Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line
ซ้าย A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line / ขวา S line Black Edition
A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S Line ราคา 7,199,000 บาท
อาวดี้
A8 L ใหม่มาพร้อมเทคโนโลยีรอบคัน เริ่มด้วยชุดแต่ง S line ไฟหน้า HD Matrix LED พร้อม Light staging ไฟเลี้ยว Dynamics ไฟท้ายแบบ OLED รูปแบบ A8 L signature เปลี่ยนได้ ล้ออัลลอยลายใหม่ 20 นิ้ว ภายในเบาะหุ้มหนัง Valcona จอแสดงผลขนาดใหญ่และจอความบันเทิงที่รองรับทุการเชื่อมต่อ จุดเด่นของ A8 L คือ ความยาวตัวรถที่มากถึง 4,969 มม. กับฐานล้อ 2,926 มม. ทำให้พื้นที่โดยสารด้านหลังสะดวกสบายราวกับเครื่องบินเฟิร์สคลาส และโปร่งโล่งสบายด้วยหลังคาพาโนรามิค ไฟฟ้าอีกด้วย
เบาะนั่งผู้บริหารด้านหลังแบ่ง 2 ที่นั่งแยกอิสระ ปรับเอน เลื่อนหน้าหลัง ขึ้นลง พร้อมระบบนวดเวยไฟฟ้า และมีปุ่ม "shotcut" ปรับนอนและปรับนั่งกลับคืนในปุ่มเดียว ซึ่งปุ่มควบคุมอยู่ตรงคอนโซลกลาง และผู้นั่งหลังสามารถเลือกสั่งปรับเบาะด้านหน้าซ้ายให้มีพื้นที่สำหรับผู้นั่งด้านหลังฝั่งซ้ายกว้างขึ้น ความบันเทิงด้วยจอ Full HD ขนาด 10.1 นิ้ว ทั้ง 2 ฝั่ง แยกอิสระในการเชื่อมต่อ พร้อมกับตกแต่งเบาะทั้งหมดด้วยลายใหม่ Diamond Cut นอกจากนี้ในช่องเก็บของพนักพิงผู้โดยสารตอนหลัง หากซื้อแพ็คเพิ่มจะกลายเป็นช่องแช่ไวน์หรืออื่น ๆ มาให้อีกด้วย ตอนนี้เป็นที่ซ่อนตังค์ (......) ไปก่อน
ผุ้โดยสารตอนหลังกดเลือกปรับเบาะหน้าซ้ายได้
เพิ่มเงินจะได้ช่องแช่ไวน์....ตอนนี้เป็นที่ซ่อนของไปก่อน
ขุมพลังใหม่! เครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 3.0 ลิตร 2,995 ซีซี เทอร์โบ กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ผสานมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดระดับ 400 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 17.9 kW กำลังรวมทั้งระบบสูงสุด 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Tiptronic
และสุดยอดขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 250 กม./ชม. และถ้าขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ให้ความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร / ชั่วโมง และระยะการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 52 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP)
รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จด้วยไฟ 220 โวลต์ ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 2.3 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือราว ๆ 43 กม./ชม. (ขึ้นกับสภาพการขับขี่)
สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 4 รูปแบบ
1.EV Mode รถจะขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่คนขับไม่เหยียบคันเร่งเกินที่กำหนดไว้
2.Battery Hold ระบบจัดการการขับขี่จะรักษาความจุของแบตเตอรี่ไว้ที่ระดับปัจจุบันที่คงเหลือ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถครอบคลุมระยะทางที่กำหนดในภายหลังด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
3.Battery Charge ระบบจะจัดการการขับขี่โดยสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนการใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบในพื้นที่ที่ต้องการได้
4.Hybrid จะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติพร้อมกับระบบนำทาง หรือคนขับสามารถเลือกใช้ปุ่มโหมดการทำงาน โดยในโหมดนี้จะทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปอย่างลงตัว เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงให้ได้น้อยที่สุด โดยรถจะเน้นการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก เช่น การจราจรที่ติดขัด ระบบไฟฟ้าจะทำงานเป็นส่วนใหญ่ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Recuperation ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ สถานการณ์ สภาพถนน และการขับขี่
