บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เดินทัพสู่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 อีกครั้งกับหลากหลายยนตรกรรมล้ำสมัยพร้อมการออกแบบชั้นเลิศ เตรียมเสนอสุดยอดรุ่นยานยนต์ศาสตร์แห่งศิลป์ที่พร้อมเติมเต็มทุกความต้องการ สอดคล้องแนวคิด Colourful Experiences ประสบการณ์ครบทุกสีสัน ของการจัดงานในปีนี้ และความมุ่งมั่นในการมอบพลังแห่งทางเลือกให้กับลูกค้าสู่งานมอเตอร์โชว์ 2023 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน 2566 ณ อาคาร Impact Challenger Hall 1-3 เมืองทองธานี
นำทัพรถยนต์ด้วย
BMW XM ใหม่ ที่มาเผยโฉมตัวจริงสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก และ
BMW M2 โฉมใหม่ อีกหนึ่งรุ่นรถยนต์ที่หลายคนจับตามองจาก BMW M การันตีสมรรถนะขั้นสูงและการออกแบบสัดส่วนตัวรถอันทรงพลัง
ผู้เข้าชมงานมอเตอร์โชว์ 2023 ยังจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับรถยนต์ซีดานปลั๊กอินไฮบริดขนาดกลางสุดหรูกับ
BMW 530e Luxury ใหม่
พร้อมสัมผัสขุมพลังไฟฟ้าล้วนกับ
BMW i4 eDrive35 M Sport ใหม่ ที่ผสานเอกลักษณ์สไตล์ Gran Coupe เข้ากับสมรรถนะพลังงานไฟฟ้าอันทรงพลัง
และ
BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนไฟฟ้า eDrive ทรงประสิทธิภาพและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยไฟฟ้า
ด้าน
MINI เผยโฉมรถยนต์ที่มอบ
ประสบการณ์ครบทุกสีสัน อย่างแท้จริง ด้วยรถยนต์
คูเปอร์ เอส คลับแมน รุ่น Multitone Red ใหม่ ปลดปล่อยตัวตนไม่ซ้ำใครและบุคลิกอันโดดเด่นผ่านนวัตกรรมการพ่นสี Multitone ด้วยเทคนิคการลงสีเปียกบนเปียก กับการไล่เฉดสีแดงสดใส
ในขณะที่รถยนต์
จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ คลาสสิก ใหม่ ในสีเหลือง Zesty Yellow ดึงดูดทุกสายตาบนท้องถนนด้วยอัตลักษณ์จิตวิญญาณสไตล์โกคาร์ทในตำนานที่เร่งเครื่องพาให้ทุกหัวใจเต้นแรงราวอยู่บนสนามแข่ง
มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดปีที่ผ่านมา แม้เราต้องเผชิญกับปัจจัยเศรษฐกิจที่ท้าทายมากมาย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงยืนหยัดรักษาตำแหน่งและความมุ่งมั่นของเราเสมอมา และเป็นอีกครั้งที่เราสามารถก้าวเข้ามาสู่แนวหน้าของเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมได้อย่างภาคภูมิเป็นปีที่สามติดต่อกัน ซึ่งความสำเร็จนี้เป็นไปได้เพราะลูกค้าทุก ๆ คนที่มอบความไว้วางใจให้กับเรา อย่างที่เห็นได้จากคะแนน Net Promoter Score ด้านการขายและการให้บริการที่มากขึ้น ความมุ่งมั่นของเราต่อปรัชญาพลังแห่งทางเลือกในฐานะกลยุทธ์หลักของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงแข็งแกร่งไม่สั่นคลอน ด้วยไลน์อัพรุ่นยนตรกรรมที่เราเลือกนำมาสู่งานมอเตอร์โชว์ 2023 เราพร้อมเสนอผลิตภัณฑ์ ระบบขับเคลื่อน และการให้บริการที่หลากหลาย ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังคงมุ่งยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับการบริการที่น่าประทับใจและสะดวกสบายยิ่งขึ้น และสามารถเข้าถึงการบริการของเราได้ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยระบบการจองรถแบบออนไลน์ทาง
https://shop.bmw.co.th ที่ได้รับการพัฒนาให้ลูกค้าสามารถปรับแต่ง เลือกสีภายนอก ภายใน รวมถึงเลือกผู้จำหน่ายรถยนต์ที่สะดวก และบริการทางการเงินที่เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด”
“ทั้งนี้ ปีนี้ยังเป็นปีพิเศษที่เราจะได้เฉลิมฉลองการครบรอบ
Make Life a Ride 100 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่เราหวังว่าผู้เข้าชมงานจะดำดิ่งไปกับประวัติศาสตร์แห่งความหลงใหล การผจญภัย วิสัยทัศน์ และความสำเร็จอันยาวนานของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ผ่านนิทรรศการพิเศษที่เรานำมาจัดภายในงานมอเตอร์โชว์ 2023 ที่บูธ M8/1A”
ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44
BMW M2 โฉมใหม่
ราคาจำหน่าย: 6,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
M2 โฉมใหม่ สุดยอดรถยนต์ในดวงใจของแฟน ๆ ตระกูล M หวนคืนสู่วงการรถสปอร์ตสมรรถนะสูงอีกครั้ง มาพร้อมกับการปรับแต่งที่โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า ผสมผสานขนาดกะทัดรัด ระบบส่งกำลัง และเทคโนโลยีแชสซีไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปราดเปรียวและการตอบสนองทรงประสิทธิภาพ พร้อมความสามารถในการควบคุมที่ทำได้อย่างง่ายดายแม้ในสภาวะการขับขี่ที่ดุดันสุดขีดจำกัด รูปลักษณ์สปอร์ตปราดเปรียวของ M2 โฉมใหม่ มีที่มาจากสัดส่วนที่ทรงพลังเป็นพิเศษและลักษณะการออกแบบสไตล์ M อันโดดเด่น มาพร้อมระยะฐานล้อที่สั้นลง 110 มิลลิเมตร รวมถึงดีไซน์ภายนอกที่สั้นกว่าบีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupé ถึง 214 มิลลิเมตร
