เมื่อรถคันเก่าถึงคราวต้องเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ จะเลือกเป็นระหวา่งรถยนต์น้ำมันหรือไฮบริดดี ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าก็กำลังมาแรงและน่าสนใจเพราะไม่ง้อน้ำมัน ประหยัดค่าเดินทางไปได้เยอะ ถ้าหากว่าจะต้องเลือกคันใหม่และอยู่ในงบประมาณระดับพอ ๆ กัน "คุณจะเลือกรถอะไร?" ผมว่าหลายคนยังมีความลังเลเมื่อจะต้องเปลี่ยนรถใหม่ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีหลากหลายกลุ่มพลังงานให้เลือกมากมาย แล้วจะเลือกอย่างไร?.... ผมมีคำแนะนำเพื่อประกอบการตัดสินใจแล้วลองพิจารณารวมกับความชื่นชอบส่วนตัวก่อนเลือกซื้อรถคันใหม่มากฝากครับ
ลักษณะการใช้งาน
สิ่งแรกที่ต้องรู้ก่อนคือ ลักษณะการใช้ ไลฟ์สไตล์ หรือว่าความต้องการท่แท้จริงว่า ใช้งานแบบไหน ลักษณะใด ใช้ทำอะไร มีใครใช้ด้วยไหม หรือมีผู้ร่วมเดินทางมากน้อยแค่ไหนอย่างไร อาจดูว่าทำไมต้องคิดเยอะ! เพราะว่ารถยนตซื้อแล้วกว่าก็ต้องใช้งานอีกยาว ๆ ไม่ได้เปลี่ยนง่าย ๆ ซึ่งอาจไม่ใช้ทุกคนแต่ก็เป็นส่วนมากที่ซื้อแล้วใช้งานยาว ๆ ผ่อนหมดก็อาจจะยังใช้งานต่อไปอีก การเลือกรถยนต์ให้ตรงกับความต้องการใช้งานจึงสำคัญสุด ๆ ครับ
รถยนต์สันดาปล้วน (น้ำมัน) (ICE)
รถยนต์สันดาปเป็นอะไรที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เราเกิด ทำให้การใชงานรถประเภทนี้ไม่ค่อยมีความน่ากังวล ทั้งเรื่องสมรรถนะ ความทนทาน บำรุงรักษาง่าย และเป็นปกติที่ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากจะเดินทางใกล้ไกลได้หมด แต่ก็อาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องอื่น ๆ เช่น ถ้าต้องการรถยนต์ที่มีสมรรถนะดี เทคโนโลยีใหม่ทันสมัยมาก ๆ ระบบความปลอดภัยที่ครบถ้วน ในราคาเหมาะสมนั้นส่วนจะมีตัวเลือกน้อย อย่างเช่น รถขนาดเล็ก "อีโคคาร์" บางรุ่นที่ครบจริง แต่อาจจะขาดเรื่องสมรรถนะ หรือความสะดวกสบายไปบ้างและเป็นรถไซต์เล็กที่อาจไม่ตอบโจทย์การใช้งานที่แท้จริง ส่วนรถในเซกเมนท์ที่ใหญ่ขึ้นมีของครบ ๆ ราคาก็จะสูงตาม อาจจะขัดกับงบประมาณหรือว่าจะต้อง "แบก" ค่างวดเกินตัวมากไปก็เป็นได้นะครับ
ข้อแนะนำ
รถยนต์สันดาบมักมีข้อจำกัดที่คละ ๆ กันไปในแต่ละรุ่นแต่ละเซกเมนท์ ท้ายที่สุดก็จำเป็นต้องรุ่นที่ตอบสนองการใช้งาน ตรงกับงบที่ตั้งไว้ แต่อาจจะขัดใจหรือไม่ตรงสเปคที่อยากได้มากนัก เช่น อยากได้รถประหยัด ดูแลง่าย ไม่จุกจิก แต่ขอแรงเยอะ ๆ ขึ้นเขาไหว นั่ง 5 คนไม่อึดอัด ในงบไม่เกิน 9 แสนบาท!!!..... น่าจะไม่มีตรงนักข้อนี้ต้องทำใจครับ
