All-new Mazda CX-5 เหมือนขับรถยุโรปสมรรถนะสูง ในราคารถญี่ปุ่น
All-new Mazda CX-5 (มาสด้า ซีเอ็กซ์-5) "เหมือนขับรถยุโรปสมรรถนะสูงในราคาญี่ปุ่น" อาจฟังดูเว่อร์ไปหรือเปล่า? ใช่ครับอาจจะเว่อร์ไป แต่ว่าเมื่อลองขับจริงๆ ในทริปที่ทางมาสด้า เซลส์ ประเทศไทยจัดขึ้นแล้ว ยอมรับว่ามันใช่จริงๆ
ทริปทดสอบ มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ใหม่นี้ เป็นอีเว้นท์ใหญ่ โดยมีทั้งหมด 3 กรุ๊ป กรุ๊ปแรกจากเชียงราย กรุ๊ปที่ 2 น่านลงมาเรื่อยๆ จนถึงอุบลราชธานี และกรุ๊ปสุดท้ายซึ่งทีมงานเช็คราคา.คอมร่วมรับไม้ต่อขับจากอุบลราชธานี-สระแก้ว-กรุงเทพฯ รวมระยะทางทั้งหมด 655 กิโลเมตร โดย CX-5 ทั้งหมด 12 คัน แบ่งเป็น 2.0 SP 6 คัน, XD 2.2 1 คัน และ XDL 2.2 4WD 5 คัน และสลับขับจนครบ 2 รุ่นเครื่องยนต์
ภายนอกไฟหน้า LED ระบบ Adaptive LED Headlights, ALH ไฟหน้าแอลอีดีถูกแบ่งออกเป็น 12 ชุด ส่องสว่างหรือดับได้อิสระ โดย ไฟสูง นั้นกล้องตรวจจับด้านหน้าจะตรวจจับไฟหน้ารถหรือไฟท้ายของรถที่อยู่ข้างหน้าและดับชุดไฟแอลอีดีที่เหมาะสมเพื่อควบคุมพื้นที่ในการส่องสว่าง ไฟต่ำไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไฟต่ำ ช่วงกว้างจะทำให้สามารถมองเห็นพื้นที่ได้ถึงระหว่างเสาเอและกระจกมองข้าง การเพิ่มความครอบคลุมไปยังพื้นที่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยไฟหน้าแบบเดิมช่วยเพิ่มทัศนวิสัยตรงทางแยกและการเลี้ยวโค้ง และ โหมดไฮเวย์ ความเร็วประมาณ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไฟหน้าจะถูกปรับขึ้นสูงโดยอัตโนมัติเพื่อขยายขอบเขตการส่องสว่างและทำให้สามารถมองเห็นได้ไกลมากขึ้น
ไฟหน้า LED 12 จุด
ข้อมูลทางเทคนิค Mazda CX-5 มาพร้อมเทคโนโลยี Skyactiv มี 2 รุ่นย่อยคือ
Mazda CX-5 XD/XDL เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนแรล ไดเร็คอินเจคชั่น 4 สูบ 16 วาล์ว 2,191 ซีซี กำลังอัด 14.0 ต่อ 1 กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 4,500 รอบต่อนาที แรงบิด 420 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที มีทั้งขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อให้เลือก
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่ i-ACTIV AWD ใช้เซ็นเซอร์ 27 ตัว เพื่อทราบพฤติกรรมของผู้ขับขี่และสภาพการขับขี่ที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อป้องกันไม่ให้ล้อหน้าลื่นไถล ด้วยการใช้น้ำมันสังเคราะห์ที่มีความหนืดต่ำแม้ในอุณหภูมิที่เย็นจัด ระบบจะลดการสูญเสียพลังงานลงในช่วงอุณหภูมิที่ใช้งาน ระบบนี้สำหรับ The ALL-NEW MAZDA CX-5 ใช้บอลแบริ่งสำหรับแบริ่งขณะออกตัวและแบริ่งเฟืองท้าย และเป็นมาสด้ารุ่นแรกที่ใช้บอลแบริ่งซ้อนกันตรงตำแหน่งที่ต้องใช้ความแข็งแรงสูงภายใต้ภาระหนัก การหมุนของลูกบอลภายในแบริ่งจะทำให้รองรับภาระจากแรงต้านลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และการประหยัดเชื้อเพลิงประมาณ 2% ในการใช้งานจริง
