MG6 ขอแจ้งเกิดอีกครั้งกับการปรับโฉมใหม่
MG6 เปิดตัวครั้งแรกด้วยรุ่นซีดาน และ FASTBACK ซึ่งก็นับเป็นเวลาปีกว่าแล้ว แต่กลับไม่ค่อยเห็นรถวิ่งบนถนนมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะตลาด C-segment มีการแข่งกันสูงและรถหลายรุ่นชั้นนำในตลาดต่างมีจุดเด่นที่น่าสนใจ การปรับโฉมใหม่ (Facelift) ของ MG6 ครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญในการทำตลาดให้ดีกว่าครั้งที่แล้ว ก่อนถึงวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (22 กรกฎาคม) มาติดตามรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้ของ MG6 กันครับ
มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการเพิ่มอุปกรณ์ใน MG6 แต่ละรุ่นย่อยมากขึ้น เช่น เบรกมือปรับเป็นแบบไฟฟ้า เพียงกดปุ่มก็ทำงาน ทำให้การออกแบบคอนโซลกลางระหว่างเบาะคู่หน้ามีอิสระมากขึ้น
ส่วนรุ่นระดับกลางขึ้นไปอาจมาพร้อมจอทัชสกรีน เพื่อแสดงผลระบบมัลติมีเดียต่างๆ ส่วนรุ่นท็อปอาจมีเบาะหนัง, ไฟหน้าแบบไบ-ซีนอน และกล้องมองหลัง รวมไปถึงระบบอินโฟเทนเมนต์ที่เรียกว่า MG Touch แสดงผ่านจอแสดงผลขนาด 7 นิ้ว โดยรองรับบลูทูธ, วิทยุ DAB, การเชื่อม Mirrorlink smartphone และแอปฯ เนวิเกเตอร์
ด้านภายนอก ไฟหน้าได้รับการออกแบบใหม่ รวมถึงกระจังหน้าทรงตั้ง และแนวช่องดักอากาศขนาดใหญ่กลางกันชนหน้า ที่เสริมด้วยเดย์ไทม์ รันนิ่ง ไลท์ แบบแอลอีดี ส่วนกันชนหลังก็ได้รับการออกแบบใหม่ด้วยเช่นกัน
ส่วนระบบกลไกอาจมีการใช้ระบบควบคุมด้วยไฟฟ้ากับเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ช่วยให้การขับเคลื่อนดีขึ้น เครื่องยนต์ปรับเหลือรหัสเดียว คือ 18K4G แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว Turbo TCI-TECH 1,796 ซีซี 161 แรงม้า
การปรับโฉมใหม่ของ MG6 ในส่วนของราคาคาดว่ายังอยู่ในระดับราคา 8 แสน - 1 ล้านบาท ซึ่งในราคาระดับนี้ก็มีรถให้เลือกมากมายหลายรุ่น คำถามก็คือ MG6 จะสร้างจุดขายอย่างไร ให้แตกต่างและน่าใช้กว่ารุ่นอื่นๆ ในระดับราคาใกล้เคียงกัน