รถยนต์ไฮบริด (HEV)
รถยนต์ไฮบริดนับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้แล้ว หากมองในแง้การใช้งานที่ตอบสนองในหลาย ๆ ความต้องการ เช่น ต้องประหยัด ต้องแรง ต้องใหญ่ ต้องดูแลง่าย ต้องมีเทคโนโลยีเยอะๆ และเดินทางไกลสบายไม่ต้องกังวล นี่แหละใช่เลย หลายคนจึงมองรถยนต์ไฮบริดเป็นทางเลือกแรก ๆ ยิ่งในปัจจุบันรถยนต์ไฮบริดมีเทคโนโลยีมากมายที่ทำให้ ทั้งแรง ทั้งประหยัด ทั้งทนทาน ดูแลง่าย และรับประกันระบบยาวนาน ส่วนผู้ใช้งานก็ไม่ต้องปรับตัว ปรับวิธีชีวิต เรียกว่าขับเหมือนเดิม แต่ประหยัดขึ้น สมรรถนะดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัดเจนครับ แต่จะมีข้อดีหมดก็ไม่เชิงเพราะยังเรื่องอื่น ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องอีกหลายเรื่องด้วยกัน เช่น หากจะซื้อรถยนต์ไฮบริด แน่นอนครับว่าราคาไม่ถูกอยู่แล้วเพราะเทคโนโลยีระดับนี้ ทำให้ตัวเลือกรถยนต์ไฮบริดมีน้อย
โดยรุ่นที่ราคาต่ำสุดในตรลาดบ้านเราก็ราคาขยับไปที่ 7 แสนบาท แต่เป็นรถในบี-เซกเมนท์ หรือขยับค่าตัวขึ้นมาระดับ 8 - 9 แสนบาทก็พอมีให้เลือกเยอะหน่อยทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นและจีน แต่ถึงอย่างไรนั้น เมื่อต้นทุนระบบไฮบริดสูงเนื่องจากมีระบบแบตเตอรี่เข้ามาเพิ่มเติมทำให้การบำรุงรักษาเบิ้ลเป็น2 ระบบ (คล้ายสมัยฮิตติดแก๊สนั่นแหละฮะ) ความกังวลระยะยาวก็จะเริ่มตามมาติด ๆ ทั้งอายุแบตฯ แบตฯ เสื่อมกี่โมง ขับอย่างไรให้ถนอมแบตฯ จะเคลมแบตฯ ได้ไหม และอีกหลายคำถามตามมา ซึงต้องบอกว่าถ้าอยู่ในระยะประกันก็สบายใจได้ครับ แต่หากหมดเมื่อไหร่ ตัวใครมัน....(ความจริงมีอู่รับซ่อมระบบไฮบริดเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ)
ข้อแนะนำ
รถยนต์ไฮบริดเป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็ต้องดูสมรรถนะที่ได้ว่าคุ้มกับราคา ลักษณะการใช้งานหรือการดูแลรักษา ตลอดจนความมั่นใจในแบรนด์ประกอบด้วยครับ เพราะระบบไฮบริดมีทั้งเครื่องยนต์มอเตอร์ไฟฟ้า ชุดเกียร์ระบบเก็บและจ่ายไฟฟ้าที่ซับซ้อน ทำให้การบำรุงรักษาในบางรอบอาจจะแพง และอีกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วยคือ อัตราการสิ้นเปลืองที่ดีและทำได้จริงหรือใกล้เคียงอย่างที่เคลมไว้ใน "Eco stiker" พร้อมกับสมรรถนะหรือ "ความแรงที่ได้" ก็ต้องสอดคล้ายกันพอสมควร ไม่โดดเด่นไปทางใดทางหนึ่งจนเกินไป และสามารถรับได้ด้วยครับ
