ลองขับ
JY AIR (JuneYao) รุ่นเริ่มต้น
Standard รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงเกินราคา ได้ทั้งพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 201 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลังแบตฯ 51 kWh ระยะทางวิ่งได้ 430 กม. และยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นความสะดวกสบายและความปลอดภัยอีกมากมาย จ่ายเพียง
759,000 บาท ได้สิทธิ์ตั๋วบินฟรี 4 ใบต่อปี นาน 3 ปี กับสายการบินจูนเหยา แอร์ไลน์ !!!
JY AIR รถยนต์ไฟฟ้าในเครือเดียวกับบริษัท จูนเหยา กรุ๊ป (JuneYao Group) บริษัทแม่ของสายการบินจูนเหยา แอร์ไลน์ (JuneYao Airlines) หนึ่งในสายการบินเอกชนชั้นนำในประเทศจีน เดินหน้ารุกตลาดรถยนต์เมืองไทย เปิดตัว “JY AIR” ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นแรก นำเสนอรูปแบบใหม่ของการเดินทาง ด้วยอีกขีดขั้นของเทคโนโลยีการขับเคลื่อน ซึ่งพร้อมตอบรับกระแสความต้องการของผู้ขับขี่ยุคใหม่ ด้วยการผสมผสานนวัตกรรมการขับขี่ล้ำสมัย เพื่อสร้างความสะดวกสบายเหมือนอยู่บนสายการบินระดับ First Class
ทริปนี้ลองขับจริงบนเส้นทางกทม.-พัทยา จากจุดเริ่มต้นที่ Parc Bangna คอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ ย่าน บางนา – ศรีนครินทร์ ก่อนมุ่งหน้าสู่ แลนด์มาร์คใหม่แห่งเมืองพัทยาแบบ Free Run เพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ณ “Castello Di Bellagio” (แคสเทลโล ดิ เบลลาจิโอ้) ร้านอาหารสไตล์เวสเทิร์น ที่น่าโดดเด่นด้วยรสชาติอาหาร ท่ามกลางบรรยากาศปราสาท ซึ่งมีแรงบันดาลใจในการสร้างจากประเทศอิตาลี ก่อนจะเดินทางแบบ Free Run อีกครั้ง เพื่อกลับสู่ PARC Bangna รวมเป็นระยะทางไป-กลับ ประมาณ 300 กม.
รถยนต์ไฟฟ้า
JY AIR ในทริปนี้มี 5 คัน ในสื่อมวลชนได้ทดลองขับขี่ โดยมีทั้งรุ่น
Plus และหนึ่งในนั้นคือ รุ่นเริ่มต้น
Standard ที่ทีมงานเช็คราคาจับสุ่มกุญแจได้มาทดลองในครั้งนี้ครับ ก่อนอื่นมาดูความแตกต่างของสเปคระหว่าง 2 รุ่นนี้
JY AIR รุ่น Standard เริ่มจาก JY AIR รุ่น Standard ที่มากับขนาดความจุแบตเตอรี่ 51 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ให้พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า (150 kW) วิ่งได้สูงสุด 430 กิโลเมตร (NEDC) และ JY AIR รุ่น Plus ที่มากับขนาดความจุแบตเตอรี่ 64 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ให้พละกำลังสูงสุด 214 แรงม้า (160 kW) ระยะทางวิ่งสูงสุด 520 กิโลเมตร (NEDC)
JY AIR รุ่น Plus และทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตร เท่ากันและสมรรถนะที่เร้าใจผ่านระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งทำอัตราเร่งจาก 0 -100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 170 กม./ชม.
