โตโยต้า เดินหน้าสาทร โมเดล ต้นแบบเร่งแก้ปัญหาจราจร
โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย โดยคุณนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการและประธานร่วมคณะกรรมการโครงการคมนาคมอย่างยั่งยืน 2.0 กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย พลตำรวจโทอำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลตำรวจโท วิทยา ประยงค์พันธ์ุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายชิน อาโอยามะ เจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิโตโยต้าโมบิลิตี ร่วมแถลงข่าว "โครงการสาทรโมเดลขยายสู่กรุงเทพมหานคร" เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560 ณ อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา (อาคารจามจุรี10) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
"โครงการสาทรโมเดลขยายสู่กรุงเทพมหานคร" นับเป็นโครงการที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ โดยเริ่มก่อตั้งในเดือนมิถุนายน 2557 โดยสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยความร่วมมือกันหลายฝ่ายทั้งจากกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างต้นแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาชน เพื่อบรรเทาการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯ โดยเริ่มต้นแบบจากถนนสาทร ซึ่งนับเป็นหนึ่งในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ
โมเดลนี้ เริ่มจัดการโดยใช้มาตรการแก้ไขปัญหาจราจรอย่างเป็นระบบบนถนนสาทรและบริเวณโดยรอบ เช่น การริเริ่มรถบัสรับส่ง (Shuttle Bus) ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย รวมถึงมาตรการจอดแล้วจร (Park & Ride) พื้นที่จอดรถที่เชื่อมระบบขนส่งสาธารณะ และมาตรการควบคุมจัดการจราจร (Traffic Flow Management) บนถนนสาทร โดยได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ตลอดจนเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ในการวางพื้นฐานบริการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้สัญจรบนท้องถนน
ต่อมาในเดือนเมษายน 2558 มูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี ได้สนับสนุนเงินทุนจำนวนประมาณ 110 ล้านบาทให้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อดำเนินโครงการสาทรโมเดลให้มีขอบเขตการทำงานที่มากขึ้น โดยมุ่งยกระดับการดำเนินการทดลอง รวมถึงเชิญชวนให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ด้วยกันในโครงการนี้ เป็นครั้งแรกที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาจราจรแบบบูรณาการ ทำให้โครงการมีความคืบหน้าไปเป็นอย่างมาก โดยมีการกำหนดมาตรการในบริเวณถนนสาทร ดังนี้
มาตรการจอดแล้วจร : เพื่่อเพิ่ม ทางเลือกในการเดินทางสู่ถนนสาทร
โครงการจอดแล้วจร (Park & Ride) มาตรการเพิ่มทางเลือกสำหรับการเดินทางของประชาชนเข้าสู่พื้นที่ถนนสาทร จากความร่วมมือของสมาคมค้าปลีกไทย, สมาคมห้างสรรพสินค้าไทยและบริษัท นิปปอน ปาร์คกิ้ง ดีเวลลอบเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้แบ่งปันพื้นที่จอดรถ รวมถึงได้พัฒนาพื้นที่จอดรถขึ้นมาใหม่ ในทำเลที่เชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าได้อย่างสะดวก ซึ่งในปัจจุบันมีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการนี้ 504 คน โดยเฉพาะจำนวนของผู้ใช้จุดจอดแล้วจรกรุงธนบุรีเฉลี่ย 280 คน ต่อวัน ในอนาคตเสนอให้ภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการจัดทำจุดจอดแล้วจรในบริเวณใกล้สถานีรถไฟฟ้าที่จะเปิดในอนาคต ให้มีจุดจอดเพียงพอ โดยดำเนินการควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจอื่นในบริเวณเดียวกันด้วยอีกด้วย
มาตรการรถรับส่ง : เพื่อลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลบริเวณถนนสาทร
พัฒนาการให้บริการรถโรงเรียน (School Bus) ที่มีความปลอดภัยสูงในรูปแบบสถานีถึงโรงเรียน (Station to School) ทั้ง 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม และ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยผู้ปกครองมาส่งบุตรหลานตามจุดจอดที่กำหนดไว้ แล้วเดินทางต่อสู่โรงเรียนด้วยรถรับส่งที่โครงการจัดไว้ เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรหน้าโรงเรียน ประหยัดเวลาในการรับส่งบุตรหลาน โครงการใช้รถร่วมกัน (ทางเดียวกันมาด้วยกัน) หรือ ACP Car Sharing สนับสนุนให้ผู้ปกครองเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ร่วมกันเดินทางมาโรงเรียน โดยโครงการได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ปกครองและคณะผู้บริหารโรงเรียน โดยได้มีการสำรวจข้อมูลที่อยู่อาศัย จัดกลุ่มนักเรียนที่อาศัยอยู่ใกล้กันหรือในแนวเส้นทางเดียวกัน โดยสามารถช่วยลดปริมาณรถสะสมเวลาเร่งด่วนได้
มาตรการเหลื่อมเวลาทำงาน : เพื่อกระจายปริมาณรถยนต์ในช่วงเวลาเร่งด่วน