กระจังหน้าทรงไตคู่แนวนอนขนาดใหญ่แบบไร้กรอบ ผสานกับช่องดักอากาศที่แบ่งออกเป็นสามส่วนในรูปทรงเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมส่งให้ส่วนหน้าของตัวรถมีรูปลักษณ์แบบ M ที่คุ้นเคย ตัวรถยังถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความจำเป็นเชิงเทคนิคในการระบายอากาศและสมดุลอากาศพลศาสตร์
ด้านท้ายของ M2 โฉมใหม่ ยังดูสะดุดตาด้วยขอบสปอยเลอร์บนฝากระโปรงหลัง แผ่นสะท้อนแสงจัดวางในแนวตั้ง ดิฟฟิวเซอร์ที่กันชนท้าย และปลายท่อไอเสียสองคู่ที่สองข้างท้ายของตัวรถ
หัวใจของ M2 โฉมใหม่ คือขุมพลังเบนซิน 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo ส่งพลังสูงสุด 460 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที ให้แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 2,650 – 5,870 รอบต่อนาที โลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 4.1 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สมรรถนะแบบไดนามิกยังผสานเข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 จังหวะ พร้อมระบบ Drivelogic เพิ่มการเปลี่ยนเกียร์ให้สปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยระบบการเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์โดยตรง พร้อมความสามารถในการลดเกียร์ลงหลายระดับจนถึงเกียร์ต่ำสุด ระบบส่งกำลังพื้นฐานนี้มีส่วนสำคัญในการเร่งความเร็วแบบทันทีทันใดได้อย่างน่าประทับใจ
โหมดการขับขี่ M Drive Professional ช่วยเสริมความเร้าใจในการขับขี่ให้มากขึ้น มาพร้อมระบบเฟืองท้าย M Sport เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและเสถียรภาพในการขับขี่เมื่อเปลี่ยนเลนหรือเร่งความเร็วออกจากโค้ง และเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือบนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน นอกจากนั้น ช่วงล่าง Adaptive M Suspension ยังช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้อย่างอิสระระหว่างรูปแบบการขับขี่แบบสะดวกสบายหรือสไตล์สปอร์ต
ภายนอกตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงาและโคมไฟหน้าตกแต่งสีดำสไตล์ M และเสริมความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยระบบไฟหน้า Adaptive LED, ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam assistant), ชุดเบรก M Compound สีแดงเงา และหลังคา M Carbon
ภายในอวดโฉมการตกแต่งสไตล์สปอร์ตด้วยชุดไฟส่องสว่างภายในและภายนอกห้องโดยสาร (Ambient light), หลังคาภายในดีไซน์ M สีดำ Anthracite และคอนโซลด้านบนบุด้วยหนังแบบ BMW Individual เสริมลุคที่แตกต่างภายในห้องโดยสารด้วยการตกแต่งดีไซน์ M ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์, พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M, เข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M, เบาะนั่งดีไซน์ M Sport เบาะนั่งตอนหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับ และกาบบันไดดีไซน์ M แบบเรืองแสง
BMW Live Cockpit Professional นำเสนอจอแสดงข้อมูลสำหรับคนขับที่ทันสมัยผ่านจอโค้ง BMW Curved Display ซึ่งเป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทำงานร่วมกับระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมระบบความบันเทิงและการสื่อสารล้ำสมัยด้วยจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับจอแสดงข้อมูล 12.3 นิ้ว นอกจากนี้ ระบบ BMW ConnectedDrive และ BMW Connected Package Professional ยังนำเสนอคุณสมบัติและบริการขั้นสูงมากมายที่ช่วยให้การขับขี่สะดวก มีประสิทธิภาพ และสนุกสนานยิ่งขึ้น ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon มอบประสบการณ์เสียงคุณภาพสูงอันดื่มด่ำที่สามารถปรับแต่งได้ จึงช่วยให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ประทับใจยิ่งขึ้น
ความปลอดภัยในการขับขี่ได้รับการยกระดับไปอีกขั้นด้วยระบบต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ได้แก่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC), ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC), ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS), ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (BA), เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash sensor), ระบบ Teleservices และปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
