ลองขับ Toyota Fortuner 2.4V ปรับปรุงใหม่ ใส่ดิสก์หลังเพิ่มขับ 4 ล้อ ราคา 1.499 ล้านบาท
หลังจากโตโยต้า
เปิดตัว Toyota Fortuner 2.4V รุ่นปรับปรุงใหม่ เน้นจุดขายเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ที่เครื่องยนต์ขนาดเล็ก ประหยัด คล่องตัว มีสมรรถนะระดับปานกลาง และพร้อมใช้งานกับทุกสภาพถนนทั้งทางเรียบและออฟโรด โดยมีราคาไม่สูงนัก จึงเป็นที่มาของฟอร์จูนเนอร์รุ่น 2.4 ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซิกม่าโฟร์ และการปรับปรุงระบบใหม่ในทุกรุ่นย่อยครั้งนี้
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ 2.4 วี ใหม่ นอกจากจะเพิ่มรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อที่นับเป็นเจ้าแรกที่มีในรุ่นเครื่องยนต์ต่ำในไทยแลัว ยังเพิ่มเติมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ดิสก์เบรกหลัง, ไฟตัดหมอก LED, เบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้า 8 ทิศทางในรุ่น V 4WD, บันไดข้างสลับกับสีเงิน ระบบ start&stop เป็นต้น โดย
Toyota Fortuner 2.4V 4WD ราคาอยู่ที่ 1,499,000 บาท
สำหรับฟอร์จูนเนอร์ใหม่ มาพร้อม 3 รุ่นเครื่องยนต์คือ
- ดีเซล 2.4 ลิตร คอนมอนเรล เทอร์โบแปรผัน VN เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด หรือ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,000 รอบ/นาที
- ดีเซล 2.8 ลิตร คอนมอนเรล เทอร์โบแปรผัน VN เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบ/นาที
- เครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร Dual VVT-i เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด กำลังสูงสุด 166 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 245 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
ระบบซิกม่าโฟร์ เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่พัฒนามาจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งแบบ TRC และ Diff-Lock ที่ผสานการทำงานเข้าด้วยกัน เรียกว่า A-TRC (Active Traction Control) ที่รวมข้อดีของระบบควบคุมล้อหมุนฟรีและระบบล็อคเฟืองท้าย (Limited-Slip) เข้าด้วยกัน
Toyota Active Traction Control (A-TRC)
A-TRC คือ?
ระบบทั้ง 2 จะมีหน้าที่ตรงกันข้าม โดยระบบ TRC จะทำงานด้วยการสั่งของปั๊ม ABS เมื่อล้อใดล้อหนึ่งยกลอยขึ้น สัญญาณจากล้อที่หมุนเร็วกว่าอีก 3 ล้อ จะส่งไปที่ปั๊ม ABS และจะสั่งให้เบรกจับไปที่ล้อที่หมุนฟรีอยู่หรือลดกำลังลง พร้อมกับส่งถ่ายกำลังไปอีก 3 ล้อที่ติดกับพื้น เพื่อให้มีแรงข้ามผ่านอุปสรรคนั้นได้
ส่วนระบบดริฟต์ล็อคหรือเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ต-สลิป เป็นการล็อคชุดขับเคลื่อนล้อฝั่งซ้าย-ขวาให้หมุนพร้อมกัน เพื่อให้สามารถปีนข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้เช่นกัน แต่หากระบบนี้ทำงานการควบคุมจะยากกว่าเพราะล้อที่ขับเคลื่อนมีความหนักในการควบคุมรถ และล้อที่ลอยอยู่จะหมุนเปล่าสูญเสียกำลังโดยเปล่าประโยชน์