ระบบความปลอดภัยแบบครบครัน
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Audi pre sense basic) ระบบจะประเมินสถานการณ์การขับขี่ จากการทำงานของเซ็นเซอร์ภายใต้ระบบควบคุมการทรงตัว ESC เรดาร์เซ็นเซอร์บริเวณด้านท้ายรถ หรือการเหยียบแป้นเบรกอย่างรุนแรง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ นอกจากนั้นแล้ว หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิคถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
- ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) เรดาร์เซ็นเซอร์ที่อยู่ด้านท้ายรถจะประเมินสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง ในกรณีที่ประเมินว่ามีแนวโน้มที่อาจเกิดอันตรายได้ ระบบจะดึงรั้งสายเข็มขัดนิรภัยของเบาะนั่งคู่หน้าให้กระชับ หากกระจกหรือหลังคาพาโนรามิคถูกเปิดค้างไว้ ระบบจะปิดให้โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งเปิดการทำงานของสัญญาณไฟฉุกเฉิน
- ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) เรดาร์เซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง ที่อยู่ด้านท้ายของตัวรถจะช่วยผู้ขับขี่ในการตรวจสอบสภาพการจราจรที่อยู่ด้านหลัง เมื่อระบบประเมินว่ารถอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดอันตรายได้หากผู้ขับขี่เปลี่ยนเลน ระบบจะแสดงสัญญาณเตือนขึ้นที่กระจกมองข้าง ทั้งนี้ หากผู้ขับขี่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อตั้งใจเปลี่ยนเลนไปยังทิศทางดังกล่าว สัญญาณเตือนจะกระพริบถี่ขึ้น
- ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ขณะที่รถจอดหยุดนิ่ง ระบบจะตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งด้านข้างและด้านหลัง ทั้งนี้ในกรณีที่ตรวจพบยานพาหนะที่เคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย เช่น รถยนต์ หรือ รถจักรยาน กำลังเคลื่อนเข้ามาจากด้านหลัง ในขณะที่ผู้โดยสารภายในรถกำลังเปิดประตูจากด้านใน สัญญาณไฟเตือนจะปรากฏขึ้น
- ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross traffic assist) ระบบสามารถแจ้งเตือนผู้ขับขี่ขณะถอยรถออก หากตรวจสอบสภาพแวดล้อมแล้วพบว่ามีรถเคลื่อนเข้ามาในระยะที่อาจเกิดอันตราย ระบบจะส่งสัญญาณเตือน และหากอยู่ในสถานการณ์คับขัน ระบบจะช่วยเบรกเพื่อลดทอนการเกิดอุบัติเหตุ
Regenerative power
เมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบลอยตัว ตัวรถจะทำการชาร์จไฟกลับสู่แบตเตอรี่ด้วยระบบ Coasting Recuperation โดยระบบนี้จะสามารถคืนพลังงานไฟฟ้าให้กับรถได้มากถึง 25 กิโลวัตต์ นอกจากนั้นในขณะที่ผู้ขับขี่ทำการเบรก Audi A8 L 60 TFSI e quattro จะสามารถคืนพลังงานเข้าแบตเตอรี่ได้สูงสุดถึง 80 กิโลวัตต์ ด้วยระบบ Brake recuperation โดยมีหน้าจอ Virtual Cockpit และระบบ MMI หน้าจอระบบสัมผัสที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถดูข้อมูลการขับขี่ได้อย่างหลากหลาย เช่น มาตราวัดกำลัง ระยะทาง หรือพลังงานในปัจจุบันของระบบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น เพื่อจะได้เลือกการขับขี่ได้อย่างถูกต้อง
- สีขาว Glacier White Metallic
- สีดำ Mythos Black Metallic
- สีเงิน Floret Silver Metallic
- สีเขียว District Green Metallic
- สีน้ำเงิน Firmament Blue Metallic
ภายในห้องโดยสาร มีให้เลือก 2 สี
- สีดำ Black
- สีน้ำตาล Cognac Brown
S line Black Edition Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro มี 2 รุ่น S line และเพิ่ม 300,000 บาทกับ S line Black Edition