ในรุ่น Standard การชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุด 70 กิโลวัตต์ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในการชาร์จไฟจาก 30% ถึง 80%
ส่วนรุ่น Plus การชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สามารถชาร์จด้วยกำลังไฟสูงสุดถึง 90 กิโลวัตต์ และใช้เวลาประมาณ 21 นาทีเท่านั้น สำหรับการชาร์จไฟจาก 30% ถึง 80%
การออกแบบด้วยแนวคิด “ONE BOX” ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เรื่องความกว้างขวาง สะดวกสบาย ผสมผสานกับงานดีไซน์ภายใต้หลักแอโรไดนามิกส์ ด้วยแรงบันดาลใจจากเทคโนโลยีอากาศยาน เช่น ช่องดักอากาศบริเวณกันชนหน้า และมุมกันชนหน้า ที่ลงตัวกับสปอยเลอร์ฝากระโปรง และบริเวณใต้กันชนหลัง รวมถึงงานออกแบบล้ออัลลอยด้วยลวดลาย Turbo Fan ซึ่งทั้งหมดช่วยให้ “JY AIR” มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศที่ต่ำเพียง 0.23 cd เท่านั้น
ภายนอกภายใน JY AIR 2 รุ่นแตกต่างกันเล็กน้อย
JY AIR ทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น รุ่น Plus มาพร้อมหลังพาโนรามิค ล้ออัลลอย 19 นิ้ว กล้องตรวจจับความปลอดภัยบนหลังคาส่วนหลัง เป็นต้น ส่วนรุ่น Standard จะเป็นล้อขนาด 17 นิ้ว ส่วนภายในนั้นต่างกันในส่วนฟังก์ชั่นใช้งาน เช่น รุ่น Plus จะมีระบบแท่นชาร์จไร้สาย จอหมุนเอียงตามคนขับ ระบบกล้องตรวจจับตรวจใบหน้าผู้ขับขี่ช่วยตรวจสอบ เบาะปรับไฟฟ้าคู่หน้า เป็นต้น
JY AIR รุ่น Plus JY AIR รุ่น Standard ทุกฟังก์ชั่นใช้ผ่านจอกลาง...ง่ายอยู่นะ
การใช้งานระบบต่าง ๆ ของรถคันนี้ใช้งานผ่านจอกลางขนาด 15.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ทั้ง Apple Carplay, Android Auto, Bluetooth, บริการแอปพลิเคชันบนมือถือ ซึ่งการจะใช้งานระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะฟังก์ชั่นที่ใช้ประจำ ๆ อย่างการปรับกระจกมองข้าง, การเลือกเปิด-ปิดระบบเบรกมือไฟฟ้าหรือ Auto hold หรือแม้การเปิด-ปิดไฟหน้า เปิดกระโปรงท้าย เพียงแค่ปัดหน้าจอลงด้านล่างทุกอย่างก็รวมอยู่ในหน้านี้
มาตรวัดคนขับขนาดเล็กแต่ก็พอมองได้ชัดเจนแสดงผลการทำงานต่าง ๆ ของรถยนต์และระบบช่วยเหลือการขับขี่ แม้รุ่น Standard นี้ ระบบความปลอดภัยจะเป็น ADAS แต่ยังไม่ถึงขั้น Level 2 แต่ก็นับว่ามีให้ครบเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว โดยระบบที่สำคัญ ๆ ก็คือ การช่วยเตือนการชนด้านหน้า เตือนออกนอกเลน เป็นต้น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเตือนมุมอับสายตามด้านข้าง ซึ่งต้องขยับไปรุ่นท็อป Plus จะนับว่ามีถึง Level 2 ที่ให้มาแบบครบ ๆ เกินตัวเลยครับ
สมรรถนะการขับขี่ ขับสนุก แรงดี แต่....นุ่มนวลไปหน่อย
สมรรถนะของรุ่น Standard แม้จะเป็นตัวเริ่มต้น แต่ว่าได้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาเยอะพอตัวระดับ 201 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร เทียบเท่ารถยนต์สันดาปขนาด 2.5 ลิตร (NA) แล้วครับ แถมยังได้ฟิลลิ่งรถขับเคลื่อนล้อหลังที่ปัจจุบันหายากลงไปทุกที จากพลังระดับนี้ให้อัตราเร่งแบบชิว ๆ จาก 0-100 กม./ชม. จาดสเปคโรงงานก็ 7.9 วินาที แต่ถ้าอยู่ในระดับ 8 วินาที ก็นับว่าแรงพอตัวแล้วสำหรับรถซีดานใช้งานทั่วไป
อัตราเร่งแรงแซงทันใจมาไวแต่ไม่ถึงกับกระชากจนหลังติดเบาะ จากการทดลองออกตัวแรง ๆ หลายครั้ง ยังพบว่ามีการปรับระบบคันเร่งกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้มีคึวามนุ่มนวล เพื่อการขับขี่ที่ง่ายสบายและไม่ต้องปรับตัวเยอะเกินไป แต่ถึงจะออกตัวแบบนุ่ม ๆ แต่ความเร็วก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แทบไม่รู้สึกตัวว่าขับกำลังขับความเร็วสูง ๆ อยู่
การป้องกันเสียงเข้ามาในห้องโดยสารถือว่าเงียบใช่ได้สมกับราคาค่าตัวอาจจะดีกว่ารถคู่แข่งหรือค่ายเจ้าตลาดบางค่ายในระดับเดียวกับด้วยซ้ำครับ เสียงลมปะทะน้อยมาก เสียงยางและล้อที่วิ่งบดถนนลอดเข้าจากใต้ท้องรถมีน้อยแบบบไม่สร้างความรำคาญมากนัก อาจจะด้วยขนาดยาง 215 ที่มีแก้มสูง 60 ทำให้มีความนุ่มและเงียบกว่ายางแก้มเตี้ย ๆ
พวงมาลัยตึงกระชับ ช่วงล่างนิ่มเกินไป
การควบคุมโดยรวมแล้วยังไม่ประทับใจมากนัก ยังขาดความเป็นธรรมชาติอยู่บ้างอย่างในการควบคุมพวงมาลัยระบบบังคบเลี้ยวนั้น พวงมาลัยให้ความตึงกระชับมีระยะฟรีน้อยมากและยังคมกรี๊บ เมื่อขับความเร็วสูง ขยับข้อมือเพียงนิดเดียว รถเกินอาการพริ้วไหวตามทันที ทำให้รถมีอาการคล้ายส่ายไปมาทุกครั้งที่โยกพวงมาลัยเพียงเล็กน้อย การตอบสนองนับว่าไวมาก ๆ จนมากเกินไป ทำให้ผู้ขับจะต้องคอยเกร็งมือตลอดเวลา ทำให้เมื่อขับนาน ๆ จะเริ่มรู้สึกเมื่อยล้าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนอื่น ๆ ของการขับขี่เช่น ท่านั่งขับขี่ที่กระชับ ระยะห่างพอดีกับระยะพวงมาลัย แม้ว่าพวงมาลัยจะปรับได้เพียงขึ้น-ลง (ใกล้ไกลไม่ได้) แต่ก็ได้ระยะที่สบายพอดี (ผู้ขับขี่สูง 176 ซม.)
