้ที่ 85 กม./ชม. ส่วนการขับขี่ทั่วไปจะใช้โหมด High เพื่อให้วิ่งได้ไกลขึ้น
วิ่งไกลสุด 473 กม.
Mercedes-Benz ระบุว่า G580 สามารถขับขี่ได้ไกลสุด 473 กม. ตามมาตรฐาน WLTP ด้วยแหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีความจุ 116 kWh ซึ่งประกอบด้วยแบตเตอรี่ 2 ชั้นที่มีทั้งหมด 216 เซลล์ ติดตั้งในโมดูล 12 โมดูล พร้อมระบบหล่อเย็น 3 ระดับ รวมเข้ากับโครงสร้างของรถแบบขั้นบันได เพื่อให้จุด CG ต่ำลงและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับรถ
นอกจากนี้ แบตเตอรี่ของรถยังถูกหุ้มด้วยเคสที่ทนต่อแรงบิด เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกต่าง ๆ อีกด้วย
ชาร์จแบตเตอรี่ 10-80% ภายใน 32 นาที
แบตเตอรี่ของ G580 รองรับการชาร์จแบบ DC ที่ความเร็วสูงสุด 200 kW โดยสามารถชาร์จจาก 10-80% ได้เร็วสุดภายใน 32 นาที และสามารถชาร์จแบบ AC ได้ที่ความเร็วสูงสุด 11 kW โดยชาร์จจาก 10-100% ได้ภายใน 11.77 ชั่วโมง
0-100 ใน 4.7 วินาที
สำหรับพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า มอเตอร์แต่ละตัวจะให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า(PS) ทำให้พละกำลังทั้งระบบรวมอยู่ที่ 587 แรงม้า(PS) และแรงบิดสูงสุด 1,164 นิวตันเมตร ซึ่งให้แรงบิดมากกว่า G63 AMG ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 4.0 ลิตร Bi-Turbo V8 เสียอีก
แม้จะมีแรงบิดอันมหาศาล แต่ G580 จะต้องแบกน้ำหนักจากระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า ทำให้น้ำหนักรถ(Kerb Weight) อยู่ที่ 3,085 กก. แต่ด้วยแรงบิดขนาดนี้ทำให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 4.7 วินาที และจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 180 กม./ชม.
ไม่ทิ้งลาย G-Class เพราะออฟโรดได้น่าพอใจ
อย่างที่ทราบกันดีว่า G-Class มีชื่อเสียงจากความสามารถในการออฟโรด สำหรับ G580 ก็เช่นกัน เพราะรถคันนี้ได้พิสูจน์ตัวเองกว่า 336 ครั้งที่ภูเขา Schöckl ที่เมือง Graz ประเทศออสเตรีย ผ่านเส้นทางกว่า 5.6 กม. ที่มีทางลาดชันขึ้นสูงสุดถึง 60% และทางลาดลงสูงสุด 40%
พบว่า G580 สามารถผ่านเส้นทางหฤโหดไปได้ตามมาตรฐาน และยังเหนือกว่า G-Class รุ่นปกติในบางมุมอีกด้วย โดยสามารถลุยน้ำได้ลึกสุดถึง 850 มม. ซึ่งมากกว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปถึง 150 มม.
มี G-Turn เหมือนกับ Tank Turn ใช้ในที่แคบ
นอกจากนี้ G-Class ไฟฟ้ายังมาพร้อม G-Turn ซึ่งมีหลักการทำงานคล้ายกับ tank turn ซึ่งสามารถทำได้เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังแยกอิสระ 4 ล้อ
ก่อนที่จะทำ G-Turn ตัวรถต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ถูกต้องก่อน เริ่มจากอยู่ที่เกียร์ D, อยู่ในโหมด Rock และ Low ก่อน หลังจากนั้นผู้ขับขี่จะต้องกด Paddle Shift ข้างใดข้างหนึ่งค้างไว้ จับพวงมาลัย ปล่อยเบรค และกดคันเร่ง
G-Turn สามารถยกเลิกได้ด้วยการปล่อย Paddle Shift หรือยกคันเร่งเท่านั้น ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์อย่างมากเมื่อต้องเจอกับอุปสรรคที่ผ่านไปได้ยาก หรือต้องการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วในพื้นที่จำกัด
G-Steering สำหรับเลี้ยวในที่แคบ และ off-road crawl ควบคุมความเร็วบนทางวิบาก
ฟังก์ชันที่น่าสนใจอีกอย่างคือ G-Steering ที่ช่วยควบคุมแรงบิดของระบบส่งกำลังเพื่อให้วงเลี้ยวแคบลงเมื่ออยู่ในพื้นที่จำกัด คล้ายกับระบบเลี้ยวล้อหลัง โดยทั้งระบบ G-Turn และ G-Steering จะจำกัดความเร็วไว้ที่ 25 กม/ชม. เท่านั้น
ฟังก์ชันสุดท้าย รถคันนี้ยังมาพร้อมฟังก์ชันอัจฉริยะ off-road crawl function ที่จะทำงานตลอดเวลาเมื่ออยู่ในโหมด Low ผู้ขับขี่สามารถใช้ Paddle Shift เพื่อตั้งค่าความเร็วในการไต่บนทางวิบากได้ เริ่มตั้งแต่ความเร็ว 2 กม./ชม. ขึ้นไปจนถึงความเร็วที่ต้องการเลยทีเดียว
สำหรับความสามารถในการออฟโรด G580 มีระยะจากจุดต่ำสุดถึงพื้นที่ 250 มม. ทำให้มุมปะทะของรถอยู่ที่ 32 องศา และมุมจากอยู่ที่ 30.7 องศา ส่วนมุมคร่อมอยู่ที่ 20.3 องศา ซึ่งต่างจาก G-Class ปกติที่ 26 องศา สาเหตุนั้นมาจากแบตเตอรี่และเคสกันกระแทกอลูมิเนียมที่มีความหนาถึง 26 มม. และหนักถึง 57.6 กก.