ระบบนี้จึงรวมข้อดีเข้าด้วยกัน A-TRC สามารถส่งแรงเบรกและกระจายแรงบิดสู่ล้อใดล้อหนึ่งอย่างอิสระ ช่วยให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แม้เหลือล้อขับเคลื่อนเพียง 1 - 2 ล้อ เป็นระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะกระจายแรงบิดอย่างเหมาะสม โดยผู้ขับขี่ ไม่จำเป็นต้องฝึกขับรถในสไตล์ออฟโรดจนเชี่ยวชาญ
Active Traction Control A-TRC Toyota Land Cruiser
นอกจากนี้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซิกม่าโฟร์ในฟอร์จูนเนอร์ทุกรุ่นนั้นนำเทคโนโลยีเดียวกับสุดยอด SUV พันธุ์แกร่งอย่าง Toyota Land cruiser มาใช้อีกด้วย
สำหรับในกลุ่มทดสอบครั้งมีรถทั้งหมดกว่า 10 คันทั้ง Toyota Fortuner 2.4V 4WD ใหม่ และ Toyota Fortuner 2.8V 4WD ให้ร่วมทดสอบกันโดยใช้เส้นทางกรุงเทพฯ - เขาใหญ่ รวมระยะทางทั้งหมดกว่า 400 กิโลเมตร
การทดสอบโตโยต้า ฟอร์ตจูนเนอร์ครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อให้ได้ลองขับทั้งทางเรียบและทางออฟโรด ช่วงทดสอบพิเศษในทางออฟโรดจัดขึ้นในไร่ทองสมบูรณ์ ทีมงานโตโยต้าปรับสภาพพื้นที่ธรรมชาติให้เป็นสนามขับออฟโรดขนาดย่อมๆ
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ใหม่ ลุยออฟโรด
ช่วงทดสอบการขับออฟโรด
หลังจากทีมงานโตโยต้าบอกรายละเอียดเรียบร้อยเกี่ยวกับการขับขี่ในสนามแล้ว สื่อมวลชนเริ่มสลับกันขับ โดยใช้รถยนต์คละรุ่นทั้งตัว 2.4 และ 2.8 4WD พร้อมมี Instructor (ผู้ฝึกสอน) คอยแนะนำวิธีการขับผ่านอุปสรรคต่างๆ ในสนามอยู่ข้างคนขับ
ทีมงานเช็คราคา.คอม ได้ขับรุ่น 2.8 ลิตร เริ่มแรกเป็นการทดสอบระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HAC ซึ่งใส่ตำแหน่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ L4 และผลักคันเกียร์ไปที่โหมด "S" และใช้เกียร์ 1 เท่านั้น โดยการไต่ขึ้นเนินสูงมากๆ และช่วงขาลงก็ปล่อยรถให้ไหลไปตามความชัน ซึ่งรถสามารถควบคุมความเร็วและไหลต่อเนื่องได้ดี
ขับฟอร์จูนเนอร์ใหม่ลองระบบ "ซิกม่าโฟร์" ในสนามออฟโรด
ต่อมาเป็นการขับผ่านบ่อน้ำลึกราวๆ 80 เซนติเมตร ก่อนที่จะไต่ขึ้นทางชันระดับเกือบ 50 องศาอีกรอบ ซึ่งตรงนี้สามารถแสดงสมรรถนะในการไต่ทางชันที่ผิวถนนลื่นๆ ได้อย่างดี โดยฟอร์จูนเนอร์สามารถขับขึ้นไปโดยใช้รอบเครื่องยนต์ราวๆ 1,000 - 1,200 รอบต่อนาทีเท่านั้น นับว่ากำลังเครื่องยนต์มากเกินพอและต่อเนื่องจนถึงจุดสูงสุด
ในช่วงขึ้นเนินสลับซ้าย-ขวานั้น เป็นทดสอบกำลังและการปีนไต่เมื่อล้อใดล้อหนึ่งลอยจากพื้น ระบบซิกม่าโฟร์จะถ่ายกำลังแปรผันให้ล้อที่แตะพื้นนั้นมีกำลังมากขึ้น และรถจะเคลื่อนที่ผ่านไปได้ โดยเลี้ยงรอบเครื่องยนต์แค่ 1,000 - 1,200 รอบต่อนาทีเช่นเดิม
และในจุดสุดท้ายเป็นการขับผ่านเนินเอียงซ้าย-ขวาต่อเนื่องในรูปแบบเกือบเป็นตัว "V" ซึ่งมีความเอียงชนิดที่เรียกว่าประตูเกือบแนบพื้นก็ว่าได้ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซิกม่าโฟร์ ก็สามารถกระจายกำลังไปยังล้อที่ติดพื้นและผ่านไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยใช้กำลังเครื่องยนต์ไม่มากก็ผ่านได้สบายๆ
