ลองขับและลองใช้งานออปชั่นใหม่ใน
New Honda Civic e:HEV RS ที่ปรับโฉมเพิ่มความสะดวกสบายภายนอกและภายใน โดยที่ยังคงสมรรถนะความแรง เกาะถนน แน่นหนึบและประหยัดน้ำมันแบบ 23 กม./ลิตร แบบชิว ๆ ไม่ต้องปั่นแต่งใด ๆ ระหว่างเส้นทางไปกลับ กทม. (จุดปล่อยตัวฮอนด้าบางชัน) เขาใหญ่รวมกว่า 340 กม.
การทดลองขับครั้งนี้ใช้เวลาเพียงค่อนวันไม่ถึง 1 วันเต็ม ดังนั้นอาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่ไม่อาจเล่าได้ครบทุกมุมมอง และนี้คือความรู้สึกส่วนตัวที่ได้ลองขับสัมผัสเจ้า ซีวิค ใหม่คันนี้ (ขับแค่ e:HEV RS เท่านั้น) และกล้าบอกเลยครับว่า
Civic e:HEV นั้นเป็นรถที่อยากได้มากที่สุดคันหนึ่งเลย ด้วยสมรรถนะ ความแรง ความประหยัดตอยโจทย์น้ำมันแพงได้อย่างดี แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่คิดว่าปรับใหม่ครั้งนี้"ต้องมีแล้ว" แต่กลับไม่เห็นวี่แวว ส่วนเรื่องขับขี่เป็นไง มีอะไรเพิ่มและการใช้งานฟังก์ชั่นต่าง ๆ ดีหรือไม่เชิญอ่านครับ
ปรับราคาลง 20,000 บาท แต่เพิ่มของให้ยกเว้น......?!
New Honda Civic e:HEV RS และทุกรุ่นย่อยมีการปรับโฉมเล็กน้อยน้อยที่เรียกว่า FaceLift นั่นแหละ แต่การปรับครั้งนี้ไม่ได้เน้นเรื่องสมารรถนะ เน้นเพิ่มเติมความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารและปรับปรุงระบบการทำงานเกี่ยวกับความต่อเนื่องและนุ่มนวลของการส่งกำลังการผสานกำลังระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ทำงานแม่นยำมากขึ้น
สำหรับ Civic e:HEV RS จะปรับชัดเจนมากที่สุดเริ่ม ที่กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว ซึ่งมองผ่าน ๆ อาจจะไม่รู้สึกมากนักแต่เมื่อค่อน ๆ เล็งดี ๆ ลวดลายและรูปทรงเส้นสายต่าง ๆ ของกันชนหน้าเปลี่ยนไป โดยเฉพาะไปตัดหมอก "หายไป" อยากได้ต้องซื้อเป็นอุปกรณ์ตกแต่งเท่านั้น ซึ้งไม่มีความจำเป็นในการใช้งานเลย เพราะไฟหน้าสว่างตาแตกอยู่แล้วครับ
ไฟท้าย LED รมดำ อันนี้ยอมรับว่าสวยและดูดุดันเข้มมากขึ้น ยิ่งการใช้ของดำตัดขอบประตู มือจับ สปอยเลอร์ กระจกมองข้างและล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีดำแบบ Matte Black ดีไซน์ใหม่ นั้นยิ่งมีความเป็นวัยรุ่นมากขึ้น และเสริมด้วยเซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด และมีสีใหม่! สีน้ำเงินแคนยอนริเวอร์ (เมทัลลิก)
ภายในเพิ่มเติมความสะดวกสบายกับระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่งที่ลองฟังเสียงแล้วนับว่า หนักแน่นแบบนุ่ม ๆ เบสไม่กระทุ้งขี้หูมากนัก (ตั้งค่าเสียงเดิมจากโรงงานนะ) เรียกว่าเบสมาแบบไม่กรบย่านเสียงอื่น ๆ นับว่าออกแบบมาได้ดีระดับหนึ่งเลยทีเดียวครับ ส่วนสิ่งที่ใหม่มากคือ "Google built-in" แอปและบริการของ Google ที่ติดตั้งมาในตัวใช้ได้ทันทีเพียงลงทะเบียนอีเมลส่วสตัวลงไปเท่านั้น