G580 มาพร้อมโหมดการขับขี่ Electric Dynamic Select ประกอบด้วยโหมด Comfort, Sport, Individual, Trail รวมถึงโหมด Rock ที่กล่าวไว้ข้างต้น รถคันนี้จะมีระบบเฟืองท้ายที่เป็นเอกลักษณ์ โดยไม่ได้ทำงานแบบกลไก และเรียกว่า “ระบบล็อคเฟืองท้ายเสมือน (Virtual Differential Locks)”
เสียงสังเคราะห์เหมือนขับรถ V8
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ G-Roar ซึ่งเป็นเสียงสังเคราะห์ที่ให้ความดื่มด่ำในการขับขี่ เหมือนกับขับรถที่ใช้เครื่องยนต์ V8 โดยเสียงเครื่องยนต์จะแปรผันไปตามโหมดการขับขี่ โดย Mercedes กล่าวในงานเปิดตัวว่า “เสียงเบสที่ทุ้มลึกและโทนเสียงที่กังวานทำให้เสียงของรถคันนี้แตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าคันอื่น ๆ ของค่ายดาวสามแฉก”
ดีไซน์ไม่ต่างกับ G-Class รุ่นปกติ
ในด้านของดีไซน์ G580 มีรูปลักษณ์ที่ไม่ต่างจาก G-Class รุ่นปกติมากนัก แต่จะมีสัญลักษณ์บางอย่างที่บ่งบอกว่ารถคันนี้มีขุมพลังไฟฟ้าล้วน เริ่มจากด้านหน้า กระจังหน้าจะเป็นแบบทึบสีดำเงาที่มีช่องบาง ๆ กรอบไฟหน้าตกแต่งด้วยสีดำเงา ขณะเดียวกัน ช่องดักอากาศด้านล่างเป็นสี่เหลี่ยมดีไซน์ตาข่ายแบบสปอร์ต
ส่วนอื่น ๆ ของรถจะคล้ายกับ G-Class รุ่นปกติ โดยมีการหุ้มเสา A และสปอยเลอร์หลังคาเพื่อเพิ่มแอโร่ไดนามิกส์ให้วิ่งได้ไกลขึ้น ส่วนที่เป็นเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมท้ายรถเป็นพื้นที่สำหรับสายชาร์จฉุกเฉิน แต่สามารถเพิ่มออพชั่นเป็นล้ออะไหล่ได้ด้วย
ภายในคล้าย G-Class รุ่นปกติ
เมื่อเข้ามาภายในรถ เราจะเห็นดีไซน์แดชบอร์ดที่คล้ายกับ G-Class รุ่นปกติ โดยมาพร้อมระบบ infotainment อย่าง MBUX ประกอบด้วยหน้าจอกลางขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมมาตรวัดดิจิทัล
นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มออพชั่นระบบความบันเทิงด้านหลัง ที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 11.6 นิ้ว รวมถึงระบบเสียงจาก Burmester และฟีเจอร์ “transparent bonnet” ที่ใช้ประโยชน์จากกล้อง 360 องศาเพื่อส่องใต้ท้องรถ
ระบบช่วยเหลือการขับขี่มีให้อย่างครบครัน ได้แก่
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติขณะรถติด Active Distance Assist Distronic
- ระบบช่วยให้อยู่กลางเลน Active Steering Assist
- ระบบช่วยเบรค Active Brake Assist
- ระบบช่วยหยุดอัตโนมัติ Active Emergency Stop Assist
- ระบบป้องกันการออกนอกเลน Active Lane Keeping Assist
- ระบบเตือนจุดอับสายตา Active Blind Spot Assist
- ระบบเตือนผู้ขับขี่ Attention Assist
- ระบบช่วยจอด Active Parking Assist with Parktronic
- กล้อง 360 องศา
- ระบบ Pre-Safe
- ระบบ Pre-Safe Sound
ใครที่ต้องการตกแต่ง Mercedes-Benz G580 ในสไตล์ของตัวเอง ทางค่ายดาวสามแฉกจะมี Manufaktur programme ที่จะมีการตกแต่งทั้งภายนอกและภายในให้เลือกหลากหลาย รวมถึงมีรุ่น Edition One ที่จะมีออพชั่นน่าสนใจให้เลือกเพิ่มเติมอีกด้วย