ในยุคที่พลังงานสะอาดกลายเป็นหัวใจสำคัญของการเดินทางทำให้เทรนด์การเลือกรถยนต์สักคันก็เปลี่ยนไป บ่อยครั้งที่เราพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว แต่ในคราวนี้ กูรูบอม-ชลัคร ช่วยชู จะมาพาคุณไปรู้จักกับ รถกระบะ 4 รุ่น ที่มีทั้งที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า, รถยนต์ไฮบริด และรถที่เป็น REEV ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ใช้งานได้ทั้งไลฟ์สไตล์และธุรกิจขนาดย่อม มาวิเคราะห์แบบเจาะลึกกันว่า แต่ละรุ่นเหมาะกับใคร และมีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไรบ้าง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
RIDDARA RD6
ราคา:
- RIDDARA RD6 2WD 63kWh ราคา 899,000 บาท
- RIDDARA RD6 2WD 73.9 kWh ราคา 999,000 บาท
- RIDDARA RD6 4WD 73.9 kWh ราคา 1,149,000 บาท
- RIDDARA RD6 4WD 86kWh ราคา 1,299,000 บาท
- RIDDARA RD6 2WD 86kWh ราคา 1,159,000 บาท
- RIDDARA RD6 4WD 86kWh (Sunroof) ราคา 1,335,000 บาท
มาเร่มกันที่คันแรก สำหรับ
RIDDARA RD6 เป็นกระบะ EV 100% สายลุย สายแคมป์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มระบบที่ผสานศักยภาพรถกระบะและรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผ่านดีไซน์โดดเด่นพรีเมียม สะดวกสบายระดับ SUV พร้อมนำเสนอนิยามใหม่ของรถกระบะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวรุ่นใหม่ ที่จะพร้อมขับเคลื่อนอยู่เคียงข้างทุกความสำเร็จ และพร้อมลุยไปกับทุกกิจกรรมของครอบครัว จะมีทั้งที่เป็นรุ่นมอเตอร์เดี่ยว และ มอเตอร์คู่ มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อและ 4 ล้อ ส่วนแบตเตอรี่ด็จะมีให้เลือกหลายขนาดตั้งแต่ 63, 73.9 และ 86 kWh แต่จุดเด่นของรถรุ่นนี้ก็คือมีระบบ V2L (จ่ายไฟให้เครื่องใช้ไฟฟ้า), ดีไซน์ที่ทันสมัย, ให้การขับขี่ที่ดี เหมาะกับคนที่ใช้รถในชีวิตประจำวัน, ชื่นชอบการแคมป์ปิ้งหรือกิจกรรมกลางแจ้ง, ไม่เน้นบรรทุกหนัก แต่ข้อจำกัดอีกอย่างก็คือยังมีศูนย์บริการไม่ครอบคลุมเท่าแบรนด์ญี่ปุ่น
DEEPAL HUNTER K50
ราคา : 1,099,000 บาท
สำหรับรุ่น
DEEPAL HUNTER K50 มาพร้อมเทคโนโลยี Range-Extended Electric Vehicle หรือ REEV โดยมอเตอร์ไฟฟ้าให้ระยะทางวิ่งสูงสุดด้วยไฟฟ้าได้ไกลถึง 131 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) และเทคโนโลยี Range Extender ซึ่งผสานขุมพลังระหว่างเครื่องยนต์ 2.0T-GDI และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า R100G ที่จะทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นไร้รอยต่อในระหว่างการเดินทางไกล มอบประสบการณ์การขับขี่อย่างไร้กังวลรวมกว่า 900 กิโลเมตร จากการชาร์จเต็มหนึ่งครั้งและเติมน้ำมันเต็มถัง ขณะที่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัจฉริยะของรถให้กำลังรวมสูงสุด 200 กิโลวัตต์ (272 แรงม้า) และแรงบิด 470 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 7.9 วินาที ซึ่งเหนือกว่ารถกระบะดีเซลทั่วไป ทั้งยังตอบสนองอย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 0.4 วินาที ผ่านการทดสอบในสภาพการใช้งานจริงในไทยเป็นระยะทาง 40,000 กิโลเมตร เพื่อให้สมรรถนะพร้อมสำหรับทุกเส้นทางทั่วประเทศ โดยระบบขับเคลื่อนแบบคู่ช่วยให้การขับขี่ระบบไฟฟ้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 87% เมื่อเทียบกับรถกระบะดีเซลทั่วไป เหมาะกับคนที่อยากได้รถใช้งานประจำวัน แต่ไม่ต้องพึ่งสถานีชาร์จเสมอ

