แฟน ๆ รถยนต์ไฟฟ้าหลายคนอาจจะกำลังทองหารถยนต์กระบะไฟฟ้าล้วน ที่สามารถเป็นได้ทั้งรถยนต์ใช้ขับไปทำงานในเมือง เป็นรถสำหรับขนของ รถสำหรับเดินทางท่องเที่ยว หรืออาจจะเอาไว้ลุยออฟโร้ดแบบย่อม ๆ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เพิ่มความสะดวกสบาย รถคันนี้อาจจะเป็นรถที่คุณรอคอย!
RIDDARA RD6 4WD 86 kWh ด้วยสมรรถนะเทียบเท่ากับรถยนต์กระบะ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด หน้า-หลังกำลังสูงสุด
428 แรงม้า แรงบิด 595 นิวตันเมตร ทำให้จะขับขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่ต้องกลัว ลุยน้ำได้ลึกถึง 815 มม. และวามสามารถในการขึ้นทางชัน 95% พร้อมไปได้แบบไม่อายใคร สะดวกทุกสภาพถนนด้วยกล้องรอบทิศทาง 540 องศา และสามารถควบคุมรถทางไกลได้ผ่านแอพพลิเคชัน
RIDDARA App
แถมด้วยระบบจ่ายไฟได้แม้ตอนขับขี่ที่สามารถเสียบปลั๊กได้เลยที่กระบะท้ายไม่ต้องใช้ชุดปลั๊กพ่วงจากหัวชาร์จ! จะนั่งทำงาน หรือปาร์ตี้ ให้การนั่งกระบะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ด้วยความกว้างขวางของห้องโดยสารระดับ SUV ที่ปรับเบาะเอนเพื่อนอนพักได้แบบชิว ๆ
นอกจากนี้ยังมาพร้อมสมรรถนะที่ไม่แพ้รถกระบะสันดาป กับอัตราเร่งจัดจ้าน 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 4.5 วินาที (รุ่น 4WD 86kWh) อัตราการชาร์จไฟ 30-80% ภายใน 30 นาที พลังแรงที่สามารถลากจูงได้สูงสุด 3 ตัน และมีรัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 6.1 เมตร ขนาดแบตเตอรี่ 86 kWh ระยะทางเคลมไว้ที่ 455 กม. (NEDC) แต่ถ้าเป็นรุ่น 73.9 kWh จะวิ่งได้ 424 กม. (NEDC)
และยังมีรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง (ล้อขนาด 17 นิ้วไม่มีฝาครอบ/ไม่มีราวหลังคา) มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 200 กิโลวัตต์ หรือ 272 แรงม้า แรงบิด 385 นัวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ 7.3 วินาที ระยะทางที่วิ่งได้ไกลสุด (NEDC) ขึ้นกับความจุแบตเตอรี่ 63 kWh วิ่งได้ 373 กม. ใช้ล้อขนาด 17 นิ้ว ยาง 235/65 ส่วนความจุแบตเตอรี่ 73 kWh 461 กม. ใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว ยาง 235/60 ทำความเร็วสูงสุดได้ 185 กม./ชม. เท่ากัน
โหมดการขับขี่ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อมี 3 โหมด คือ Eco,Comfort และ Sport ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มี 7 โหมด คือ Sand, Mud, Off-road, Wading, Economy, Comfort และ Sport ด้านภายในห้องโดยสารทุกรุ่นเว้นรุ่นเริ่มต้นจะโดดเด่นด้วยหน้าจอสัมผัสขนาดที่ใหญ่กว่าที่ 14.6 นิ้ว สำหรับรุ่นเริ่มต้น RD6-2WD 63 kWh จะเป็นรุ่นที่มีเน้นเรื่องสเปคการขับเคลื่อนอย่างเดียว ตัดออปชั่น สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบช่วยเหลืออีกเพียบ
นี่คือ SUV มีกระบะท้าย!