M2 โฉมใหม่ มีมาให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีฟ้า Zandvoort Blue Solid, สีขาว Alpine White Solid, สีแดง Toronto Red Metallic, สีเทา Brooklyn Grey Metallic และสีดำ Black Sapphire Metallic
โดยสามารถเลือกการตกแต่งภายในด้วยเบาะหนัง Vernasca ในสี Black/Exclusive Highlight, สี Black/Contrast Stitching Blue, และสี Cognac Decor Stitching หรือเบาะหนัง Alcantara/Sensatec Combination ในสี Black/Contrast stitching Blue และที่สำคัญ ลูกค้าสามารถทำการจอง
BMW M2 โฉมใหม่ ได้ทางออนไลน์ ผ่าน
https://shop.bmw.co.th โดยลูกค้าสามารถเลือกปรับแต่งรถยนต์ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การเลือกสีภายนอก ภายใน รวมถึงตัวเลือกล้ออีก 2 ตัวเลือก ได้แก่ ล้ออัลลอยน้ำหนักเบา M ลาย 930 M Double Spoke แบบสลับสี หรือ สีดำ Jet Black
BMW 530e Luxury ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,269,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
530e Luxury ใหม่ โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่หรูหราด้วยชิ้นส่วนตกแต่งโครเมี่ยมและเส้นสายทรงพลังทั้งบริเวณด้านหน้าและท้ายรถ มาพร้อมกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ในรูปทรงแปดเหลี่ยมล้อมรอบด้วยกรอบโครเมียม ยาวลงมาบรรจบกับกันชนหน้า ล้อมรอบด้วยกรอบที่เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียว ส่วนบนของซี่ในกระจังหน้ายื่นออกมาเล็กน้อย สร้างมิติที่สอดรับกับไฟหน้า Adaptive LED รูปตัว L ในดีไซน์เรียวยาวดูดุดันยิ่งขึ้น ช่องดักอากาศแนวตั้งทั้งสองข้างในกรอบโครเมียมบนกันชนหน้าเสริมความโดดเด่นให้แก่การเล่นเส้นสายของดีไซน์แบบใหม่ เน้นย้ำถึงความสง่างามและทรงพลังกว่าที่เคย
530e Luxury ใหม่ มอบประสิทธิภาพเต็มพิกัดจากทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในและระบบปลั๊กอินไฮบริด พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ใหม่ล่าสุด โดยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ มอบพละกำลัง 184 แรงม้า ที่ 5,000 - 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,350 - 4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริด ส่งกำลังรวมสูงสุดถึง 292 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 420 นิวตันเมตร ซึ่งพละกำลัง 292 แรงม้า เป็นผลจากการเร่งความเร็วได้มากยิ่งขึ้นด้วยระบบ XtraBoost ซึ่งปลดปล่อยพละกำลังเสริมมากถึง 40 แรงม้า ภายในเวลาเพียง 10 วินาทีเมื่อขับขี่ในโหมด SPORT จึงสามารถโลดแล่นจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรได้ภายใน 5.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยสามารถขับขี่แบบไร้มลพิษได้เป็นระยะทาง 52 กิโลเมตรตามมาตรฐาน NEDC ด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 12 กิโลวัตต์ชั่วโมงที่ติดตั้งอยู่ใต้เบาะหลัง 530e Luxury ใหม่ มาพร้อมล้ออัลลอยลาย V-spoke ขนาด 18 นิ้ว
เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ใน 530e Luxury ใหม่ ได้รับการยกระดับให้ล้ำสมัยยิ่งกว่าที่เคย เพื่อช่วยเหลือการขับขี่ในสภาวะที่หลากหลาย พร้อมปูทางสู่เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) และฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในสภาวะต่าง ๆ เช่น ระบบควบคุุมความเร็วคงที่่ พร้อมฟังก์ชั่นช่วยลดความเร็ว (Cruise Control with braking function), ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่่ (Attentiveness Assistant) นอกจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยอีกมากมายในทุกรุ่นเพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ เช่น เซนเซอร์ควบคุุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor), ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side Impact Protection), ระบบ Active Protection และเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control), ระบบช่วยนำรถเข้าที่่จอดอัตโนมัติ (Parking Assistant) ยังช่วยยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายโดยเฉพาะขณะถอยจอดและจอดขนาน