*หมายเหตุ ในการขับแบบออฟโรดนี้มีเจ้าหน้าที่จากโตโยต้า และหน่วยฉุกเฉินคอยดูแล ไม่ควรไปทดสอบเองในสถานที่ที่ไม่ได้จัดเตรียมเอาไว้โดยเฉพาะ เพราะอาจเกิดอันตรายได้
ช่วงทดสอบทางเรียบ
นับเป็นการทดสอบอัตราเร่ง กำลังเครื่องยนต์ ความสะดวกสบาย รุ่น 2.4 ลิตร นับว่าให้อัตราเร่งที่เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว อัตราเร่งออกตัวนั้นไม่แตกต่างจากรุ่น 2.8 ลิตรมากนัก อาจมีในช่วงเร่งแซงที่ความเร็วสูงๆ ที่รุ่น 2.8 ลิตร ให้กำลังที่ดีและต่อเนื่องมากกว่า
การเก็บเสียงลมนับว่าเงียบในแบบเดียวกับรถอเนกประสงค์ระดับเดียวกัน จะมีเสียงเครื่องยนต์ในช่วงขณะเร่งรอบสูงๆ ซึ่งก็อยู่ในระดับพอรับได้ เพราะเครื่องยนต์ดีเซลย่อมมีเสียงที่ดังกว่าเบนซิน
สมรรถนะโดยรวมในรุ่น 2.4 ลิตร ช่วงล่างจะให้ความนุ่มนวลมากกว่า แม้ว่าจะใช้ชุดช่วงล่างเดียวกันกับรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง แต่ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มชุดระบบขับเคลื่อนมาน้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม จึงทำให้มีน้ำหนักกดลงและให้ความนิ่มนวล และยิ่งเห็นได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับรุ่น 2.8 ลิตร ที่ช่วงล่างกระด้างกว่าเล็กน้อย แต่ทั้ง 2 รุ่นครื่องยนต์ก็ให้ความหนึบแน่นและมั่นใจในการเข้าโค้งได้พอๆ กันครับ
น้ำหนักพวงมาลัยในช่วงความเร็วต่ำค่อนข้างหนืดหรือหนักสักหน่อย ส่วนความเร็วสูงๆ กลับเบาเกินไป แต่ก็นับว่าไม่หวิวมากนัก ยังพอหนืดอยู่ และควบคุมการเลี้ยวได้ดีในระดับกลางๆ ไม่คมมากแต่ก็อยู่ในระดับปกติของรถ SUV ขนาดใหญ่ที่มีขนาดยางและช่วงล่างที่สูง
ความสะดวกสบายในทั้ง 2 รุ่นเครื่องยนต์นับว่าไม่แตกต่าง เพราะให้ออปชั่นมาแบบจัดเต็ม โดยรุ่น 2.4 ลิตร โทนสีเบาะภายในจะเป็นน้ำตาลเข้ม ส่วนรุ่น 2.8 ลิตร จะออกสีครีมสว่างๆ กว่า วัสดุภายในระดับพรีเมียม คอนโซลหน้าถูกตกแต่งด้วยการเดินด้ายจริงๆ ปุ่มควบคุมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบมือหมุน มาตรวัดพร้อมจอแสดงผลตรงกลาง ไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้
ความอเนกประสงค์เช่นเคยกับเบาะแถว 2 ที่พับเก็บได้ และแถว 3 พับแบบเก็บขึ้นฝาข้างคงสไตล์เดิม และระบบเปิดประตูท้ายแบบไฟฟ้าอัตโนมัติ พร้อมระบบสั่งเปิดด้วยรีโมท และตั้งระดับความสูงได้
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองในทริปนี้ไม่สามารถวัดได้ เพราะมีการสลับทั้งคนขับ 3 คนต่อคันและสลับรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 และ 2.8 ลิตร ในการขับให้ผู้สื่อข่าวได้สัมผัสสมรรถนะครบทุกด้านทุกรุ่น จึงไม่สามารถวัดได้อย่างชัดเจนนัก แต่โดยรวมแล้วหากขับขี่โดยทั่วไประยะทางยาวๆ ไม่เน้นการเร่งแซงบ่อยๆ นัก คาดว่าให้ความประหยัดใกล้เคียงกัน แต่ถ้าต้องการอัตราเร่งแซงบ่อยหรือใช้กำลังเครื่องยนต์มากๆ หน่อยรุ่น 2.8 ลิตร จะได้เปรียบทั้งกำลังและความประหยัด เพราะอัตราเร่งที่มาเร็วกว่าในระยะทาง/เวลาเท่ากัน จึงทำให้ใช้เวลาในการเหยียบคันเร่งสั้นกว่า แต่ถ้าใช้งานในเมืองที่การจราจรหนาแน่นรถติดหนักหนาสาหัส รุ่น 2.4 ลิตร จะได้เปรียบมากกว่า แต่อย่างน้อยก็มีระบบ start&stop มาช่วยได้ในช่วงรถติดถ้าไม่รำคาญกดปิดระบบเสียก่อน
