เราทราบกันแล้วว่า
All New MG3 Hybrid+ เปิดตัวและเผยราคาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว คู่แข่งโดยตรงของรถคันนี้คงหนีไม่พ้น
Honda City Hatchback e:HEV ซึ่งเป็นรถท้ายตัดขุมพลังไฮบริดเหมือนกัน ก่อน งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2024 ปลายปีนี้จะมาถึง เรามาดูกันก่อนว่าทั้ง 2 รุ่น นั้นมีจุดดีจุดด้อยต่างกันอย่างไร
ด้วยราคาพิเศษช่วงเปิดตัว 559,900 - 599,900 บาท ทำให้ MG3 Hybrid+ ได้เปรียบ City Hatchback e:HEV ซึ่งมีราคา 729,000 - 799,000 บาทอยู่มาก อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคันนี้มีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันไป มาลองเทียบกันดูว่าคันไหนจะเหมาะคุณมากกว่ากัน
ราคา All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HE
ราคา All New MG3 Hybrid+
เป็นราคาพิเศษเฉพาะ 1,000 คันแรกเท่านั้น จากนั้นจะปรับขึ้นเป็น 579,900 - 619,900 บาท
ราคา Honda City Hatchback e:HEV
มิติตัวถัง All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV
มิติตัวถัง | All New MG3 Hybrid+ | Honda City Hatchback e:HEV |
ความยาว (มม.) | 4,113 | 4,369 |
ความกว้าง (มม.) | 1,797 | 1,748 |
ความสูง (มม.) | 1,502 | 1,501 |
ระยะฐานล้อ (มม.) | 2,570 | 2,589 |
ภายนอก-ใน All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV
ภายนอก All New MG3 Hybrid+
ดีไซน์ภายนอกของ MG3 Hybrid+ ผสานระหว่างความสปอร์ตและความหรูหราได้อย่างลงตัว ดีไซน์ไฟหน้าแบบใหม่ Hunter Eye Headlamp หรือ ดวงตานักล่า ที่ดูโฉบเฉี่ยว พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่ ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบรอบตัวถังเน้นความโค้งมนตามแบบฉบับของเอ็มจี
ออพชั่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ไฟหน้า LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ (ในรุ่น X) พร้อม DRL, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (ในรุ่น X) และใบปัดน้ำฝนด้านหลัง และยังมาพร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้วทุกรุ่นย่อย
สีตัวถังมีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีแดง (Scarlet Red) สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) และสีเทา (Metal Ash Grey) จับคู่กับเบาะสีดำ ในรุ่น D ทั้งยังมีสีให้เลือกเพิ่มเติม คือ สีฟ้า (ST. Moritz Blue) และ สีเหลือง (Pastel Yellow) ในรุ่น X
ภายใน All New MG3 Hybrid+
ห้องโดยสารของรถคันนี้ออกแบบภายใต้แนวคิด Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ มาในสีทูโทนขาวสลับดำ (รุ่น X) และสีดำล้วน (รุ่น D) เน้นความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอย เน้นพื้นที่เหนือศีรษะ (Head room) และพื้นที่วางขา (Leg room)
เมื่อเข้าห้องโดยสารเราจะเห็นฟังก์ชั่นการใช้งานของรถ เริ่มที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง, มาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว, หน้าจอกลางรองรับระบบสัมผัส 10.25 นิ้ว และรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, เบาะนั่งคู่หน้าปรับมือ, เบรคมือไฟฟ้า EPB พร้อม AVH (Auto Vehicle Hold) รวมถึงระบบปรับอากาศแบบดิจิทัลพร้อมกรองอากาศ PM 2.5
นอกจากนี้ MG3 Hybrid+ ยังมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ระบบเสียงลำโพง 6 ตำแหน่ง, ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start รวมถึงช่องใส่ของภายในห้องโดยสาร 25 จุด
MG3 Hybrid+ มีเบาะหลังที่พับได้แบบ 60:40 ความจุห้องสัมภาระอยู่ที่ 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร
ภายนอก Honda City Hatchback e:HEV