ด้วยความที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ภายนอกภายในจึงถูกออกแบบให้ทันสมัยและดูเหมือนรถยนต์นั่งทั่วไป นั่นคือ ภายนอกดูสำอาง เรียบร้อย คล้ายรถเก๋งที่มีกระบะท้าย ยกสูง ซึ่งถ้าใครเป็นสายกระบะบึกบึนดุดัน อาจจะไม่ค่อยเข้าตานัก แต่ถ้าคนชื่นชอบหรือต้องการรถยนต์กระบะไฟฟ้าที่จะช่วยลดภาระค่าเดินทางได้ อาจจะมองข้ามรูปลักษณ์นี่ไป
ในรุ่นท็อปขับเคลื่อน 4 ล้อ คันนี้กระจังหน้าจะมีตัวอักษร "RIDDARA" เต็มแผง พร้อมไฟเรืองแสงที่มีระบบลูก "Welcome Light" เมื่อ "เปิด-ปิดล็อครถ" และจะดับลงเมื่อความเร็วเกิน 15-20 กม./ชม. (โดยประมาณ) เพื่อกันแยงตาชาวบ้าน ติดตั้งแร็คบนหลังคา เฉพาะ 4WD และล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว พร้อมฝาครอบลายอวกาศ(เกินไป) บ้างก็ชอบบ้างก็ขอแลกกับล้อรุ่นล่าง ๆ ยางติดรถแบรนด์จีน แต่อย่าไปซีเรียส เพราะสามารถไปเปลี่ยนแบรนด์ตามชอบได้
กระบะท้ายฝั่งไฟท้าย Full LED แบบ Buiult-in พร้อมเส้นแนวยาวเชื่อมถึงกัน ดูไกล ๆ คล้าย PPV พี่ใหญ่มะกัน สวยไปอีกแบบ ส่วนตัวชอบมาก ๆ เมื่อเปิดมาฝั่งขวามือจะมีจุดจ่ายไฟสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ VtoL ที่เสียบเต้ารับได้ทันที่! ไม่ต้องมาต่อสายจากที่ชาร์จให้วุ่นวาย บนกระบะท้ายตกแต่งด้วยสปอร์ตบาร์และ "แค็ปหลัง" หรือสปอยเลอร์ ที่ดูกลมกลืนกับรถ และในรุ่นท็อปมีบันได้ซ่อนอยู่ในฝากระบะท้ายอีกด้วย
ภายในได้ฟิวแบบรถเก๋งหรือ SUV ไฟฟ้าที่ต่างจากภายในรถกระบะโดยสิ้นเชิง ด้วยจอคนขับ 10.2 นิ้ว แสดงผลการขับขี่ครบถ้วนและชัดเจนดี พร้อมจอกลางขนาด 14.6 นิ้ว รองรับ AppleCarPlay และ Android Auto (อับเดทระบบก่อนส่งมองรถให้ลูกค้า) พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมสวิตช์ควบคุมการใช้งานต่าง ๆ ที่สะดวกไม่ต้องเข้าเมนูหน้าจอ และยังมี สวิตช์สั่งการทำงานต่าง ๆ ที่ใต้จอกลาง ให้ใช้งานได้ทันทีเช่นกัน
มาที่จอกลางแบบสัมผัสที่มีฟังก์ชั่นการทำงานทั้งควบคุมสั่งการระบบรถยนต์ ความบันเทิงมากับลำโพง 8 ตำแหน่ง ระบบการเชื่อมต่อ Wi-Fi ระบบ Carbit link และแสดงภาพจากกล้องรอบคัน ที่ใช้งานค่อยข้างง่าย เมนูไม่ลึกมาก อย่างการจะดูรายละเอียดของระบบความปลอดภัย, การใช้พลังงานไฟฟ้ารถยนต์, การเปิดปิดระบบต่าง ๆ เพียงแค่กดรูปรถที่เมนูด้างล่างของจอ หรือจะใช้นิ้วรูดปัดขอบจอบนลงมาก็จะมีเมนูทางลัด ที่ตั้งค่าเองได้ด้วย เช่น กดดูกล้องรอบคันก็, เปิด-ปิดระบบเตือนต่าง ๆ ฌหมดกลางคืน หรี่แสงหน้าจอ ฯลฯ
เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบระบายอากาศทั้งเบาะหน้า และเบาะหลัง เบาะหลังพับได้ 60:40 กระจกหน้าต่างไฟฟ้า 4 บานแบบ One-touch พร้อมระบบป้องกันการ หนีบ Anti-Pinch กระจกมองหลังตัดแสง และยังมีฟังก์ชั่น เปิดกล้องมองหลังแทนสายตาที่จะแสดงภาพบนจอกลางอีกด้วย เพื่อบรรทุกสิ่งของแล้วมองด้านหลังไม่เห็น สามารถใช้กล้องมองแทนได้
ความสะดวกสบายการขึ้นลงรถบันไดข้าง, บันไดท้ายกระบะ, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ระบบกรองอากาศ CN95 Filter ระบบกรองอากาศ PM 2.5
พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง, แท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย 50W ช่อง USB-A และที่วางแก้วน้ำ ที่เท้าแขนมือจับ 3 ตำแหน่ง โดยรวมแล้วการออกแบบทั้งคัน เหมือนรถเก๋งมากกว่ากระบะ ดูทันสมัยแบบรถยนต์ SUV ไฟฟ้า ถึงกล้าบอกว่านี่คือรถ SUV ไฟฟ้าที่มีท้ายเป็นกระบะนี่เองครับ
