E 350 e AMG Dynamic E 220 d AMG Line
จุดเด่น ภายในใหม่หมดภายในนึกว่า EQS !
E 350 e
The new E-Class มาพร้อมรหัสตัวถังใหม่ W214 แน่นอนว่าเป็นโมเดลใหม่ทั้งคัน ตั้งแต่หัวจรดท้าย เท่าที่เดินดูรอบ ๆ คันแล้วแทบจะไม่มีชิ้นส่วนไหน ใช้ร่วมกับโแมก่อนหน้านี้ (W213) และใน Body นี้เปิดตัวเมื่อต้นปี 2024 ไปแบบ "
Launch EDITION" ซึ่งจำหน่ายหมดเกลี้ยงไปเรียบร้อย ปัจจุบันใครจะซื้อ E-Class ใหม่ ก็จะเป็นรถ CKD ประกอบและผลิตในไทยปรับสเปค
"เพิ่มมากกว่าลด" ให้คนไทยได้แบบคุ้ม ๆ กับราคาต่ำลงและพร้อมส่งมอบช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ (รถกำลังอยู่ในช่วงการประกอบ)
ภายในล้ำอนาคตฉีกรูปแบบเดิมของ E-Class โฉมก่อนหน้านี้ (W213) ด้วยการติดตั้งจอแสดงผล 3 จอ แบบเดียวกับใน S-Class ใหม่ มาตรวัดคนขับ 12.3 นิ้ว จอกลางขนาด 14 นิ้ว และ จอ Co-Drive Display อีก 12.3 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ใช้งานได้สะดวก มีฟังก์ชั่นเหมือนจอกลาง สามารถปรับแต่ง ตั้งค่า ดูรายละเอียดต่าง ๆ ของระบบการทำงานตัวรถได้ครบทุกฟังก์ชั่น และยังสามารถดูหนังเชื่อมต่ออินเตอร์เนตดู Youtube ได้อีกด้วย แต่จะถูกตั้งค่าความปลอดภัยดูได้เฉพาะตอนจอดสนิทเท่านั้น
หน้าจอ MBUX Superscreen ระบบความปลอดภัย Driving Assistance Package Plus และระบบไฟหน้า DIGITAL LIGHT ระบบปิดประตูแบบ Soft Close ระบบเสียง Burmester® 4D พร้อมเทคโนโลยี Dolby Atmos และตอกย้ำการเป็นรถที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อผู้บริหารและนักธุรกิจด้วยระบบ MBUX เจเนเรชั่นที่ 3 ที่มาพร้อมกล้อง Selfie สำหรับการประชุมงานในรถ
ภายในพร้อมไฟสร้างบรรยากาศ เบาะคู่หน้าทรงกึ่งสปอร์ตปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้องดันหลังและหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง เบาะนั่งหลังใหญ่ แม้จะนั่งตรงกลางก็นั่งได้เต้มก้น พร้อมระบบควบคุมแอร์ด้านหลังแยกต่าง ๆ ที่วานแขนพร้อมที่วางแก้วน้ำ โปร่งโล่งสบยาด้วย Panoramic Sunroof พร้อมแผ่นบังแดด และม่านบังแดดไฟฟ้าหน้าต่างคู่หลัง
ความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นนี้คือ
ภายนอกโดดเด่นด้วยไฟหน้า LED Multireflector พร้อมระบบ Auto Hight Beam กระจังหน้าใหม่ ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ลาย 5 ก้านคู่ ส่วนภายในแทบแยกไม่ออกแต่อาจจะดูได้ที่ไม่มี Head-up display กับเมนูโหมดขับขี่มี 4 โหมด คือ Eco/Comfort/Sport/Individual ช่วงล่าง AGILITY CONTROL suspension with selective damping system and lowering โช้คอับปรับแต่งระบบวาล์วภายในให้รองรับและซับพอร์ตการยุบ-ยืดตัวได้ตามแรงกระแทรก