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ 530e Luxury ใหม่ คือการออกแบบภายในห้องโดยสารที่ยังคงเน้นการผสานทั้งความสง่างามและความล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกัน โดยยังคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นสำคัญ จึงสร้างบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบทั้งสำหรับการขับขี่และมอบความสะดวกสบายแม้ขณะเดินทางไกล ตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียมและงานฝีมือสุดประณีตจากช่างผู้เชี่ยวชาญ พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ Sport พร้อมคอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมเบาะหนังแท้ Dakota ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยลายไม้แบบ Fineline Ridge พร้อมแถบโครเมียม
530e Luxury ใหม่ ยังได้รับการพัฒนาในด้านระบบความบันเทิงและการสื่อสารให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยจอ BMW Head-up Display และระบบ BMW Live Cockpit Professional แสดงผลบนจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ทำงานบนระบบปฎิบัติการ BMW Operating System 7 ที่ปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon ยังช่วยมอบความเพลิดเพลินด้วยคุณภาพเสียงที่เหนือชั้นในขณะขับขี่ ระบบปลดล็อกประตููอัจฉริยะ (Comfort Access System), ระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า, ระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam Assistant), ระบบไฟหน้าแบบ LED และกระจกมองข้างตัดแสงอัตโนมัติ ยังช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวรถอีกด้วย นอกจากนี้ ผู้ขับขี่สามารถเลือกควบคุมระบบการทำงานของรถยนต์ ระบบความบันเทิงและการสื่อสาร ระบบการเชื่อมต่อ และระบบนำทางได้ผ่านทางจอ Control Display ระบบสัมผัส ระบบ iDrive ปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่นบนพวงมาลัย, ระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่าน BMW Intelligent Personal Assistant และ BMW gesture control
530e Luxury ใหม่ มีให้เลือกใน 3 ตัวเลือกสี ได้แก่ ตัวถังภายนอกสีขาว Alpine White สีดำ Black Sapphire Metallic และสีน้ำเงิน Phytonic Blue
BMW i4 eDrive35 M Sport ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,899,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
i4 eDrive35 M Sport ใหม่ เป็นรถยนต์ Gran Coupé สี่ประตูที่ผสมผสานความโอ่อ่ากว้างขวางภายในตัวรถเข้ากับการใช้งานจริง พร้อมโลดแล่นบนท้องถนนกับความโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตซึ่งเป็นความโดดเด่นของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงคุณสมบัติหลากหลายที่ทำให้การเดินทางไกลอุ่นใจยิ่งขึ้น เอกลักษณ์ความพรีเมียมที่ถูกสะท้อนให้เห็นในระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีแชสซีที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง รวมไปถึงการออกแบบที่หรูหรา มาตรฐานคุณภาพวัสดุ และฝีมือในการผลิตอันเหนือชั้น ตลอดจนออปชันอีกมากมายที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย
i4 eDrive35 M Sport ใหม่ ผสมผสานมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 286 แรงม้า เข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลังแบบคลาสสิก มอบระยะวิ่งสูงสุดถึง 483 กิโลเมตร อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 18.7 – 15.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน WLTP) และระยะทางวิ่งสูงสุด 490 กิโลเมตร อัตราการใช้ไฟฟ้ารวม 15.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) รถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร มอบอัตราเร่ง 0 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 6 วินาที ประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตยังมาพร้อมกับเสียงอันทรงพลังที่ตอบสองในจังหวะการเร่งเครื่องซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 ยังประกอบด้วยแบตเตอรี่แรงดันสูงพร้อมด้วยเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด โดยมีความจุพลังงานแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ 70.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถชาร์จไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC) สูงสุดได้ที่ 180 กิโลวัตต์ ใช้เวลาประมาณ 35 นาที ในการชาร์จไฟจาก 0 – 80%