ระบบความปลอดภัย ADAS มาแบบครบเทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้าพรีเมี่ยมทั่วไปเลยและการทำงานค่อนข้างไวและขยันมาก ๆ โดยเฉพาะการเตือนชนด้านหน้า เตือนออกนอกเลนหรือจะเป็นเตือนมุมอับสายตา แต่ว่าระบบตรวจจับเส้นถนนหรือเตือนและควบคุมรถให้อยู่ในเลนนั้นจะต้องมีเส้นถนนที่ชัดเจน (ซึ่งก็เหมือนกับรถรุ่นอื่น ๆ ที่มีระบบนี้นั่นเอง) ถึงจะสามารถตรวจจับได้แม่นยำ ระบบความปลอดภัยมีดังนี้
- ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัจฉริยะ (ICC)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)
- ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (AEB)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า (FCW)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKA)
- ระบบช่วยรักษาช่องทางเดินรถฉุกเฉิน (ELKA)
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (LDW)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน (LCA)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา (BSD)
- ระบบเตือนก่อนเปิดประตู (DOW)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
- ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง (RCW)
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (FDA)
- กล้องมองภาพรอบคัน 540° พร้อมระบบแสดงภาพใต้ท้องรถแบบออฟโร้ด
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB
- ระบบ Auto Hold
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (EBA)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TCS)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HHC)
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC)
- ระบบตรวจสอบความดันลมยาง (TPMS)
- ถุงลมนิรภัย 6 จุด
และในรุ่น 4WD นี่จะลุยน้ำลึกได้ 815 มม. เลย เพราะเพิ่มการป้องกันน้ำเข้าระบบสำคัญต่าง ๆ อย่างดี แต่รุ่น 2WD อย่าน้อยใจนะครับ ยังสามารถลุยได้มากถึง 500 มม.
สมรรถนะ - แรงเกินกระบะ นุ่มนวลแบบ SUV
RIDDARA RD6 4WD 86 kWh เด่นเรื่องของพลังมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังที่แรงจัดระดับ 428 แรงม้า กับ 595 นิวตันเมตร ที่แรงบิดเยอะกว่ารถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลไม่เกิน 4 สูบ ในไทยตอนนี้ ส่วนแรงม้านั้นเยอะกว่าแน่นอน และระบบช่วงล่างที่นุ่มนวลจากด้านหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท (MacPherson Strut) ด้านหลังอิสระแบบมัลติลิงก์ (Multi-link) แต่เซตให้รองรับน้ำหนักบรรทุกได้แบบ "สร้างตัว" ที่
1,030 กก. และลากจูงรถหนักได้
3,000 กก. !
จากการทดลองขับขี่ระยะทางกว่า 600 กม. บนเส้นทางภาคใต้ "สุราษฎร์ธานี - พัทลุง" ผ่านจุดแวะสำคัญมากมาย เช่น ขนอม, ทะเลน้อย ขับขี่ผ่านทั้งตัวเมือง ชานเมือง เรียกว่าเกือบครบทุกรูปแบบ ขาดแค่รถติดหนัก ๆ แบบในกทม. เท่านั้น ซึ่งโดยรวมทั้งหมดชาร์จไฟแค่ 1 ครั้งถ้วน!
โดยขับจากจุดเริ่มต้นออกตัวกันที่ ร้านอาหาร "ตาปีซีฟู้ด" ผ่าน "โลมาคาเฟ่" แถวอ่าวท้องยาง อำเภอ ขนอม และมุ่งหน้าจุดพักรถและชมวิวสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา พัทลุง และเข้าสู่ที่พัก "ศรีปากประ บูทิก รีสอร์ต" จากแบตฯ 100% ระยะทางขึ้น 455 กม. (NEDC) ถึงจุดหมายคงเหลือที่ 20% (ลืมถ่ายรูปมา) ระยะทางเหลือ 70 กม. รอด!!!!