สำหรับ Honda City Hatchback e:HEV ปีนี้คือโฉมไมเนอร์เชนจ์แล้ว โดยยังคงหน้าตาคล้ายโฉมก่อน และปรับออพชั่นให้น่าใช้มากยิ่งขึ้นทั้งภายนอกภายใน รวมถึงเพิ่มรุ่นย่อย SV เข้ามาสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
ออพชั่นภายนอกที่โดดเด่น ได้แก่
- ไฟหน้า LED (ในรุ่น RS) และโปรเจคเตอร์ (รุ่น SV) ไฟ DRL แบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ, ไฟตัดหมอก LED (รุ่น RS)
- ไฟท้าย LED
- กระจังหน้าลายรังผึ้งตกแต่งด้วยสีดำเงา (รุ่น RS) และโครเมียม (รุ่น SV)
- ระบบปัดน้ำฝนหน่วงเวลาพร้อมระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ (รุ่น RS)
- ล้ออัลลอย 16 นิ้วสีดำแบบสปอร์ต (RS) และสีทูโทน (SV)
Honda City Hatchback e:HEV รุ่น SV
สีภายนอกมีให้เลือก 6 สี ได้แก่
- สีขาวมุก Platinum White Pearl (เพิ่ม 10,000 บาท)
- สีเทา Sonic Grey Pearl (เพิ่ม 6,000 บาท)
- สีเทา Meteoroid Grey Metallic
- สีดำมุก Crystal Black Pearl (เพิ่ม 6,000 บาท)
- สีแดง Ignite Red Metallic
- สีน้ำเงิน Brilliant Sporty Blue
ภายใน Honda City Hatchback e:HEV
สำหรับดีไซน์ภายในของ City Hatchback e:HEV ไม่มีอะไรที่หวือหวานัก มีการจัดเรียงฟังก์ชันต่าง ๆ เหมือนรถยนต์ทั่วไป เริ่มที่พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย, เบาะหนังผสมหนังสังเคราะห์, มาตรวัดพร้อมจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว, จอกลางขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
ออพชั่นที่น่าสนใจ ได้แก่ เบรคมือไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold, ช่องแอร์ผู้โดยสารด้านหลัง, ช่องเชื่อมต่อและชาร์จ USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง หลัง 2 ตำแหน่ง, ลำโพง 8 ตำแหน่ง (RS) และ 4 ตำแหน่ง (SV), เชื่อมต่อ Honda CONNECT (RS)
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคู่แข่งคันอื่น ๆ คือเบาะหลังแบบ Ultra Seat ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้งาน นอกจากการพับ 60:40 ที่เรียบไปกับพื้นห้องสัมภาระแล้ว เบาะรองนั่งยังสามารถพับยกขึ้นเพื่อบรรทุกของที่มีความสูงได้ หรือปรับเบาะหน้าเอนเชื่อมต่อกับเบาะหลังเพื่อนอนยาวได้
เครื่องยนต์ของ MG3 Hybrid+
ขุมพลัง All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV
เครื่องยนต์ MG3 Hybrid+
MG3 Hybrid+ มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว DVVT กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (PS) แรงบิด 128 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร
พละกำลังรวมสูงสุดทั้งระบบอยู่ที่ 194 แรงม้า(PS) (143 kW) แรงบิด 250 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion (NMC) ความจุ 1.83 kWh จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-AT 3 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า
เครื่องยนต์ Honda City Hatchback e:HEV
เครื่องยนต์รหัส LEB8 เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมหัวฉีด PGM-FI ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า(PS) แรงบิด 127 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 109 แรงม้า(PS) แรงบิด 253 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 1.0 kWh จับคู่ระบบส่งกำลังแบบ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า
ขุมพลังของ MG และ Honda ให้ทั้งอัตราเร่งที่ดี แถมให้ความประหยัดในระดับ 20+ กิโลเมตร/ลิตร ได้สบาย ๆ แต่ดูเหมือนว่าระบบไฮบริดของ MG จะได้เปรียบกว่าเล็กน้อย เพราะมาพร้อมเกียร์ 3 สปีดซึ่งจะให้ความเร็วปลายไหลไปได้ดีกว่า
ความปลอดภัย All New MG3 Hybrid+ VS Honda City Hatchback e:HEV
ความปลอดภัย MG3 Hybrid+