ช่วงหน้าของรถที่สั้นลง เสาทรงเพรียว ประตูพร้อมหน้าต่างแบบไร้ขอบ และหลังคาท้ายลาดที่ออกแบบมาอย่างโฉบเฉี่ยวตามแบบฉบับรถยนต์ BMW คูเป้ พร้อมระบบไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ และกระจังหน้าทรงไตคู่ของบีเอ็มดับเบิลยูที่มาพร้อมกับกล้องที่แฝงตัวอยู่ภายใน เซ็นเซอร์แบบเรดาร์และอัลตราโซนิก ล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติเด่นในส่วนหน้าของตัวรถ
i4 eDrive35 M Sport ใหม่ ยังตกแต่งภายนอกด้วยชุดตกแต่ง M Sport พร้อมวัสดุสีเงาดำ คาลิเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport สปอยเลอร์ท้ายดีไซน์ M ความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ได้รับการยกระดับให้ดียิ่งขึ้นด้วยระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า และระบบปลดล็อกประตูอัจฉริยะ นอกจากนั้น ล้อ M aerodynamic น้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้ว แบบสลับสี ยังช่วยเพิ่มรูปลักษณ์ภายนอกที่โฉบเฉี่ยวให้กับรถรุ่นนี้อีกด้วย
ภายในห้องโดยสารเน้นการใช้งานสำหรับผู้ขับขี่ เสริมด้วยบรรยากาศแห่งความหรูหราระดับพรีเมียม พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง พร้อมตกแต่งด้วยอลูมิเนียมลาย Mesheffect เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่ง แผงหน้าปัดรถยนต์หุ้มหนัง Sensatec ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน และชุดไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ช่วยเสริมที่สุดแห่งความเพลิดเพลินและความสะดวกสบายในระหว่างการขับขี่
ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ได้รับการออกแบบมาโดยเน้นการใช้งานหน้าจอสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display และการสั่งการด้วยเสียงผ่านระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่ถูกพัฒนามาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หน้าจอดิจิทัล BMW Curved Display มาพร้อมจอแสดงข้อมูลขนาด 12.3 นิ้ว และจอควบคุมระบบสัมผัสขนาด 14.9 นิ้ว หน้าจอโค้งด้วยองศาที่รับกับมุมสายตาของผู้ขับขี่ นอกจากนี้ BMW Live Cockpit Plus ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานพร้อมระบบเครื่องเสียง HiFi loudspeaker ให้ผู้รักเสียงเพลงได้เพลิดเพลินไปกับคุณภาพเสียงที่คมชัดยิ่งขึ้น ระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนยังช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงแอปพลิเคชันโปรดและความบันเทิงอย่างไร้รอยต่อในขณะเดินทาง นอกจากนี้ ระบบ BMW lconicSounds Electric ยังมาพร้อมกับเสียงประกอบต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์ผ่านความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยูและ Hans Zimmer นักประพันธ์เพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดัง
หลากหลายระบบตัวช่วยถูกติดตั้งเพื่ออำนวยความสะดวกสบายและยกระดับความปลอดภัยในขณะขับขี่และเมื่อจอดรถ i4 eDrive35 M Sport ใหม่ โดดเด่นด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop&Go และระบบช่วยการขับขี่ มาพร้อมกับระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ, ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่, ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่อัตโนมัติ (ASC), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC), ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS), ระบบสร้างเสียงจำลองเตือนผู้ใช้ถนนรอบข้าง, เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน และระบบ Teleservices
i4 eDrive35 M Sport ใหม่ มีให้เลือก 4 สี คือ สีดำ Black Sapphire, สีขาว Mineral White, สีเทา M Brooklyn Grey และสีน้ำเงิน M Portimao Blue
BMW iX xDrive40 Sport ใหม่
ราคาจำหน่าย: 5,299,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
iX xDrive40 Sport ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานยิ่งขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้าซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลังด้วยความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.1 วินาที ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 326 แรงม้า ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 นี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (ตามมาตรฐาน WLTP) สูงสุด 372 - 425 กิโลเมตร และ 420 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 630 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แรงดันสูงใน iX xDrive40 Sport ใหม่ มีความจุพลังงานสุทธิ 76.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ จึงสามารถชาร์จจาก 0% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 34 นาที
เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนา iX xDrive40 Sport ประกอบด้วยเพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็วเสริมด้วยยางที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียง อีกหนึ่งเอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใครของ iX xDrive40 Sport ใหม่ คือ ดีไซน์ภายนอกที่มีเส้นสายการออกแบบชัดเจนทรงพลัง แต่ยังคงความเรียบง่ายและบึกบึนสไตล์ SAV รายละเอียดขององค์ประกอบต่างๆ สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ สะท้อนถึงนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย ส่วนกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่เรียวยาวที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู มือจับประตูที่เปิดด้วยการกดปุ่ม หน้าต่างไร้ขอบ และฝากระโปรงท้ายบานใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณท้ายรถทั้งหมด
การออกแบบภายในห้องโดยสารมุ่งนำเสนอแนวคิดของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ พื้นที่กว้างขวางและเบาะที่นั่งแบบใหม่ที่มาพร้อมกับพนักพิงศีรษะเสริมความหรูหรายิ่งขึ้น คอนโซลกลางมาในดีไซน์เฉียบไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์หรู สวิตซ์ปรับเบาะนั่งคู่หน้า ปุ่มควบคุม iDrive และสวิตซ์เปลี่ยนเกียร์แบบ rocker switch ตกแต่งด้วยคริสตัล เติมเต็มความทันสมัยยิ่งขึ้นภายในห้องโดยสาร พร้อมเน้นย้ำถึงการออกแบบห้องโดยสารเพื่อผู้ขับขี่ด้วยจอ BMW Curved Display พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display หลังคาภายในสีดำ Anthracite มาพร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Harman Kardon Surround Sound System ขนาด 655 วัตต์ พร้อมลำโพง 18 ตัว ที่สร้างประสบการณ์
รับฟังที่ดีที่สุด
iX xDrive40 Sport ใหม่ มาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และนวัตกรรมหลากหลายเหนือกว่ารถยนต์ BMW ทุกรุ่น พร้อมเซนเซอร์เจเนอเรชั่นใหม่ ซอฟต์แวร์ใหม่ และแพลตฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลัง ใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอัลตร้าโซนิกเซนเซอร์ 12 ตัวในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน, ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go เสริมการทำงานด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ประกอบด้วยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) แสดงภาพพื้นที่โดยรอบของรถให้เห็นแบบสามมิติผ่านระบบ Remote 3D View พร้อมด้วยระบบ BMW Live Cockpit Professional และระบบสั่งงานอัจฉริยะ BMW Natural Interaction
ระบบความปลอดภัยใน iX xDrive40 Sport ใหม่ ได้รับการติดตั้งมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยผู้โดยสารและผู้ที่อยู่รอบรถยนต์เป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่อัตโนมัติ (ASC), ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC), ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS), ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (BA), เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash sensor), ระบบ Active Protection ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่, ระบบปกป้องคนเดินถนนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ, ระบบ Teleservices และปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
BMW iX xDrive40 Sport ใหม่ มากับตัวเลือกสีตัวถังมากมายได้แก่ สีแดง Aventurin Red, สีดำ Black Sapphire, สีขาว Mineral White,สีเทา Storm Bay, สีน้ำเงิน Phytonic Blue และสีฟ้า Blue Ridge Mountain
MINI Cooper S Clubman Multitone Red ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,199,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard)