หลังจากนั้นทีมงาน RIDDARA นำรถไปชาร์จได้คันที่ทดสอบนั้นไฟกลับมาประมาณ 90% กว่า ๆ ระยะทาง 357 กม. วันรุ่งขึ้นเดินทางต่อจนถึงหาดใหญ่รวมกว่า 600 กม.
สมรรถนะความแรงและอัตราเร่งตอบสนองดี ทันใจมาไว้แรงและเร็วตรงปก 428 แรงม้า ทัเงออกตัวทั้งแซง จะขึ้นลงเขา สบาย ๆ และมีระบบช่วยหน่วง 3 ระดับ โดยระดับที่ 3 นั้น หน่วงจนแทบจะเบรกแบบหัวทิ่ม เหมาะในการใช้ขับช่วงลงทางชันมาก ๆ ส่วนความสามารถในการปั่นไฟกลับแล้วแต่ระยะทางลงเนินนั้น ๆ ยิ่งลงยาว ๆ ยิ่งปั่นไฟกลับมาได้มาก
ท่านั่งขับจะรู้สึกว่าตัวจะเอนไปด้านหน้า องศาพวงมาลัยจะเอียงขึ้นมากกว่ารถทั่วไปเล็กน้อย ทำให้ช่วงแรกที่ขับจะรู้สึกแปลกๆ หน่อย แต่สักพักก็จะชิน พวงมาลัยจับกระชับมือ น้ำหนักเบาเพราะเป็น ไฟฟ้า EPS ตัวเบาะผิวสัมผัสนุ่มสบายดี วิสัยทัศน์โปร่งสบายไม่แคบหรืออึดอัด กระจกมองข้างขนาดใหญ่มองง่ายชัดเจน ระบบเกียร์แบบไฟฟ้าที่จะต้องขยับขึ้นหรือลงตามตำแหน่งเกียร์ได้ทีละ 1 ตำแหน่ง คงป้องกันการเผลอเข้าผิดเกียร์
มาตรวัดคนขับมองง่ายชัดเจน แสดงสถานะการใช้งานระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ครบถ้วน จอกลางขนาดใหญ่และใช้งานง่าย ๆ และมีสวิตช์ใช้งานระบบที่จำเป็น ๆ อยู่ใต้จอกลาง และแผงคอนโซลกลางก็มีทั้งสวิตช์ปรับโหมดขับขี่ที่มีให้เลือก 7 โหมด (Sand / Mud / Off-road / Wading / Economy / Comfort / Sport) และสวิตช์เลือกการ ReGenerate สวิตช์เปิด-ปิด Auto hold และ เบรกมือไฟฟ้า ที่ส่วนเข่าขวาฝั่งคนขับยังมีสวิตช์ เปิดไฟกระบะท้าย, ปรับแสงสว่างหน้าจอ, ปรับระดับไฟหน้า และเปิดฝากระบะท้ายแบบไฟฟ้า
ช่วงล่างอิสระให้การขับขี่ที่นุ่มนวลแบบรถ SUV ขับสบายไม่กระเด้งและการปรับให้โช้คมีความแข็งในแบบกระบะ ทำให้ได้เรื่องความแน่นหนึบตามมา (รถเปล่าไม่บรรทุก) การเข้าโค้ง มั่นใจ ขับขความเร็วสูง ๆ ก็ยังควบคุมได้ การให้ตัวหรือโยนตัวน้อยและไม่โคลงตัวเกินไป แต่ก็มีอาการลอย ๆ ร่อน ๆ อยู่บ้างเพราะเป็นรถยกสูงและส่วนท้ายกระบะเปล่าที่เบา และเมื่อลองมานั่งด้านหลังต้องบอกเลยว่ายังไงก็นุ่มนวลวบายกว่ารถใช้แหนบ
แต่ในความนุ่มนวลนั้นยังแอบมีอาการ "ดีดเบาๆ" อยู่บ้าง เนื่องจากความหนืดโช้คที่มาก ทำให้รู้สึกถึงแรงกระแทกได้ระดับหนึ่ง ส่วนการซับแรงสั่นสะเทือนรอยต่อถนน ขอบสะพานหรือหลุมบ่อนั้นยังนับว่านุ่มนวลและรู้สึกสบายอยู่ แต่ตำแหน่งหรือระดับเบาะนั่งตอนหลังต่ำไปหน่อย ทำให้มองด้านหน้าไม่เห็น และเบาะรองนั่งที่สั้นและต่ำทำให้ขาลอย ๆ นอกนั้นถือว่าดีทั้งเรื่องพื้นที่วางขาที่หลวม ๆ หน่อยและเพดานที่โปร่งไม่อึดอัด