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM654M แบบ 4 สูบเรียงขนาด 1,993 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศแบบ turbochargers ที่ระบายความร้อนด้วยระบบ Water-cooled turbocharger ทำงานคู่กับมอเตอรไฟฟ้าแบบ ISG2 (Integrated starter generator 2) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system กำลังสูงสุด 17 kWh มีแรงม้ารวมสูงสุดถึง 197+23 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที ประมาณ 200+ แรงม้าเลย พร้อมกับแรงบิด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบต่อนาที 9G-TRONIC ทำอัตราเร่ง 0- 100 กม./ชม. ในเวลา 7.6 วินาที และ Top speed 238 กม./ชม. ความจุถังน้ำมัน 66 ลิตร
ภายนอกไฟหน้าแบบ ระบบไฟหน้า DIGITAL LIGHT with Adaptive กระจังหน้าแบบ illuminate radiator grille ล้ออัลลอย 20 นิ้ว ภายใน Head-up display ระบบเสียง Burmester® 4D พร้อมเทคโนโลยี Dolby Atmos พร้อม Profile เสียง 3 รูปแบบ Pure, 3D Surround และ Individual ระบบตัดเสียงรบกวนแบบ Noise compensation (VNC) ลำโพงพิเศษที่ใช้สำหรับสร้างเสียงมิติที่ 4 โดยลำโพงจะติดตั้งภายในเบาะจำนวน 4 ตัว (ลำโพง 2 ตัว ต่อ 1 ที่นั่งติดตั้งบริเวณเบาะคู่หนาทั้ง 2 ที่นั่ง) และโหมดขับขี่เพิ่มเป็น รูปแบบ คือ EL-ไฟฟ้าล้วนวิ่งได้ 100 กม. (WLTP)/H-ผสม/ไฮบริด/B-การชาร์จไฟกลับ/Sport และ Individual ส่วนระบบช่วงล่างเป็นถุงลม
ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล รหัส OM654M แบบ 4 สูบเรียงขนาด 1,999 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศแบบ turbochargers กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,100 รอบต่อนาที แรงบิด 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 - 4,000 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับมอเตอรไฟฟ้า 129 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร รวมกำลังสูงสุด 2 ระบบ 313 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร 9G-TRONIC ทำอัตราเร่ง 0- 100 กม./ชม. ในเวลา 6.5 วินาที และ Top speed 234 กม./ชม. ความจุถังน้ำมัน 50 ลิตร
สมรรถนะ
จากการทดลองขับทั้ง 2 รุ่นนั้น มีความแตกต่างกันในเรื่องพลังกำลังไม่มากนัก และระบบช่วงล่างที่แตกต่างกันเล็กน้อย เริ่มที่ E 220 d ให้อัตราเร่งดึงหนักด้วยแรงบิดดีเซลเทอร์โบรวมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ออกตัวและเร่งแซงทันใจ ในทุก ๆ ย่านความเร็ว พร้อมกับเสียงที่ไม่ดังเกินไปอีกด้วย การเปลี่ยนเกียร์ที่ต่อเนื่องและราบรื่นมากกว่าในตัว E 350 e และการเร่งในช่วงรอบปลาย ๆ นั้นจะหมดไวกว่าเล็กน้อย เพราะรอบเครื่องยนต์ดีเซลที่จำกัดกว่า เท่านั้นเองครับ
ช่วงล่างนิ่งเนียบและนุ่มพอกับกำลังแรงความแรง เกาะถนน พวงมาลัยแม่นยำกระชับ แต่ก็พอจะมีอาการ "ท้ายดิ้น" บ้างในบางครั้งที่ขับผ่านถนนไม่เรียบในความเร็วสูง แต่โดยรวมนับว่าขับแล้ว "กลมกล่อม" มาก ๆ ทั้งเกาะ นุ่มและนิ่งตลอดการเดินทางเลยครับ ที่คำคัญคือ พละกำลังที่กดกี่ครั้งก็มาเต็ม ๆ ไม่หัก เพราะใช้พลังดีเซลเทอร์โบที่ให้แรงบิดดีกับมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมยิ่งทำให้การเร่งแซง ต่อเนื่องทำได้ดีตลอดไม่มีแผ่วเลยครับ
E 220 d รอบจะลากได่ไม่ยาวเท่าตัวเบนซินไฮบริด แต่แรงดึงขณะเร่งแซงมากหนักไม่แพ้กัน