Mazda CX-5 2.0 S / C / SP เครื่องยนต์เบนซินหัวฉีดตรง 4 สูบ 16 วาล์ว 1,998 ซีซี กำลังอัด 14 ต่อ 1 กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 210 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนล้อหน้า
ทั้ง 2 รุ่นเครื่องยนต์ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
จุดที่ปรับปรุงใหม่เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าคือ รุ่น 4WD ใช้ระบบ i-Activ AWD เซ็นเซอร์ 27 จุด เปลี่ยนมาใช้ลูกปืนเฟืองท้ายแบบซ้อนกัน 2 ชุด
บูชตัวถังใช้แบบมีของเหลวซับแรงกระแทกและเก็บเสียงดีขึ้น เพิ่มวัสดุซับเสียงภายนอก เพิ่มความแข็งแรงจุดยึดต่างๆ ของระบบช่วงล่างลดการสั่นสะเทือนได้ดีขึ้น
ความปลอดภัยที่เพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้าคือ ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ (Smart City Brake Support, SCBS) ที่ใช้กล้องตรวจจับรถคันข้างหน้า และเพื่อช่วยหลีกเลี่ยงการชนและลดความเสียหายในกรณีที่มีการชนกัน ระบบที่ปรับปรุงใหม่จะขยายช่วงความเร็วในการทำงานสำหรับการตรวจจับยานพาหนะจากประมาณ 4-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปถึงประมาณ 4-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Mazda Radar Cruise Control, MRCC) คำนวณความเร็วสัมพัทธ์และระยะห่างจากรถคันข้างหน้าและจะควบคุมเครื่องยนต์และเบรกโดยอัตโนมัติเพื่อรักษาความเร็วของรถและระยะห่างให้เหมาะสม เมื่อขับรถโดยเปิดใช้ระบบนี้ รถจะถูกชะลอโดยอัตโนมัติเมื่อรถคันข้างหน้าลดความเร็ว จากนั้นรถจะเร่งตัวเองโดยอัตโนมัติและขับตามรถคันข้างหน้าไปด้วยความเร็วที่เหมาะสม เสริมด้วยระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ GVC (G-Vectoring Control) เข้าไปอีก
อุปกรณ์มาตรฐานในแต่ละรุ่น
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น แอร์อัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ชวา
เบาะไฟฟ้าคู้หน้า
เพิ่มแอร์หลังและเบาะเอนได้ 2 ระดับ
อุปกรณ์ภายใน นอกจากจอแสดงผล MZD ที่มีมาตั้งแต่รุ่นแรกแล้ว ในรุ่นท็อปเบนซินและดีเซลให้ระบบเครื่องยนต์สุดยอดด้วยลำโพง BOSE และซับที่ยางอะไหล่รวม 10 ตำแหน่งจอแสดงผลบนมาตรวัดและยิงสะท้องขึ้นบนกระจกบังลมหน้าฝั่งคนขับ ช่วยให้มองง่าย ไม่ต้องละสายตาจากถนนและสามารถตั้งระดับสูง-ต่ำได้ด้วย
ลำโพง BOSE นะจ๊ะ
รุ่นนี้มียางอะไหล่พร้อมซับเบสมาให้ด้วย
ชุดควบคุมระบบความปลอดภัยต่างๆ
เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมระบบความจำ 1 ตำแหน่ง