รถยนต์ไฟฟ้า 100% (BEV)
รถยนต์ไฟฟ้าล้วน 100% นับเป็นทางเลือกที่ช่วยประหยัดค่าใช้งานในการเดินทางได้อย่างมหาศาล! เพราะน้ำมันที่มีขึ้นและมีลง (ส่วนมากจะขึ้นมากกว่า) และในอนาคตก็ยังแพงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไป แม้เราจะใช้รถยนต์ประหยัดพลังงานแค่ไหน แต่ราคาน้ำมันก็ขยับเพิ่มไล่ตามมาเผลอ ๆ อาจจะแซงไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว ดังนั้น รถยนต์ไฟฟ้าอาจเป็นหนทางสุดท้ายสำหรับผู้ที่พร้อมจะเข้าวงการ
EV car เพื่อลดภาระการเดินทางอย่างเต็มระบบ
ผู้ที่พร้อมแล้วสำหรับการปรับตัวในการใช้งาน เข้าใจถึงปัญหาการใช้งานเมื่อต้องวิ่งทางไกล และเตรียมรับเหตุการณ์ที่อาจเกินคาดหมายในเรื่องความ "ERROR" ของระบบไฟฟ้าต่าง ๆ แต่สิ่งที่รถยนต์ไฟฟ้าให้ได้และเหนือกว่ารถยนต์สันดาปและไฮบริดนั้นคือ "แรงแบบไม่ง้อน้ำมันและดูแลง่ายแทบไม่มีค่าใช้จ่ายเลย" นอกจากนี้หากเทียบเคียงกันในราคากับรุ่นรถยนต์ทั่วไปนั้น รถยนต์ไฟฟ้ามักจะให้สมรรถนะการขับขี่ของกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าสูงกว่าทั้งแรงม้าและแรงบิด พร้อมกับติดตั้งเทคโนโลยีเพียบ แค่ภาพจากกล้องมองรอบคัน 360 องศาในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นราคาไม่เกิน 7 แสนบาทก็ชัดแจ๋วเทียบเท่ารถยุโรปแพง ๆ ได้สบาย ๆ และหลายรุ่นยังสามารถจ่ายไฟไปยังเครื่องไฟฟ้าหรือจะตั้งแคมป์ นอนเปิดแอร์ในรถก็ย่อมได้
นอกจากให้ระบบต่าง ๆ มากมายแล้ว สมรรถนะที่ว่าเทียบกันรุ่นต่อราคาต่อราคาแล้วนั้น รถยนต์ไฟฟ้าให้กำลังการขับขี่ที่สนุกเร้าใจและทันใจมากว่า ส่วนเรื่อง "แบตฯ เต็มยัง" นั้น ไม่ต้องวังกวลครับ เพราะส่วนมากจะแถมตู้ชาร์จไว้ติดที่บ้าน จะมีแค่ช่วงแรก ๆ ที่เพิ่งซื้อมายังไม่ติดตั้งตู้ชาร์จก็อาจต้องไปแวะตามบถานีชาร์จไปพลาง ๆ หรืออาจจะใช้ปลั๊กฉุกเฉินเสียบเต้ารับที่บ้านแทนไปก่อน
นี่คือข้อดีขอบรถยนต์ไฟฟ้า ทั้ง ประหยัด แรงทันใจ เทคโนโลยีเพียบ เทียบราคาในระดับเดียวกันนับว่าแล้วคุ้มกว่ามาก แต่ก็มีเรื่องที่ยุ่งยากเพิ่มมาในเรื่องการติดตั้งตู้ชาร์จ การเดินสายไฟฟ้า และการขอมิเตอร์สำหรับชาร์จไฟ ที่จะต้องทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมของค่าเดินสายไฟจากมิเตอร์หรือค่าขอมิเตอร์ไฟลูกใหม่ (ในกรณีขอเปลี่ยนมิเตอร์แบบต่าง ๆ) ถ้าคุณพร้อม ก็จัดเลยสิครับ รออะไร!