ใหม่! ช่องเชื่อมต่อ USB Type C 4 ช่อง โดยแบ่งเป็น 2 ช่องด้านหน้า และ 2 ช่องด้านหลัง ไว้ให้เพื่อนได้ชาร์จแบตฯ หรือหากไม่พอก็ยังมี Wireless Charge มาให้เช่นเคยอีกด้วย ชาร์จได้ครบทั้ง 5 ที่นั่งเลย ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว เท่าเดิมแบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto(TM) แบบไร้สาย และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto และ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) ที่มีให้ในทุกรุ่นย่อยเช่นเดิม
ใหม่! ในส่วนของการขับขี่ด้วยโหมดการขับขี่แบบ Individual (Individual Mode) ที่สามารถตั้งค่าน้ำหนักพวงมาลัย ระบบเครื่องยนต์ได้ตามต้องการแบบส่วนตัวอีกด้วย อันนี้ถือว่าดีมาก ๆ ครับ และใหม่ด้วยช่องแอร์ด้านหลัง (ทุกรุ่นย่อย) และเบาะที่นั่งด้านหลังแยกพับแบบ 60:40 แบนราบขนสัมภาระได้เยอะ
แต่สิ่งที่หลายคน "ลอยคอหรือรอคอยนั้น" >>>>>> คือ กล้องรอบคัน 360 องศา และระบบเตือนมุมอับสายด้านข้าง (BSM) ก็ยังไม่มีให้นะ เพราะ Honda LeneWatch ยังอยู่!!! ไม่ไปไหนรักฮอนด้ามาก ๆ เอาล่ะครับโดยภาพรวมที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นมากนั้นรวม ๆ แล้วก็อาจจะมีมูลค่าเกินกว่า 20,000 บาท ทั้งที่ราคาขายจริงปรับลดลงมาต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ ถือว่าคุ้มค่าทีเดียวครับ
สมรรถนะการขับขี่ แรงและประหยัดจริงขับขำ ๆ 20 กม./ลิตร+++
สมรรถนะที่ยังคงเป็นจุดเด่นมาก ๆ ในรถระดับนี้ กับเครื่องยนต์ ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit - IPU) ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งมีน้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด และผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัว ตัวนึงปั่นไฟโดยเฉพาะอีกตัวขับเคลื่อนโดยเฉพาะ ไม่ได้ใช้ตัวเดียวทำหลายหน้าที่ พร้อมกับกำลังสูงสุดได้ถึง 184 แรงม้า ที่ 5,000 - 6,000 รอบต่อนาที ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 315 นิวตัน-เมตร ที่ 0 - 2,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันตามที่โรงงานเคลมไว้ที่ 25 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 96 กรัม/กิโลเมตร
การตอบสนองเครื่องยนต์ทันใจแทบไม่มีอาการรอรอบหรือรอเปลี่ยนร์เกียร์หรือมีรอยต่อระหว่างระบบเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า นับว่าทำงานได้เนียนสมูท นุ่มนวล และเร่งได้ต่อเนื่องทันใจ เสียงเครื่องยนต์ไม่ดังเข้ามาในห้องโดยสารมากเกินไป น้ำหนักคันเร่งธรรมาชาติและกะน้ำหนักเท้าได้ง่าย ไม่ต้องปรับตัวเยอะ แป้นเบรกที่นุ่มเท้าและช่วยผ่อนแรงขณะกดเบรกโดยไม่ต้องใช้แรงมากนักแม้จะต้องเบรกอย่างรุนแรงก็ตาม ส่วนระบบช่วงล่างที่ให้ความหนึบนุ่มนวลและแน่น มีโยนตัวบ้างบางครั้งแต่ก็ไม่ทำให้รถส่ายไปมาเวลาเปลี่ยนเลยหรือเข้าโค้งก็ให้ความมั่นใจได้ ถือว่าในการขับขี่นั้นสะดวกสบาย แรงสะใจและมั่นใจได้ "เหมือนเดิม" ทุกประการครับ!