มาตรการเหลื่อมเวลาทำงาน (Flexible Working Time) เพื่อกระจายปริมาณรถยนต์ที่เข้าสู่พื้นที่ถนนสาทรในชั่วโมงเร่งด่วน ด้วยความร่วมมือของบริษัทเอกชนที่มีสำนักงานในบริเวณถนนสาทร และสีลม โดยใช้ข้อมูลการเดินทางของพนักงานที่ได้จาก Linkflow Application เพื่อใช้ออกแบบวางแนวทางการใช้มาตรการเหลื่อมเวลาทำงานในแต่ละบริษัทที่เข้าร่วม ซึ่งส่งผลดีโดยตรงต่อพนักงานคือ สามารถวางแผนการเดินทางเพื่อเข้าทำงานหรือเลิกงานได้เหมาะสม มีส่วนช่วยลดความแออัดบนท้องถนนลงได้ โดยมีพนักงานที่เข้าร่วมโครงการจำนวนกว่า 4,300 คน จาก 12 บริษัท
มาตรการบริหารจัดการจราจร
1. การจัดช่องจราจรพิเศษ (Reversible Lane) ในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้า โดยให้รถขาเข้าจากสะพานตากสิน และจากถนนเจริญราษฎร์สามารถเข้าสู่ถนนสาทรเหนือโดยใช้ช่องทางพิเศษได้ 1 ช่องทางบนถนนสาทรใต้ทำให้สามารถระบายปริมาณรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การจัดการจราจรบริเวณหน้าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ด้วยการหยุดรับส่งนักเรียนแล้วรีบเคลื่อนรถออกไป (Kiss & Go) โดยกำหนดจุดรับส่งอย่างเป็นระเบียบ พร้อมทั้งการสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทำให้ปัญหารถชะลอตัว เนื่องจากการเปลี่ยนช่องทางเพื่อรับส่งนักเรียนเบาบางลงการจราจรช่วงก่อนถึงหน้าโรงเรียนคล่องตัวขึ้น
3. การบริหารควบคุมสัญญาณไฟจราจรที่สี่แยกสาทร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สามารถรับทราบข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจในการกำหนดสัญญาณไฟจราจร ด้วยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น โดยคำนวณจากปริมาณจราจรในแต่ละช่วงเวลาแบบเรียลไทม์ และระยะแถวคอยในแต่ละทิศทาง ช่วยให้สามารถกำหนดสัญญาณไฟจราจรได้อย่างเหมาะสมกับสภาพจราจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ผลการดำเนินโครงการ "สาทรโมเดล"
สภาพการจราจรบนถนนสาทรเหนือขาเข้าจากบริเวณสี่แยกสาทร ถึงสี่แยกวิทยุในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้าคล่องตัวมากขึ้นโดยมีค่าเฉลี่ยปริมาณการระบายรถเพื่มขึ้น 422 คันต่อชั่วโมง หรือ 12% การติดสะสมลดลง
แผนที่นำทาง (Roadmap) จากโครงการ สาทรโมเดล
1. สนับสนุนให้มีการทำแผนแม่บทการจอดแล้วจรและนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับการขยายแนวเส้นทางระบบขนส่งสาธารณะในอนาคต เพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากพื้น ที่ซึ่งมีศักยภาพเป็นจุดจอดรถ การลดอุปสรรคด้านข้อกฎหมายในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่รวมถึงการสร้างรูปแบบทางธุรกิจที่เหมาะสมจากการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐฯและเอกชน เพื่อให้ผู้เดินทางเปลี่ยนมาใช้การจอดแล้วจรอย่างมากขึ้น และแพร่หลาย
2. ปริมาณการจราจรที่มากช่วงเวลาเร่งด่วนส่วนหนึ่ง มาจากผู้ปกครองใช้รถยนต์ส่วนตัวรับส่งบุตรหลาน สภาพปัญหาการจราจรหน้าโรงเรียนจึงแตกต่างกันไปตามลักษณะการเดินทางของเด็กนักเรียน จึงจำเป็นต้องวางแนวทางที่เหมาะสมแต่ละโรงเรียน โดยเริ่มจากการสำรวจพฤติกรรมการเดินทางเพื่อเสนอทางเลือก เช่น โครงการรถรับส่ง หรือโครงการใช้รถร่วมกัน
3. ส่งเสริมให้มีการจัดทำข้อตกลงโดยสมัครใจร่วมกันระหว่างภาครัฐฯและองค์กรหรือสมาคมธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้บริษัทสมาชิกแต่ละบริษัท นำมาตรการเหลื่อมเวลาทำงานไปประยุกต์ใช้กับพนักงานอย่างทั่วถึง รวมถึงการเพิ่มทางเลือกใหม่ในการเดินทางแก่พนักงาน
4. แนวทางสำหรับการบริหารจัดการจราจร ได้แก่
4.1 ขยายมาตรการต่างๆ เพื่อลดคอขวดบนท้องถนน ไปยังถนนสายหลักอื่นๆ พระรามสี่ เจริญกรุง สุขุมวิท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และอื่นๆ
4.2 สนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปรับปรุงการบริหารสัญญาณไฟจราจร ด้วยมาตรฐานการปฏิบัติงานซึ่ง ได้จากการรวบรวมองค์ความรู้และเทคนิควิธีการที่เหมาะสม
4.3 การผสานความร่วมมือภาครัฐฯ-เอกชน (PPP) ในการวางแผนและใช้ประโยชน์จากตัวชี้วัดปริมาณจราจร (เซ็นเซอร์)
4.4 จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้นวัตกรรมวิศวกรรมจราจร เพื่อสนับสนุนงานแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร
โครงการนี้นับเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้เกี่ยวข้องหลายส่วนช่วยกันผลักดันให้เกิดประโยนช์สูงสุดแก่ประชาชน ในการแก้ไขปัญหารถติด แม้จะย่างเข้าเพียงปีที่ 3 แต่นับว่ามีแนวโน้วดีขึ้นเรื่อยๆ
การแก้ปัญจราจรที่สะสมมานานนับสิบปี ไม่อาจแก้ไขได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ต้องอาศัยหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐและประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนจึงมีส่วนร่วมในโครงนี้อย่างเต็มตัว