(*อัตราสิ้นเปลืองขึ้นกับผู้ขับขี่, ลักษณะสภาพถนน, เส้นทางที่ใช้งานของแต่ละบุคคล)
เลือกรุ่นที่ใช่ ใช้คันที่ลงตัวกับคุณ
- เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร เท้าเบา ขับในเมืองกว่า 70% ไม่รีบร้อน ราคาเบาๆ
- เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร เท้าหนัก ชอบเดินทางบ่อยกว่า 70% เน้นอัตราเร่ง
- เครื่องยนต์ 2.7 เบนซิน ชอบความเงียบ นุ่มนวล ไม่เน้นกำลัง ไปเรื่อยๆ มีเงินเหลือเติมน้ำมันหรือติดพลังงานทางเลือกได้
- ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ สำหรับเน้นขับในเมืองมากกว่า เดินทางไกลแบบชิวๆ ไม่มีลุยทางออฟโรดมากนัก
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือต้องการเพิ่มความปลอดภัยในการเกาะถนนมากขึ้น สายโหด เน้นลุย เดินทางในทุกสภาพถนนได้ดี
Toyota Fortuner รุ่นปรับปรุงใหม่ จุดเด่นที่รุ่น 2.4 ลิตร เพิ่มระบบซิกม่าโฟร์เข้ามา เพิ่มระบบดิสก์เบรกหลัง ไฟตัดหมอก LED บันไดข้างสีใหม่ เบาะไฟฟ้า 8 ทิศทาง โดยรุ่น 2.4 ลิตร และ 2.8 ลิตร เมื่อดูภายนอกแทบไม่ต่างกัน สังเกตได้เพียงรุ่น 2.8 จะมีสัญลักษณ์ "2.8" ฝั่งซ้ายที่ด้านหลังฝากระโปรงท้าย และถ้ามีสัญลักษณ์ "ซิกม่าโฟร์" ทางฝั่งขวาแสดงว่าขับเคลื่อน 4 ล้อ
สมรรถนะโดยรวมแล้ว หากคุณใช้รถในเขตตัวเมืองเป็นหลักนานๆ ออกต่างจังหวัดที และไม่ลุยบ่อยๆ นัก จัดรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ก็เกินพอต่อการใช้งาน หรือต้องการความปลอดภัยในการขับขี่บนถนนหลากหลายรูปแบบก็รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนถ้าใครที่เท้าหนักๆ ชอบลุยเป็นหลัก เดินทางบ่อยๆ ก็ต้อง 2.8 ลิตร หรือ 2.8 ลิตร 4WD เลยครับ แต่ใช่ว่ารุ่น 2.4 ลิตร 4WD จะลุยไม่ไหวนะครับ จากการทดสอบในสนามออฟโรดแล้ว กำลังเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น ไม่มีผลแตกต่างมากนัก เพราะการลุยลักษณะนี้ต้องใช้กำลังในรอบต่ำๆ ซึ่งทั้ง 2 เครื่องยนต์มีให้ในแบบเกินตัวทั้งคู่
ราคาจำหน่าย Toyota Fortuner
- รุ่น 2.8V 4WD ราคา 1,649,000 บาท
- รุ่น 2.8V ราคา 1,579,000 บาท
- รุ่น 2.7V ราคา 1,569,000 บาท
- รุ่น 2.4V 4WD ราคา 1,499,000 บาท
- รุ่น 2.4V ราคา 1,419,000 บาท
- รุ่น 2.4G เกียร์ธรรมดา ราคา 1,239,000 บาท
ราคาจำหน่าย Fortuner TRD Sportivo
- รุ่น 2.8 TRD Sportivo 4WD สี White Pearl CS/ Black Top ราคา 1,799,000 บาท***
- รุ่น 2.8 TRD Sportivo 4WD ราคา 1,759,000 บาท***
- รุ่น 2.8 TRD Sportivo 2WD ราคา สี White Pearl CS/ Black Top 1,709,000 บาท***
- รุ่น 2.8 TRD Sportivo 2WD ราคา 1,689,000 บาท***