เปลี่ยนสลับมาขับ
E 350 e สิ่งแรกคือ ความเงียบและเครื่องเดินเรียบ เพราะเมื่อขับช้า ๆ หรือจอดเครื่องยนต์ดับ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก ในโหมด (H) แต่เมื่อต้องการกำลังเร่งแซงนั้นทั้ง 2 พลังผสานกันทำงานทำให้พุ่งไต่ระดับความเร็วอย่างต่อเนื่องและเร่งได้ทันใจกว่าในรุ่น
E 220 d พอสมควร แต่ว่า...ก็เป็นเฉพาะในกรณีแบตฯ คงเหลือในระดับไม่ต่ำมาก ซึ่งถ้าระดับไฟฟ้าสำรองในแบตฯ ต่ำจนถึงจุดที่ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟแรง ๆ ได้ในทันที ความแรงจะลดลงหรือ ดร็อบลงกว่าเดิม คล้ายกับเป็นพลังจากเครื่องยนต์เพียว ๆ และมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยพยุงเท่านั้น และมักจะเป็นในการใช้คันเร่งหรือลองอัตราเร่งบ่อย ๆ ตลอดต่อเนื่องนาน ๆ เพราะไฟฟ้าในแบตฯ หมดแล้ว
รุ่น E 220 d แรงบิดมาเต็ม 440 นิวตันเมตร
ดังนั้น หากใครที่เท้าหนัก ๆ โหด ชอบอัตราเร่งจัดจ้านตลอดเวลาในการขับขี่ ก็อาจจะต้องขับแบบปกติหรือใช้โหมดชาร์จไฟฟ้า (B) สลับกันไปด้วย เพื่อให้มีไฟฟ้าไว้ใช้งานตลอดเวลา แต่ว่า...การใช้งานโดยทั่วไปแล้ว อาจจะไม่ต้องการขับขี่ในลักษณะนี้ตลอดเวลา เพราะจะสิ้นเปลืองและไม่เหมาะสมกับจุดประสงค์ของเจ้า E 350 e รุ่นนี้ ที่ต้องการเน้นความประหยัดใช้งานชิว ๆ มีเร่งแซงบ้างบางช่วงและเป้นรถระดับผู้บริหาร นั่งสบาย ๆ ใช้ฟังก์ชั่นฉ่ำ ๆ ในรถ น่าจะตรงประเด็นมากกว่า ใครต้องการพลังโหด ๆ ต้องข้ามไป Mercedes ระกูล
AMG ที่เน้น Performance ไปเลยครับ รับรองมันเร้าใจกว่าแน่นอน!
สรุปความคุ้มค่า-ส่วนตัวชอบ E 220 d เพราะว่า.....
สำหรับการทดลองขับ
Mercedes-Benz ทั้ง 2 รุ่นนี้ ในเวลาจำกัดและต้องเดินทางยาว ๆ จากภูเก็ตกลับกรุงเทพฯ สลับกันขับอีก 2 สื่อ ทำให้อาจจะบอกเล่ารายละเอียดลึก ๆ ไม่ครบถ้วนนัก แต่พอสรุปได้ว่า ส่วนตัวชอบรุ่น
E 220 d มากกว่าเพราะใช้งานง่าย ๆ ไม่ต้องปรับตัวเลย พลังเครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้จัดจ้าน เสียงเพราะและมีแรงบิดให้ใช้งานตลอดไม่มีงอแง แถมช่วงล่างนิ่งรองรับทั้งกำลังและการเดินทางได้ลงตัวพอดี ๆ "ไม่ล้นเกินไม่น้อยเกิน" เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็มีให้ครบถ้วนเกินพอใช้งาน
ส่วนรุ่น
E 350 e น่าจะเหมาะกับผู้ที่ขับขี่ในเมืองเป็นหลัก เน้นใช้งานระบบ EV ล้วน ๆ ในเมืองขับไปกลับที่ทำงานและบ้าน เส้นทางสม่ำเสมอ แต่ถ้าจะออกต่างจังหวัดก็ขับแบบไฮบริดได้ ไม่ต้องง้อที่ชาร์จ แต่ช่วงล่างยังมีความแข็งหกว่าและเมื่อเร่งแรง ๆ จะมีอาการลอย ๆ เล็กน้อย เนื่องจากความแรงที่มากกว่า และ เมื่อเข้าทางโค้งจะมีอาการ "ท้ายดิ้น ๆ" จึงสรุปได้ว่า รถยนต์ 2 รุ่นนี้ ผู้ซื้อจะต้องเลือกให้ตรงกับความต้องการของตัยเองให้มากที่สุด และคุ้มค่ากับราคา
E 220 d ใช้งานสบาย ๆ ประหยัดไม่ต้องวุ่นวายเรื่องการชาร์จไฟฟ้า แรงบิดมาตลอดไม่รอรอบ
E 350 e เน้นขับในเมืองบ่อย ๆ ใช้โหมด EV ช่วยประหยัดขึ้น อัตราเร่งจัดจ้านขับสนุกแรงสะใจ
เลือกรุ่นไหนถามใจดูครับ!