ช่องเสียบ USB ฯลฯ ในกล่องคอนโซลกลาง
บนกระจกจะเห็นตัวเลขและการแสดงผลอื่นๆ เช่น เนวิเกเตอร์ ความเร็ว ฯลฯ
รุ่นท็อปดีเซล 2.2 XDL มีซันรูฟมาด้วย
เบนซิน 2.0 ลิตร 165 แรงม้า 210 นิวตันเมตร
การทดลองขับในทริปนี้ได้ลองครบทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล โดยเริ่มมี่รุ่นเบนซิน 2.0 ลิตร ตัวท็อปก่อนในวันแรก ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้นอกจากแตกต่างที่เครื่องยนต์แล้วในรุ่นท็อปเบนซินและดีเซลต่างกันที่หลังคารุ่นดีเซลจะมีซันรูฟ นอกนั้นจะเหมือนกันทุกฟังก์ชั่น
เบนซิน 2.0 ลิตร กำลังอัด 14 : 1 พกม้า 165 ตัว เฮดเดอร์ 4-2-1 จากโรงงานนะจ๊ะ
สำหรับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เกินพอต่อการใช้งานอย่างสบายๆ เมื่อเดินทางไกลๆ แบบครอบครัวให้ความสะดวกสบายด้วยเบาะหลังที่ทางมาสด้าเริ่มหันมาให้ความสำคัญมากเท่ากับด้านแล้ว... โดยมีขนาดพื้นที่กว้าง ระดับเบาะนั่งเท่ากับด้านหน้า มีขนาดใหญ่โตสามารถปรับเบาะเอนได้เล็กๆ 2 ระดับ
นั่งหลังนี่หลับไปหลายรอบแล้ว สบายจริงๆ
สมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร นั้นให้อัตราเร่งที่เพียงพอ แม้ตัวรถจะใหญ่น้ำหนัก 1,569 กิโลกรัม แต่กำลัง 165 แรงม้า ที่ให้แรงบิด 210 นิวตันเมตร ซึ่งเทียบเท่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ผ่านเกียร์ 6 สปีดที่ตอบสนองฉับไวสามารถพุ่งตัวจากจุดหยุดนิ่งได้อยากสบายๆ จาก 0 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาไม่นานนัก และเมื่อต้องการเร่งแซงต่อเนื่องก็สามารถไต่ระดับขึ้นไปที่ 120++ กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างไม่ต้องลุ่น เรียกว่าเรื่องของพละกำลังนั้นผ่านฉลุยครับ และในรุ่นเบนซินยังเลือกโหมดขับขี่แบบ Sport ได้ด้วย
ส่วนของช่วงล่างในความเร็วต่ำๆ ก็ให้ความนุ่มนวลและก็แอบมีกระด้างปนๆ มาบ้าง เมื่อตกหลุมหรือผ่านรอยต่อถนน ส่วนที่ความเร็วสูงนั้น จะเริ่มรู้สึกหนึบๆ แน่นๆ มีความกระด้างมากขึ้น แต่ให้ความเกาะและมั่นใจ ไม่มีอาการย้วยหรือโยนจนหนัก แม้นั่งเบาะหลังก็ไม่ค่อยรู้สึกเวียนหัวเมื่อผ่านทางโค้งติดต่อกัน
การเก็บเสียงนับว่าเฟอร์เฟคครับ เสียงลมนั้นเกือบไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงยางที่วิ่งผ่านรอยต่อถนนเท่านั้น และจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เร่งในรอบสูงๆ ให้ได้อารมณ์มันๆ เล็ดลอดเข้ามาบ้าง
ระบบเบรคให้ฟิลลิ่งยุโรปโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก นุ่มเท้าแต่เมื่อต้องการเบรคแบบเต็มแรงอาจต้องเพิ่มความลึกขึ้น เพื่อป้องกันการ "เบรคหัวทิ่ม" นั่นเอง และช่วยให้การควบคุมเป็นไปอย่างนุ่มนวลทั้งเร่งและเบรคเพื่อหยุดรถ
เบนซินก็ขับสนุกแต่รุ่นดีเซลมันกว่ามากขอบอก!
