Toyota ได้ทำการเปิดตัว
All New C-HR ที่ได้รับการออกแบบใหม่โดยเป็นรถอเนกประสงค์ขนาด C-segment ที่มีการแข่งขันสูงในตลาดยุโรป ที่ผ่านมา
C-HR เป็นรถที่มียอดขายดีที่สุดของ Toyota ในตลาดนี้ สำหรับ All New C-HR ได้ยกระดับจากรุ่นก่อนด้วยการออกแบบที่ล้ำสมัย, เทคโนโลยีขั้นสูง และระบบส่งกำลังแบบ Hybrid และ Plug-in Hybrid ที่มีกำลังเพิ่มขึ้น ทำให้มีความสามารถในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น
All New C-HR เปิดตัวพร้อมกับรุ่น Premiere Edition พิเศษ 2 รุ่น
- GR SPORT Premiere Edition จะเพิ่มรายละเอียดสไตล์ GR ซึ่งรวมถึงรูปแบบ G-mesh สำหรับกระจังหน้า ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 20 นิ้ว ตรา GR ประดับด้วย Liquid Black บนคอนโซลกลางและเบาะนั่งด้านหน้าแบบสปอร์ตพร้อมโลโก้ GR นูนบนพนักพิงศีรษะ สีที่เป็นซิกเนเจอร์ของมันคือสี Precious Silver ในรูปแบบ Bi-tone ใหม่ที่เพิ่มสีดำตัดกันตั้งแต่หลังคาไปจนถึงด้านหลังของตัวรถ จะมีตัวเลือกสีอื่นๆ ข้อมูลจำเพาะของอุปกรณ์รวมถึงจอแสดงผลบนกระจกหน้าและระบบเสียงระดับพรีเมียมของ JBL
- High Premiere Edition มีรูปลักษณ์ภายนอกสี Bi-tone ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Sulphur – จะมีสีอื่นๆ ให้เลือกด้วย ห้องโดยสารมีเบาะหนังแบบเจาะรูพร้อมการเย็บแบบ Sulfur แบบตัดกัน จอแสดงผลบนกระจกหน้ารถ และหลังคาแบบพาโนรามา
การออกแบบของ C-HR นั้นได้ทำลายรูปแบบการออกแบบรถอเนกประสงค์แบบเดิมๆ ของ Toyota จนมาถึง All New C-HR ที่เห็นได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้นแบบ Super-Coupe ดีไซน์ด้านหน้าเป็นแนวทางใหม่สำหรับรถอเนกประสงค์ของทาง Toyota ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีกลิ่นอายของ bZ4X และ New Prius ทำให้มีรูปลักษณ์ที่เฉียบคม ถ่ายทอดความรู้ึกที่จะพุ่งไปข้างหน้า
โดดเด่นในหลายๆ จุด อาทิ มือจับประตูแบบใหม่ซึ่งปรากฏอยู่ใน Toyota เป็นครั้งแรก ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้ทันทีที่พบเห็น ส่วนล้อจะมากับขนาด 20 นิ้ว สีทูโทนรูปแบบใหม่ ส่วนการใช้สีของหลังคาที่เป็นสีดำทำให้ดูตัดกับสีตัวถังลงไปจนถึงชิ้นส่วนกันชนหลัง โดยทีมออกแบบได้ทำเพื่อให้มั่นใจว่าตัวรถจะมีประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์และรูปลักษณ์ที่น่าประทับใจ
ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์ให้ผู้ใช้ที่จะใช้งานง่าย แต่เป็นส่วนตัว นี่เองที่ทำให้ All New C-HR ถูกออกแบบมาให้เหนือความคาดหมาย ซึ่งสามารถใช้แอปบนโทรศัพท์ผ่านหน้าจอสัมผัส หรือคำสั่งเสียงเพื่อควบคุมฟังก์ชันต่างๆ โดยจะมากับจอแสดงผลแบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมจอแสดงผลบนกระจกหน้ารถ ที่มีความคมชัด ละแบ่งโซนข้อมูลอย่างชัดเจน ง่ายต่อการอ่านข้อมูล นอกจากนี้ ยังมากับระบบกุญแจดิจิทัล ซึ่งผู้ใช้เพียงแค่มีโทรศัพท์อยู่กับตัวเพื่อเข้าถึงและสตาร์ทรถได้แล้ว ส่วนไฟส่องสว่างภายในนั้นมีให้เลือกมากถึง 64 สี ซึ่งโปรแกรมการเปลี่ยนเฉดสีได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับเวลาผ่านไปในแต่ละชั่วโมงเพื่อเปลี่ยนจากโทนสีจากเช้า-เย็น
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