MINI Cooper S Clubman สี Multitone Red ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดความสำเร็จของรถยนต์ในเซกเมนต์พรีเมียมคอมแพ็คได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งสมาชิกครอบครัว Multitone Edition ที่จะมาร่วมเฉลิมฉลองความหลากหลายของคอมมิวนิตี้คนรักมินิ ผ่านรายละเอียดการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน รถยนต์มินิในรุ่น Multitone Edition มอบพลังแนวคิดเชิงบวก เพิ่มลูกเล่นและความเป็นกันเอง พร้อมชูคอนเซ็ปต์ ชีวิตหลายแง่มุม ผ่านการใช้สี โดยเฉพาะเฉดสีของหลังคาที่เปรียบเสมือนผืนผ้าใบของงานศิลปะที่แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่แต่ละคน และหลังคาเฉดสีใหม่ที่จะมาเติมสีสันให้ชีวิตด้วยการไล่ระดับเฉดสีแดงสดใสของมินิรุ่นนี้
สำหรับรถ MINI รุ่นนี้ใช้เทคนิคการพ่นสีแบบต่อเนื่องโดยไม่ต้องรอทิ้งช่วงให้แห้ง (wet-on-wet) นวัตกรรมที่รังสรรค์โดยโรงงานมินิในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ซึ่งเฉดสีทั้งสามถูกพ่นลงทีละสี ได้แก่ สีแดง Chilli Red ในส่วนด้านหน้า ตามด้วยสีเทา Melting Silver และจบด้วย สีดำ Jet Black ในส่วนท้ายของตัวถัง ก่อนจะลงสีทับด้วยเทคนิคสเปรย์เทค (Spray Tech) ซึ่งเทคนิคนี้อาจส่งผลให้การผสมของสีที่พ่นมีรูปแบบที่แตกต่างกันตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เพิ่มเอกลักษณ์ให้กับมินิ Multitone Edition แต่ละคันมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ สีของหลังคาที่ตัดกันอย่างชัดเจนและแบ่งสัดส่วนตัวถังเป็น 3 ส่วนตามเอกลักษณ์ของมินิ ยังโดดเด่นสะดุดตาขึ้นอีกขั้นกับตัวถังสีขาว Nanuq White
นอกจากจะสะดุดตาด้วยหลังคาสีแดงไล่เฉดสีสวยงาม MINI Cooper S Clubman รุ่น Multitone Red ยังโดดเด่นด้วยหลากหลายฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้าทรงกลม LED สำหรับการขับขี่ตอนกลางวัน ไฟท้ายลายยูเนียนแจ็คอันเป็นเอกลักษณ์ของมินิ ฝาครอบกระจกข้างสีแดง ราวหลังคา และภายนอกตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black เพิ่มความพิเศษของรุ่นนี้ไปอีกระดับ มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ลาย Net Spoke สีดำ พร้อมยางรันแฟลต
พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่น กระจกมองหลังพร้อมฟังก์ชั่นลดแสงสะท้อน (Anti-Dazzle) ยังถูกใส่มาในรถรุ่นนี้ด้วย นอกจากนี้ มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน รุ่น Multitone Red ยังมาพร้อมระบบความบันเทิงภายในรถและระบบการสื่อสารอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง จอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว และ Apple CarPlay สร้างบรรยากาศตื่นเต้นเร้าใจตลอดการเดินทาง
รถยนต์ MINI Cooper S Clubman รุ่น Multitone Red มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน ทำงานควบคู่ระบบเกียร์ Steptronic Sport 7 จังหวะแบบคลัตช์คู่ เครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2 ลิตร ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 4,600 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 7.2 วินาที รถมินิรุ่นนี้ยังยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยเทคโนโลยีการขับขี่สุดล้ำ ทั้งระบบควบคุมการขับขี่ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นเบรก (Cruise Control with Braking Function) ระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistant) เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ยิ่งขึ้นด้วยระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ที่มาพร้อมระบบ Electronic Differential Lock Control (EDLC) และระบบเบรก ABS ที่ได้รับการติดตั้งเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายและปลอดภัยสูงสุด
MINI John Cooper Works Hatch Classic
ราคาจำหน่าย: 3,248,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard)
MINI John Cooper Works คือรุ่นรถยนต์ที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ตอย่างแท้จริง โดยจากการพัฒนาครั้งล่าสุด MINI John Cooper Works ได้กลายเป็นรถสปอร์ตอันดับต้น ๆ ของเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมขนาดเล็ก ตื่นเต้นเร้าใจมากยิ่งขึ้นด้วยสีใหม่ในสีเหลือง Zesty Yellow สดใส และการดีไซน์แบบใหม่พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครันยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบปฏิบัติการใหม่และแพ็คเกจอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะเพิ่มความสนุกในการขับขี่สุดเร้าใจตามแบบฉบับของผู้ขับขี่แต่ละคนได้อย่างเต็มพิกัด