MG3 Hybrid+ มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่หรือ ADAS พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)
ระบบความปลอดภัยพื้นฐานมีดังนี้
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- ระบบ ABS/EBD/EBA/TCS
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
- ระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)
ส่วนระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) จะมีในรุ่น X ซึ่งเป็นรุ่นท็อปเท่านั้น ดังนี้
- กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System)
- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
- ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning)
ความปลอดภัย Honda City Hatchback e:HEV
Honda City Hatchback e:HEV มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON มีระบบความปลอดภัยพื้นฐานดังนี้
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (RS) และ 4 ตำแหน่ง (SV)
- ระบบ ABS/EBD/VSA
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ESS
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
- ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็ว Auto Door Lock by Speed
- ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า
- ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
- ระบบสัญญาณกันขโมย
- ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
- กล้องมองหลัง ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ
- จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Honda SENSING ได้แก่
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน Honda LaneWatch (RS)
- ระบบเตือน และ ช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM with LDM
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS
- ระบบเตือนการชนรถ และ คนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามคันหน้า Adaptive Cruise Control ACC with LSF Low Speed Following
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ LCDN
เรียกได้ว่า ทั้ง MG และ Honda มีระบบความปลอดภัยที่สูสีกันเลย โดยทั้งสองคันไม่มีระบบเตือนจุดบอดด้านข้างหรือ Blind Spot Monitoring แต่อย่างใด โดย MG มีเพียงกล้องรอบคัน 360 องศา (ในรุ่น X) และ Honda มีเพียง Honda LaneWatch (ในรุ่น RS) เพื่อช่วยในการสอดส่องจุดบอดเท่านั้น
สรุป: เลือก MG ที่คุ้มค่ากว่า หรือเพิ่มเงินไป Honda เพื่อความสบายใจ
สำหรับ All New MG3 Hybrid+ ถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ Honda City Hatchback e:HEV ด้วยความสามารถที่มีรอบด้าน นอกจากออพชั่นและราคาที่คุ้มค่าเหนือรถญี่ปุ่นแล้ว ในครั้งนี้ MG3 Hybrid+ ปรับปรุงสมรรถนะเครื่องยนต์ไฮบริดให้ต่อกรกับค่ายญี่ปุ่นได้อย่างสูสีกินกันไม่ลง ทำให้หลายคนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว
MG3 Hybrid+ อาจเสียเปรียบ City Hatchback e:HEV ตรงชื่อชั้นที่ยังไม่ยาวนานพอจนคนส่วนใหญ่ไว้ใจ บวกกับชื่อเสียงบริการหลังการขายที่หลายคนยังตั้งคำถาม ทำให้แบรนด์เจ้าตลาดอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
แต่ไม่ใช่ว่า Honda จะมีดีแค่ชื่อเสียงของแบรนด์ นอกจากสมรรถนะการขับขี่ ความปลอดภัยที่ครบครันแล้ว ยังโดดเด่นในเรื่องประโยชน์ใช้สอยที่มีอย่าง Ultra Seat ซึ่งใครที่จำเป็นต้องใช้จะต้องชื่นชอบแน่นอน
จึงสรุปได้ว่า หากใครที่ต้องการความสดใหม่ สมรรถนะ และความคุ้มค่า คงต้องเลือก MG3 Hybrid+ ส่วนใครยังต้องการความสบายใจ ประโยชน์ใช้สอย และมีออพชั่นครบครันไม่แพ้กันก็เลือก Honda City Hatchback e:HEV ได้เลย
สามารถไปชมคันจริงรถทั้ง 2 รุ่นนี้ได้ที่งาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้ได้เลยครับ