การควบคุมทั้งพวงมาลัย คันเร่งและเบรคเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ทั้งตำแหน่งวางเท้าและน้ำหนักของพวงมาลัยที่เบาในความเร็วต่ำและหนักขึ้นที่ความเร็วสูง และให้แม่นบวกกับช่วงล่างที่แน่นหนึบทำให้ลดอาการโยนตัวลงไปได้อีกเยอะ แม้จะเป็น SUV ทรงสูงก็ตาม
เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 175 แรงม้า 420 นิวตันเมตร!!!!!
มาถึงการสลับรถมาขับรุ่นท็อปดีเซลกันบ้าง ใส่สวนของระบบอื่นๆ เช่น ช่วงล่าง เบรค พวงมาลัย นั้นเหมือนกับรุ่นท็อปเบนซินทุกระการ แต่ในเรื่องสมรรถนะนั้น ....ต้องร้องว้าว "Feel the drive" ของจริงครับ
ดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร 175 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร เยอะเทียบเท่าปิคอัพเลย
อัตราเร่งตอนออกตัวราวรถสปอร์ตในร่าง SUV ตัวอ้วนๆ พละกำลังของเครื่องยนต์ตัวนี้เหลือๆ เลยครับ แรงบิดระดับ 420 นิวตันเมตร ในรถที่น้ำหนักราวๆ 1.7 ตัน นั้นเกินพอจริงๆ ทั้งการเร่งออกตัว เร่งแซง หรือความเร็วสูงๆ สบายครับ
เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นนี้มีอัตราส่วนการอัดที่สูงมากอยู่ที่ 14 : 1 แถมยังลากรอบยาวๆ ไปแตะเกือบ 5,000 รอบต่อนาที นับว่าสูงเอาการทีเดียวครับ พร้อมกับความเร็วที่ข้ามผ่านทะลุ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างง่ายดาย ส่วนตัวผู้ทดสอบแล้วเครื่องยนต์ดีเซลนั้นให้ความสนุก กระฉับกระเฉงและมันกว่ารุ่นเบนซินชนิดที่ว่าทำให้ลืมรุ่น 2.0 ลิตรไปเลยครับ
ในทริปนี้ได้ทดลองระบบความภัยและสะดวกสบายของ Mazda CX-5 ใหม่ที่เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้านั่นคือ
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Mazda Radar Cruise Control, MRCC)
ระบบนี้เมื่อเปิดใช้งานแล้วเพียงตั้งความเร็วเดินทางด้วยปุ่ม +/ - จากนั้นก็ปล่อยให้รถควบคุมเอง เมื่อมีรถยนต์คันหน้าระบบเรดาร์ก็จะตรวจจับและชะลอความเร็วให้สอดคล้องกับรถที่อยู่ด้านหน้า และเมื่อด้านหน้าไม่มีรถหรือคันหน้าเร่งความเร็ว ระบบก็จะเพิ่มความเร็วให้ถึงตามที่ตั้งไว้ เป็นต้น โดยคนขับควบคุมเพียงพวงมาลัยเท่านั้น นับว่าเป็นครูสคอนโทรลที่ใช้งานได้จริง 100% สำหรับสภาพถนนในไทย ที่มีรถขับช้าบ้าง เร็วบ้าง ปาดและเบียดมาบ้าง ระบบนี้ก็จะตรวจจับและลด/เพิ่มความเร็วให้เอง ช่างสบายจริงๆ นอกจากนี้ยังตั้งระยะความห่างจากคันหน้าได้ 3 ระดับอีกด้วย
ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ (Smart City Brake Support, SCBS)
ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ ใช้กล้องตรวจจับรถคันข้างหน้า และเพื่อช่วยหลีกเลี่ยงการชน ในช่วงความเร็วต่ำ และหากตรวจจับได้ว่ามีรถคันหน้าที่ระยะชิดเกินไป รถจะเบรคให้โดยอัตโนมัติพร้อมตัดกำลังเครื่องยนต์อีกด้วย แต่ระบบนี้ไม่เหมาะกับสาย "มุด" นะครับ และไม่ควรทำด้วย เพราะถ้าเปลี่ยนเลนหรือแทรกในระยะกระชั่นชิดรถจะเบรคเองและอาจทำให้เสียจังหวะแซงได้
Lane-keep Assist System (LAS)
ระบบนี้นับว่าเจ๋งสุดๆ และมีใน SUV ระดับนี้เพียงเจ้าเดียว เป็นการช่วยผู้ขับขี่ในการบังคับเลี้ยวรถเพื่อช่วยให้อยู่ในช่องทางที่รถวิ่งอยู่ และช่วยให้ขับขี่ด้วยความมั่นใจมากขึ้น เรียกว่าหากเผลอหรือเหม่อลอยในช่วงทางโค้ง รถจะตรวจจับเส้นถนนและบังคับให้เลี้ยวไปตามทางอย่างปลอดภัยอีกด้วย พร้อมกับส่งเสียงร้องเตือนให้คนขับรับรู้ว่ากำลังไม่ปลอดภัย
Lane Departure Warning System (LDWS)
ระบบนี้ก็นับว่าเป็นเจ้าแรกๆ เช่นกัน โดยจะตรวจจับว่ารถเอียงออกนอกเลนอย่างไม่ตั้งใจหรือไม่ เมื่อเบนออกเลนพวงมาลัยจะดึงกลับให้เข้ามาตำแหน่งกลางของเลนพร้อมเสียงเตือน และที่หน้าจอแสดงผลจะขึ้นรูป "ถ้วยกาแฟ" หมายความว่าให้จอดพักได้แล้ว แต่ถ้าคนขับตั้งใจเปลี่ยนเลนโดยการเปิดไฟเลี้ยวระบบก็จะไปทำงาน
ซึ่งระบบต่างๆ นี้มักจะอยู่ในรถยุโรปหรือญี่ปุ่นรุ่นท็อปๆ ราคาแรงๆ ทั้งนั้น แต่ใน CX-5 ใหม่มีให้ใช้แล้ว (เฉพาะรุ่น 2.0 SP/2.2XDL)
มองดีๆ จะเห็นตัวเลขบนกระจกบังลมหน้า
โดยระบบนี้รวมถึงอื่นๆ เช่น เตือนจุดอับสายตาสามารถมองจากหน้าจอแสดงข้อมูลขับขี่ที่ยิงสะท้อนบนกระจกหน้าฝั่งคนขับได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีระบบเบรคมือไฟฟ้า และฟังก็ชั่น Auto Hold มาให้เป็นมาตรฐานทุกรุ่นย่อย และประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้า (เว้นรุ่น 2.0C)
all-new Mazda CX-5 หากมองว่าเป็นรถครอบครัวขนาดใหญ่ให้ความสะดวกสบายเต็มคัน สมรรถนะเครื่องยนต์, ช่วงล่าง, โครงสร้างและความปลอดภัยจาก Skyaictiv ใส่ออปชั่นควบคุมความเร็วแปรผัน ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ ระบบควบคุมการออกนอกเลน ห้องโดนสารนั่งสบาย เงียบนุ่มนวล พร้อมทุกการเดินทาง ให้ฟิลลิ่งการขับขี่ที่เทียบเท่ารถยุโรปในราคาสัมผัสได้ นับว่าราคารุ่น 2.2XDL 4WD 1,770,000 บาท และ 2.2XD 2WD 1,560,000 บาท ได้ทั้งแรง ทนทาน และประหยัด ส่วน 2.0SP ออปชั่นเทียบเท่าท็อปดีเซลตัดแค่ซันรูฟในราคา 1,530,000 บาท คุ้มหรือไม่? ต้องลองขับด้วยตัวเองครับ รับรองว่าคุณจะได้ความรู้สึกใหม่ๆ กับรถยนต์อเนกประะสงค์ SUV ค่ายญี่ปุ่นที่อาจไม่เคยสัมผัสมาก่อนก็เป็นได้!