Audi A7 รถยนต์สไตล์ Gran Turismo 4 ประตู ระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริด กำลังขับรวมได้สูงถึง 367 แรงม้า ความเร็วจาก 0 - 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง เพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กิโลเมตร / ชั่วโมง (ในโหมดไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร / ชั่วโมง และระยะทางวิ่งไกลสุดอ้างอิงตามผลการทดสอบมาตรฐาน WLTP ถึง 69 กิโลเมตร) พร้อมชุดแต่ง S line
S line Black Edition (สีแดง)
ภายนอกลุคสปอร์ตด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ S line Black Edition และล้อลายใหม่ Audi Sport 5-double arm style ขนาด 20 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า-หลัง (Light staging) พร้อมไฟ Projector LED สัญลักษณ์ S ที่ประตูหน้า เบาะนั่งคู่หน้าหนัง Valcona แบบ Sports plus ตกแต่งด้วยลาย Diamond cut พร้อมสัญลักษณ์ S line
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัด ตกแต่งด้วยหนัง Perforated พร้อมสัญลักษณ์ S line ตกแต่งภายในด้วยลาย Dark Matte Brushed Aluminum หลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า แป้นเบรก แป้นคันเร่ง และที่พักเท้าตกแต่งด้วย Stainless steel ภายในรถนั้นไม่ได้มีแต่ความสวยหรู
S line
และมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ดีเยี่ยม เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน ช่อง USB-C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ระบบเครื่่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ และไฟเรืองแสงในห้องโดยสารมากถึง 30 สี (Contour/ambient lighting) ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มการขับขี่ (Stationary air conditioning)
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเทอร์โบชาร์จขนาด 2 ลิตร ให้กำลัง 265 แรงม้า แรงบิด 370 นิวตันเมตร ผสานมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร กำลังรวมทั้งระบบ 367 แรงม้า แรงบิดรวม 500 นิวตันเมตร ผ่านระบบเกียร์ S tronic 7 จังหวะ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถเก็บพลังงานได้ถึง 17.9 กิโลวัตต์ / ชั่วโมง พร้อมระบบ Recuperation ที่สร้างพลังงานไฟฟ้ากลับคืนสู่แบตเตอรี่ขณะขับขี่ ทรงรถ Gran Turismo 4 ประตู หนึ่งเดียวในเซกเมนต์พรีเมียมที่นำเสนอระบบปลั๊กอินไฮบริดพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro
ระบบชาร์จที่มาพร้อมกับ
Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro เป็นมาตรฐาน หัวชาร์จแบบ Type 2 สำหรับใช้กับเครื่องชาร์จสาธารณะ พร้อมแท่นชาร์จ Compact Charger ที่ใช้สำหรับการชาร์จไฟบ้านและอุตสาหกรรมระบบจะมีการแสดงสถานะ LED เพื่อความปลอดภัย รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนั้น สำหรับการชาร์จด้วยไฟบ้านขนาด 220 โวลต์ ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่เปล่าให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง
S line
สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี
- Metallic Glacier White
- Metallic Floret Silver
- Metallic Mythos Black
- Metallic Chronos Grey
- Metallic Firmament Blue สีใหม่
- Metallic Grenadine Red สีใหม่
Audi เป็นรถยนต์นำเข้าทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถใหม่จะได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถ Plug-in Hybrid TFSI e ใหม่ ทุกรุ่นรับประกันแบตเตอรี่แรงดันสูง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี ลูกค้าอาวดี้สามารถมั่นใจกับงานบริการหลังการขายซึ่งมีมาตรฐานคุณภาพเดียวกันทุกสาขา โทรนัดหมายได้ที่
Audi Centre Thailand 02-765-8888
Audi New Petchburi 02-023-4888
Audi Pattaya 038-197-888
Audi Phuket 076-646-666
Audi Service Chiang Mai 052-081-188
Audi Service Ratchapruek 02-034-5888
Audi Udonthani 093-161-5588
Audi Korat 044-017-888