ความประหยัดที่ต้องเน้นว่า "ประหยัดจริงจัง" กับระบบฟลูไฮบริดที่เน้นใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก เครื่องยนต์ช่วยปั่นไฟและอาจช่วยขับเคลื่อนในบางครั้ง นอกจากการใช้ความเร็วสูง ๆ ที่เกินกว่าประมาณ 110 กม./ชม.ขึ้น จะเป็นเครื่องยนต์ล้วน ๆ ซึ่งก็จะได้เรื่องความประหยัดเพราะเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรที่ใหญ่สมตัวยิ่งขับแบบลอยลำยิ่งให้อัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำกว่า
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนมาตรวัดในทริปนี้ขับแบบ 2 คนสลับกันขาไปกลับทำได้สูงสุด 23.4 กม./ลิตร กับระยะทางรวม 341 กม. น้ำมันลดไป 4 ช่องและระยะทางคงเหลือ 406 กม. จากที่เคลมเอาไว้ว่า 1 ถัง ไปได้ 800 กม. ก็อาจจะทำได้จริง (ขึ้นกับสภาพการขับขี่ด้วยนะครับ)
ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่ทำงานผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้ดีละเอียดขึ้น
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
ต้องบอกว่าสิ่งที่รู้สึกได้ว่าระบบ Honda SENDSING มีการเปลี่ยนแปลงคือ รอยต่อของระหว่างระบบตัดต่อกำลังเครื่องยนต์และมอเตอรืไฟฟ้าที่เนียนไหลลื่นและต่อเนื่องไม่ว่าจะขับอยู่ความเร็วระดับใด เมื่อคิกส์ดาวน์แทบไม่รู้สึกเลยว่ามีการตัดต่อหรือสลับสับเปลี่ยนกำลัง นอกนั้นยังไม่สามารถรู้สึกได้ครบทุกรับบเพราะว่าใช้เวลาทดลองขับไม่นานนักครับ
การทำงานของระบบ Full Hybrid ใน Civic e:HEV (อีกรอบ)
ระบบฟลูไฮบริดของฮอนด้านับว่าเป็นการใช้พลังงานได้อย่างดีและประหยัดสูงสุดจริง ๆ ในรถระดับเดียวกันและได้ทั้งความแรงแบบจัดจ้านอีกด้วย มาดุระบบการทำงานกันอีกครั้งครับ
- โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โดยมอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มอบอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม ออกตัวได้อย่างรวดเร็วทันใจโดยไม่ต้องรอรอบ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง ช่วยให้สามารถขับขี่ในโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ได้อย่างต่อเนื่อง
- โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) โดยระบบจะขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว มอบอัตราเร่งที่นุ่มนวลและทรงพลัง
- โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์อัตโนมัติ E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงและมีแรงเสียดทานต่ำ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่
สรุปความคุ้มค่ากับราคา 1.239 ล้านบาท
New Honda Civic e:HEV RS ผมถือว่าคุ้มค่าในระดับกลาง ๆ ยังสุด เพราะได้เรื่องความแรงประยัดน้ำมัน ได้ระบบความปลอดภัยที่เกือยจะครบ ขาดไม่กี่อย่าง ได้ฟังก์ชั่นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายเต็มคัน และยังประหยัดลงกว่าตัวก่อนหน้าอีก 20,000 บาท และแน่นอนว่าใครหลายคนเล็ง Civic เอาไว้เป็นรถที่หากมีโอกาสจะขอเป็นเจ้าของและอยากที่จะลองสัมผัสสมรรถนะสักครั้งหนึ่ง และส่วนตัวรู้สึกว่าฮอนด้าเก่งเรื่องการทำให้เจ้าซีวิคนี้ขับขี่สนุก มั่นใจเทียบแล้วใกล้เคียงกับรถยุโรปในบางรุ่นย่อยด้วยซ้ำไป แต่อย่างที่ทราบกันครับว่าทางฮอนด้าก็ยังมีจุดที่น่าเสียดายคือ
"แอบหวงของ" โดยการไม่ให้ออปชั่นบางอย่างที่รถยนต์ทั่วโลกให้มาจนแทบจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดรถไปแล้ว!!!
แต่ถึงอย่างไร ก็ยังชื่นชอบรถยนต์ฮฮนด้าเสมอมา และหวังว่าจะปรับตัวให้ทันหรือก้าวนำคู่แข่งออกไปได้เช่นที่เคยทำมาในอดีตครับ "รักนะจู๊บ ๆ"