GWM POER SAHAR HEV
ราคา:
ตอนที่
GWM Poer เปิดตัวครั้งแรกได้ชื่อว่าเป็นรถกระบะขุมพลังไฮบริดรุ่นแรกในไทย แต่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน (VGT) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมประมาณ 300 กว่าแรงม้า แรงบิดรวมประมาณ 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด มีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ แบบ AWD พร้อมระบบขับเคลื่อน Off-Road , โหมดการขับขี่ All-Terrain Control System และ Diff-Lock สำหรับรุ่นนี้มีจุดเด่นตรงที่ระบบไฮบริดที่จะช่วยให้ประหยัด, ดีไซน์แปลกใหม่สะดุดตา, ฝาท้ายเปิดแบบตู้กับข้าว (60:40) โดยคันนี้เหมาะกับคนที่ชอบความแตกต่าง, เน้นดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร แต่ก็มีจุดด้อยตรงที่ อัตราสิ้นเปลืองยังสูง และราคาสูงสุดกว่า 1.3 ล้านบาท
ISUZU D-MAX MHEV
ราคา :
รถปิกอัพทางเลือกใหม่…เพื่อโลกที่ดีขึ้นจาก
ISUZU ที่มากับเทคโนโลยี Mild Hybrid ให้การตอบสนองการขับขี่ที่ดีขึ้น ทั้งด้านการออกตัว การประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเครื่องยนต์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ที่ผ่านมาตรฐาน EURO 5 กับเกียร์อัตโนมัติ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมการขับขี่ และ แบตเตอรี่ไฟฟ้า ขนาด 48 โวลต์ 8.4 แอมป์ ความจุ 370 วัตต์-ชั่วโมง เพื่อช่วยลดการปล่อยไอเสียและสามารถปั่นไฟเพื่อชาร์จพลังงานเมื่อถอนคันเร่ง ส่วนของการรรับประกัน ก็จะมีเครื่องยนต์ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร, แบตเตอรี่ Mild Hybrid 10 ปี หรือ 350,000 กิโลเมตร, ระบบ Mild Hybrid 5 ปี หรือ 175,000 กิโลเมตร (เน้นขายเฉพาะกลุ่มลูกค้า Fleet เป็นหลัก) ด้วยจุดเด่นตรงที่ใช้แบต 48 โวลต์ ช่วยเสริมกำลังช่วงออกตัว และมีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ดูจะเหมาะกับคนที่ยังอยากได้เครื่องดีเซลแต่ประหยัดกว่าเดิม

กูรูบอม ฝากบอกว่าการเลือกซื้อต้องคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลักไม่ว่าจะใช้เพื่อครอบครัวหรือเพื่อธุรกิจ แล้วก็ต้องไม่ลืมว่า ต้องไปลองสัมผัส ทดลองขับ สัมผัสด้วยตัวเองว่ารถคันนั้นเหมาะกับคุณและสมาชิกในครอบครัว ไปจนถึงตอบสนองธุรกิจคุณได้หรือไม่ หลายรุ่นที่มีสเปคดีแต่ได้ลองขับแล้วไม่ชอบใจก็มี ฉะนั้นคุณและครอบครัวควรไปลอง เพราะคนซื้อมักมองแค่ตำแหน่งคนขับ แต่ครอบครัวคุณที่ต้องนั่งในตำแหน่งอื่น ๆ จะโอเคด้วยมั้ย คุณควรไปลงในรายละเอียดว่าสมาชิกในครอบครัวคุณพอใจกับรถคันนั้นมั้ย ส่วนถ้าเพื่อธุรกิจก็ต้องดูว่าคุ้มค่า คุ้มราคามั้ย เพราะรถทุกคันก็มีพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้อยู่แล้ว แล้วที่สำคัญอย่าลืมเรื่องศูนย์บริการด้วยนะครับ