ส่วนหน้าของตัวรถสะดุดตาด้วยไฟหน้าทรงกลมแบบ LED พร้อมไฟสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน และช่องระบายความร้อนทรงหกเหลี่ยม เพิ่มความโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น ช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการระบายอุณหภูมิของระบบขับเคลื่อนและระบบเบรกสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตเต็มรูปแบบ กรอบไฟเลี้ยวด้านหน้าและด้านหลังยังมีดิฟฟิวเซอร์ดีไซน์ใหม่ ที่ช่วยให้อากาศไหลผ่านใต้ท้องรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ไฟหน้าแบบ Adaptive LED ย้งมาพร้อมกับฟังก์ชั่น Matrix ส่องสว่างได้ไกลยิ่งขึ้น การตกแต่งภายนอกด้วยสีดำ Piano Black หลังคาและฝาครอบกระจกข้างสีดำและสีขาว รวมถึงล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ลาย John Cooper Works Track Spoke สีดำ พร้อมยางรันแฟลต เติมเต็มความโฉบเฉี่ยวของมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ แฮทช์ คลาสสิก ใหม่ คันนี้ได้อย่างลงตัว
สุดยอดความสนุกเร้าใจในการขับขี่และฟังก์ชั่นการใช้งานแบบสปอร์ต ยังสัมผัสได้ถึงภายในตัวรถด้วยแพ็คเกจไฟตกแต่ง (Lights Package) หลังคากระจกแบบพาโนรามา พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่น มากไปกว่านั้น พื้นผิวด้านในของตัวรถยังตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black และการบุเบาะนั่งทรงสปอร์ตของ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ด้วยหนัง Dinamica สีดำ Carbon Black โดยสามารถปรับระดับความสูงของเบาะนั่งของผู้โดยสารตอนหน้าได้
ขุมพลังของ MINI John Cooper Works Hatch Classic ใหม่ มาจากเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2 ลิตร ทำงานควบคู่กับระบบเกียร์ Steptronic Sport 8 จังหวะ ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 170 กิโลวัตต์ / 231 แรงม้า ที่ 5,200 – 6,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตันเมตร ที่ 1,450 ถึง 4,800 รอบต่อนาที และสามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 246 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และยังมาพร้อมกับช่วงล่าง Adaptive แบบใหม่และโหมดการขับขี่ MINI Driving Modes เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
MINI John Cooper Works Hatch Classic ยังเติมเต็มประสบการณ์การขับขี่ผ่านความปลอดภัยและการเชื่อมต่ออย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมระยะการจอด (Park Distance Control) ที่มาพร้อมเซนเซอร์ด้านหลัง ระบบเบรก ABS และเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ยิ่งขึ้นด้วยระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ที่มาพร้อมระบบ Electronic Differential Lock Control (EDLC) นอกจากนี้ ดีไซน์ต่าง ๆ ภายในรถยังได้มีการปรับเปลี่ยนอย่างแผงคอนโซลกับหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว Apple CarPlay และระบบเครื่องเสียง HiFi loudspeaker Harman Kardon
อุ่นใจขึ้นและสนุกกว่าในทุกเส้นทางกับข้อเสนอพิเศษในงานมอเตอร์โชว์ 2023
ข้อเสนอพิเศษจากบีเอ็มดับเบิลยู
ข้อเสนอชุดแต่ง M Performance Edition พิเศษจากบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5
บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย นำเสนอ
BMW 520d M Sport และ
530e M Sport (M Performance Edition) ใหม่ ด้วยรูปลักษณ์ที่สะดุดตายิ่งขึ้นสำหรับรุ่นรถยนต์ซีดานพรีเมียมที่ประสบความสำเร็จที่สุดของแบรนด์ พร้อมชุดอุปกรณ์ตกแต่ง BMW M Performance เสริมความคล่องแคล่วปราดเปรียวตามสไตล์กีฬามอเตอร์สปอร์ต ผสานเสน่ห์เฉพาะตัวอันโดดเด่นของรถยนต์ผู้บริหารสุดหรู ผลิตมาเป็นพิเศษพร้อมให้จำหน่ายสำหรับรถยนต์สองรุ่นดังกล่าว ในราคาพิเศษเพียง 55,555 บาท จากราคาปกติ 240,029 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าติดตั้ง) สิทธิพิเศษนี้มีให้สำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์ผ่าน
https://shop.bmw.co.th ตั้งแต่วันที่
15 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลา 18:00 น. เป็นต้นไป
ในจำนวนจำกัดเพียง 55 คันเท่านั้น สำหรับชุดอุปกรณ์ตกแต่ง M Performance ในรถยนต์
520d M Sport และ
530e M Sport (M Performance Edition) ใหม่ ประกอบด้วย กระจังหน้าทรงไตคู่คาร์บอนไฟเบอร์ M Performance, สปลิทเตอร์หน้าคาร์บอนไฟเบอร์ M Performance, สปอยเลอร์หลังคาร์บอน, ฝาครอบกระจกคาร์บอน, แถบสติ๊กเกอร์ข้างตัวรถ M Performance และสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ M Performance บริเวณสเกิร์ตข้าง
ข้อเสนอพิเศษจากมินิ