Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium สุดยอดยนตรกรรมสปอร์ตอัจฉริยะรุ่นล่าสุดในตระกูล CLS
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส 300 ดี เอเอ็มจี พรีเมียม (Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium) รถยนต์รุ่นที่ 3 ในตระกูล CLS ที่พร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยและดีไซน์อันสวยงาม สามารถตอบโจทย์ทั้งในด้านสมรรถนะและสุนทรียะในการขับขี่ โดยได้มีการปรับรูปลักษณ์ให้เรียบง่ายขึ้น แต่แฝงไปด้วยอารมณ์และกลิ่นอายความคลาสสิกเหนือกาลเวลาของรถยนต์ CLS รุ่นแรก เตรียมเปิดตัวในงาน
บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ 2018 (Motor Show 2018) เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส 300 ดี เอเอ็มจี พรีเมียม (Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium) ดีไซน์ภายนอกมีจุดเด่นอยู่ที่กระจังหน้าแบบ diamond-pattern grille ที่มีเส้นตัดแบ่งเส้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์แบบคูเป้ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเส้นสายที่ดูกว้างและมีลักษณะทอดตัวลงไปที่พื้น รูปทรงของไฟหน้าที่ดูราบเรียบไปกับตัวถังยังได้รับการออกแบบให้มีเหลี่ยมมุมสอดรับกับเส้นสายบริเวณกระจังหน้าอย่างลงตัว
ด้านข้างตัวรถเสริมความสง่าด้วยลายเส้นที่อยู่สูงและลากเป็นวงโค้งตลอดคันรถ พร้อมมีการใช้เส้นสายที่ดูแข็งแกร่งบริเวณตัวถังเหนือล้อคู่หลังที่ค่อยๆ ทอดต่ำลงและผสานเข้ากับฝากระโปรงหลังที่มีลักษณะราบเรียบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อีกประการหนึ่งของรถยนต์ตระกูล The CLS
นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับหลังคาซันรูฟเลื่อนเปิด - ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า - หลัง และสเกิร์ตดีไซน์สปอร์ตจาก AMG, สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรก, ล้ออัลลอยสปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19" อีกทั้งยังมีชุดไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED และไฟท้ายแบบ LED พร้อมเทคโนโลยีไฟเบอร์ออฟติก
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส 300 ดี เอเอ็มจี พรีเมียม (Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium) ยังได้ออกแบบภายในห้องโดยสารให้หรูหราเรียบง่ายแต่เสริมลูกเล่นพิเศษเข้าไป แผงหน้าปัดสำหรับผู้ขับขี่แบบดิจิตอล ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลของแผงหน้าปัดได้ 3 แบบ เพื่อให้เหมาะกับความรู้สึกขณะขับขี่ หรือให้เข้ากับการตกแต่งภายในห้องโดยสาร นอกจากนี้ ได้มีการออกแบบเบาะที่นั่งเป็นแบบ 5 ที่นั่งเป็นครั้งแรก โดยวัสดุหุ้มเบาะและฝีเข็มสำหรับทั้งเบาะที่นั่งคู่หน้าและเบาะที่นั่งตอนหลังที่อยู่ในตำแหน่งตรงกับเบาะที่นั่งตอนหน้าถูกจัดวางให้เหมือนกันทุกประการ เพื่อสร้างความรู้สึกให้คล้ายกับรถสปอร์ต 1 ที่นั่ง เบาะที่นั่งตอนหลังยังสามารถพับลงแบบ 40/20/40 ได้เพื่อขยายความจุของกระโปรงหลังที่มีความจุสูงถึง 520 ลิตร, เบาะที่นั่งคู่หน้าสามารถปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ, พวงมาลัยพาวเวอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ต 3 ก้านท้ายตัดที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถด้วยระบบไฟฟ้า หุ้มหนัง nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control, ระบบ AUDIO 20 GPS และหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้วต่อกัน 2 จอ, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad, กาบบันไดเรืองแสงพร้อมสัญลักษณ์ Mercedes-Benz, ชุดคันเร่งและแป้นเบรกแบบสปอร์ต อีกทั้งยังสามารถเลือกสีของไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารได้ถึง 64 สี (Premium ambient lighting)
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส 300 ดี เอเอ็มจี พรีเมียม (Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium) ยังคงเน้นในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยและเทคโนโลยี ทำให้โดดเด่นด้วยระบบ DYNAMIC SELECT ให้ผู้ขับขี่เลือกโหมดการขับขี่ 5 แบบ คือ ECO ที่ช่วยปรับการขับขี่เข้าสู่ระบบประหยัดน้ำมัน, INDIVIDUAL ที่สามารถช่วยจดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้, COMFORT ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, SPORT เน้นการเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และ SPORT+ ซึ่งเป็นโหมดที่สามารถใช้สมรรถนะเครื่องยนต์ได้สูงที่สุด และอัตราเร่งดีที่สุด, ระบบกุญแจ KEYLESS-GO พร้อม HAND-FREE ACCESS, ระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display), ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2-Zone, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System), ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist), ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC), ระบบนำทาง (navigation system), ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester Surround Sound System, ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ Apple Carplay & Android Auto และระบบ Bluetooth สำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส 300 ดี เอเอ็มจี พรีเมียม (Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium) มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ พร้อมเทอร์โบคู่และอินเตอร์คูลเลอร์ ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-TRONIC ให้กำลัง 245 แรงม้า ที่ 4,200 รอบต่อนาที และแรงบิด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที และระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering - wheel Gearshift Paddles) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ควบคุมแรงเหวี่ยงจากการทำงานของเครื่องยนต์ให้ต่ำลง ช่วยให้สมรรถนะการขับขี่นุ่มนวลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.44 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กม./ชม.
ส่วนเรื่องราคาจำหน่ายนั้นคงต้องรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ 2018 (Motor Show 2018) ที่กำลังจะมาถึงในปลายเดือนมีนาคมนี้ ว่าทาง Mercedes-Benz จะประกาศราคาออกมาอย่างไร
หมายเหตุ : ภาพที่ใช้ประกอบเพื่อการประชาสัมพันธ์เท่านั้น ไม่ใช่รุ่นที่จำหน่ายจริงในประเทศไทย