ระบบช่วยเหลือดการขับขี่นับว่าใช้งานได้ค่อยข้างเสถียรมีความแม่นยำและตอบสนองรวดเร็วพร้อมสามารถที่จะกับตั้งค่าความไวได้ตามต้องการอีกด้วย โดยเฉพาะระบบเตือนออกนอกเลนที่ทำงานได้ไวและแม่นยำพอตัวเลยครับ ด้วยการทดสอบสั้น ๆ นี้อาจได้ลองระบบต่าง ๆ น้อยมากคงต้องหาเวลานำมาทดสอบยาว ๆ กันอีกรอบ
มาถึงช่วงล่างกันบ้าง......แม้จะเป็นอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้า Macpherson ด้านหลัง Five-links แต่เซ็ทมาให้แบบนุ่มนวลมาก ยิ่งความเร็วต่ำ ๆ ยิ่งนั่งสบาย และแม้จะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ๆ หากเป็นถนนเรียบ ๆ ทั่วไปยิ่งสบายนุ่มนวลผ่อนคลายและเงียบดี แต่ถ้าจะต้องเปลี่ยนเลนหรือเข้าทางโค้ง อาจจะมีอาการโยนตัวหรือยวบ ๆ มากหน่อย ทำให้การขับขี่ในสไตล์ดุดันอาจจะทำได้ไม่เนียบพอ ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เพิ่มขึ้น ซึ่งระบบช่วงล่างสำหรับคันนี้เหมาะกับการขับขี่เดินทางเป็นเรื่อย ๆ เพลิน ๆ ไม่ซิ่งมากกว่า เน้นใช้งานเป็นครอบครัวหรือการขับขี่ที่ไม่ใช้ลีลาโหด ๆ มากนักครับ
อัตรากินไฟฟ้า 14-16 kWh กับ 201 แรงม้า พอรับได้
อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าที่แสดงบนมาตรวัดตลอดทริปเฉลี่ยแล้วประมาณ 14-16 kWh ขึ้นกับการขับขี่ในแต่ละช่วง ใช้คันเร่งมากห็กินไปเพิ่มขึ้น ช่วงขับขี่ความเร็วคงที่ก็จะประหยัดหน่อย แต่ถ้าคิดจากกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าระดับ 201 แรงม้า และแรงบิด 250 นิวตันเมตร ผมถือว่าปกติครับ ไม่ประหยัดจนว้าวและไม่กินไฟดุจนเกินไปครับ เรียบว่าระดับปกติของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังใช้งานระดับนี้
สรุปความคุ้มค่า สมรรถนะสมราคา
JY AIR Standard ราคา 759,000 บาท นับว่าเป็นรถที่ให้ความคุ้มค่าในเรื่องของพละกำลัง ระยะทางที่วิ่งได้ ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ที่มีให้ใช้งาน แม้จะขาดบางระบบไปบ้าง แต่ด้วยสมรรถนะและระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ แม้กระทั่งระบบ Solfware เป็นระบบปฏิบัติการ
Crystal OS ประสิทธิภาพสูง โดยทีมวิจัย และพัฒนาของจูนเหยา ซึ่งระบบ Crystal OS นี้มีฟีเจอร์ควบคุม และสั่งงานแบบอัจฉริยะ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทุกฟังก์ชันได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ทั้งยังรองรับการตั้งค่าตามสภาพถนนได้แบบเรียลไทม์ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ราบรื่น ความปลอดภัยโครงสร้างตัวถังที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจาก CNCAP และ Euro NCAP ระดับ 5 ดาว
การรับประกันตัวรถและมอเตอร์ไฟฟ้า 150,000 กม. ส่วนแบตเตอรี่ยาวนานถึง 8 ปี หรือ 800,000 กม. รับสิทธิ์
- ฟรี ตั๋วเครื่องบิน ไม่จำกัดเส้นทาง 4ที่นั่ง/ปี นาน3ปี
- ฟรี Juneyao Air Gold membership นาน 3 ปี
- ฟรี AC changer