ภาพรวมการขับขี่นั้นท่านั่งพอรับได้ไม่เมื่อยล้า ตัวเบาะนั่งสบาย พวงมาลัยน้ำหนักเบาดี ขับง่าย ไม่ต้องเกร็งมือมากนัก คันเร่งเบา ตอบสนองไว ไนโหมดปกติ และยิ่งเร่งทันใจในโหมด Sport ส่วนในการขับขี่โหมดอื่น ๆ นั้น ในครั้งไม่ได้เน้นใช้งานมากนักเพราะ ตลอดการเดินทางไม่ค่อยเจอถนนแบบที่ต้องใช้โหมดเฉพาะ นั่นคือ โหมดปกติก็ไปได้สบาย ๆ
นอกจากนี้ในโหมด Comfort ที่เหมือน Narmal Mode ก็จะปรับเปลี่ยนแปรผันการขับเคลื่อนของระบบมอเตอร์ล้อหน้าและหลังให้ตลอด โดยเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง ๆ ระบบก็จะเพิ่มกำลังไปที่ล้อด้านหน้า เพื่อความมั่นใจในการขับขี่ หรือกรณีกดคันเร่งมาก ๆ ระบบก็จะแปรผันกำลังให้ล้อหน้าทำงาน เพิ่มการยึดเกาะถนน และช่วยในการทรงตัวได้ดี ไม่มีการสะบัด ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย แม้จะต้องเร่งออกตัวแรง ๆ
สรุปความคุ้มค่ากับ RIDDARA RD6 4WD 86 kWh จ่าย 1.299 ล้านบาท
RIDDARA RD6 4WD 86 kWh ความคุ้มค่าไหม? ขึ้นกับว่าคุณมองมุมไหน? หากเทียบสมรรถนะความแรงระดับรถสปอร์ตหรือซูเปอร์คาร์บางรุ่น คุ้มค่าแน ๆ หรือถ้ามองออปชั่นที่มีในรถทรงกระบะขนของก็น่าจะไม่แพ้ค่ายใหญ่ ๆ หลัก ๆ ในไทย หรือจะมองว่าได้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นรถกระบะ ก็นับว่ามีอยู่เจ้าเดียวในตอนนี้และยังไม่มีคู่แข่งในไทยโดยตรงกับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หรือ Deepal E09 ที่เริ่มต้น 1.599 ล้านบาท และเค้าเน้นว่าเป็น SUV แค่เปิดท้ายเป็นกระบะได้นิดหน่อย ซึ่งอย่างไรก็เป็นรถที่ลูกค้าคนละกลุ่มต่างวัสถุประสงค์ในการใช้งาน กลายเป็นว่า Riddara อาจได้กลุ่มลูกค้าที่สนใจรถกระบะใช้ในครอบครัว "เจ้าของไร่ สวน" หรือ "ฟาร์ม" คนที่ใช้เป็น "Food truck" สำหรับขับไปจอดที่ไหนก็ได้และสามารถใช้เครื่องไฟฟ้าเพื่อทำกิจการต่าง ๆ โดยไม่ง้อ ไฟจากพื้นที่นั้น
กระบะไฟฟ้าคันนี้อาจจะพอตอบสนองความต้องการผู้ชื่อนชอบรถยนต์ไฟฟ้าทรงกระบะ อเกประสงค์ใช้งานได้หลากหลายอาชีพ และยังขับขี่ในชีวิตประวันแบบสบาย ๆ คล้ายรถประเภท SUV ที่ได้ความนุ่มนวล อัตราเร่งดี ลุยได้หลายเส้นทางในคันเดียว!
สุดท้ายใครสนใจหรือยังไม่แน่ใจว่าจะเข้ากับวิถีชีวิตคุณหรือไม่ ? โปรดไปลองขับด้วยตัวคุณเอง ลองใช้ฟังก์ชั่นต่าง ๆ สัมผัสคันจริงให้ก่อนตัดสินใจและเลือกรุ่นย่อยที่ตจรงกับความต้องและกำลังทรัพย์ของท่านเองครับ