All New C-HR จะมาพร้อม Toyota Smart Connect ซึ่งรวมถึง (ตามเกรดของรุ่น) หน้าจอสัมผัสขนาด 8 หรือ 12.3 นิ้ว ระบบสั่งการด้วยเสียงแบบออนบอร์ด และการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนแบบไร้สายผ่าน Apple CarPlay หรือ Android Auto ระบบจะให้ข้อมูลและตำแหน่งการชาร์จ เจ้าของรถจะสามารถใช้แอพ MyT บนสมาร์ทโฟนเพื่อควบคุมการทำงานของรถได้จากระยะไกล รวมถึงสั่งงานระบบปรับอากาศเพื่อให้ความร้อนหรือความเย็นกับรถก่อนออกเดินทาง นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันการจอดรถอัตโนมัติที่เหนือกว่าในรถระดับเดียวกัน, แอพที่ช่วยให้สามารถจอดรถในระยะไกลได้อย่างสมบูรณ์โดยที่ผู้ขับขี่อยู่นอกตัวรถ ช่วยให้สามารถหลบหลีกได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นในพื้นที่จำกัด
เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและใช้ประโยชน์จากวัสดุรีไซเคิลมากขึ้น ในรถรุ่นนี้มีปริมาณพลาสติกรีไซเคิลเพิ่มขึ้นสองเท่า ซึ่งใช้ในชิ้นส่วนต่างๆ กว่า 100 ชิ้น ซึ่งรวมถึงผ้าใหม่สำหรับเบาะที่นั่งที่ทำจากขวด PET รีไซเคิล ชิ้นส่วนกันชนถูกสร้างขึ้นจากวัสดุเรซินชนิดใหม่ และกระบวนการพ่นสีอัตโนมัติใหม่โดยใช้สีน้ำและใช้วัสดุใหม่ปราศจากสัตว์แทนหนังสำหรับหุ้มพวงมาลัย
สำหรับเรื่องของความปลอดภัย All New C-HR ทุกรุ่นจะมาพร้อม Toyota Safety Sense รุ่นล่าสุดที่มีฟีเจอร์ความปลอดภัยแบบแอคทีฟและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้นการอัปเดตซอฟต์แวร์ในอนาคตสามารถส่งแบบ over-the-air ได้อีกด้วย และยังได้มีการพัฒนา Acceleration Suppression ที่ชะลอการใช้คันเร่งอย่างกะทันหันเมื่อตรวจพบความเสี่ยงของการชนกับรถคันหน้า นอกจากนี้ ระบบช่วยการขับขี่เชิงรุก (PDA) แบบใหม่ยังทำงานที่ความเร็วต่ำ ช่วยให้การชะลอความเร็วราบรื่นขึ้นเมื่อผู้ขับขี่ปล่อยคันเร่งเมื่อเข้าใกล้รถที่ขับช้ากว่าหรือเข้าโค้ง, ระบบช่วยบังคับเลี้ยวรับรู้ถึงทางโค้งและปรับแรงบังคับเลี้ยวเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่เลี้ยวได้อย่างนุ่มนวลและมั่นคง
.jpg)
.jpg)
ขุมกำลังของ All New C-HR จะมากับระบบส่งกำลังแบบใช้พลังงานไฟฟ้า 3 แบบ ประกอบด้วยรุ่นไฮบริด 1.8 และ 2.0 ลิตร และรุ่นปลั๊กอินไฮบริด 2.0 ลิตร (โดยในรุ่นไฮบริด 2.0 ลิตรจะมีจำหน่ายเพิ่มเติมพร้อมตัวเลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD-i) โดยระบบส่งกำลัง 1.8 Hybrid เป็นเครื่องเดียวกันกับที่อยู่ใน Corolla เช่นกันแต่มีกำลังมากกว่า ให้กำลัง 140 แรงม้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ส่วน ส่วน 2.0 Hybrid จะให้กำลัง 196 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ AWD-i ช่วยเพิ่มการยึดเกาะและเสถียรภาพเมื่อออกตัว,เข้าโค้ง หรือขับบนพื้นผิวลื่น และ 2.0 Plug-in Hybrid เป็นรุ่นที่ให้การขับขี่ EV และด้วย Regeneration Boost, One Pedal ให้กำลัง223 แรงม้า แบตเตอรี่ลิเที่ยมไออน ขนาด 13.6 kWh สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้ถึง 87 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTC) ทั้งหมดผ่านการวิเคราะห์เพื่อส่งมอบการปรับปรุงระบบส่งกำลังใหม่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจของผู้ขับขี่และความสนุกในการขับขี่
.jpg)
ณ ตอนนี้ในยุโรปเปิดให้ผู้ที่สนใจลงทะเบียนจองล่วงหน้าแบบออนไลน์ แต่ในไทยยังไม่มีแผนที่จะนำ All New C-HR เข้ามาทำตลาดแต่อย่างใด แต่ก็เรียกได้ว่ามันสวยเข้าตาจนต้องร้องว่า อยากได้เอาเข้ามาขายเถอะ