ข้อแนะนำ
รถยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนลังเลและกังวลในในเรื่อง กลัวแบตเตอรี่เสื่อม!, หมดประกันซ่อมแพงทำไงดี?, เคลมได้ไหม?, ประกันจ่ายไม่คุ้ม!, ขาดความมั่นใจและไว้ใจในแบรนด์, ราคาตก, ขายต่อไม่ได้, ประกันแพง, ไฟแนนซ์ไม่ชอบปล่อย ฯลฯ ตอบเลยว่า มีส่วนจริงบ้างแต่ไม่ทั้งหมด เช่น อายุแบตฯ ส่วนมายาวนานและเสื่อมยากมากพร้อมการรับประกันจากผู้ผลิต (ไม่นับเกิดอุบัติเหตุ), หมดประกันแบตฯ ไปแล้ว อาจซ่อมแพงแต่ในอนาคตก็จะมีราคาที่ต่ำลงดูจากราคารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่แอบปรับลงตามต้นทุนแบตฯ ที่ลดลงและมีอู่ในไทยที่รับจบมากขึ้น,
ก่อนเลือกซื้อให้ใจเย็น ๆ ดูประวัติการขายหรือมีโรงงานในไทยก่อนจะตัดสินใจหรืออาจจะต้องศึกษาจากในกลุ่มคาร์คลับและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแบรนด์นั้นให้เข้าใจและรับรู้ถึงการใช้งานข้อดีและปัญหาก่อนซื้อ, เรื่องราคาขายต่อร่วงคนซื้อยากแน่นอนครับ คนซื้อมือสองย่อมกังวลมากกว่าขนาดเราซื้อป้ายแดงยังคิดแล้วคิดอีกข้อนี่ต้องทำให้เน้น "ใช้งานให้คุ้มค่า" และ "ประหยัดค่าน้ำมัน" ต้นทุนชีวิตในการเดินทางที่แพงขึ้นทุกวัน จะได้สบายใจครับ, เรื่องประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าต้องแพงกว่า เนื่องจากหลายแบรนด์เพิ่มมาทำตลาดในไทยไม่นานและอะไหล่บางอย่างนำเข้าราคาแบตฯ สูง ทำให้ค่าความเสี่ยงย่อมสูงตามมา โดยปกติในรถระดับเดียวราคาใกล้เคียงกันรถยนต์ไฟฟ้าจะบวกไปอีกราว ๆ 8,000 - 10,000 บาท ขึ้นกับรุ่นประเภทและแบรนด์นั้น ๆ แต่ถ้าต่อปีถัดไปก็ยังคงแพงกว่ารถน้ำมันหรือไฮบริดอยู่ครับ
รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)
เพิ่มเติมอีกกลุ่มสำหรับผู้ที่มีงบประมาณมากขึ้น รถยนต์แบบเสียบปลั๊กได้ก็น่าสนใจ เพราะได้รถยนต์ใช้งานแบบ 3 in 1 ทั้งรถยนต์สันดาป (โหมดชาร์จไฟ), รถไฮบริด และไฟฟ้าล้วน ในคันเดียว ได้ทั้งฟิวลิ่งสันดาปขับมัน ๆ ตึง ๆ เสียงเร้าใจ ได้ทั้งประหยัดแบบไฮบริด และประหยัดได้อีกกับโหมด EV ล้วน ผมมองว่าคุณสมบัติขนาดนี้อาจจะเป็นเทรนด์แห่งอนาคตที่แซงรถยนต์ไฮบริดได้เลยครับ ซึ่งต้องแลกกับราคาค่าตัวจะสูงขึ้นตามเทคโนโลยีนั่นเอง
สรุปเลือกแบบที่ใช่ ใช้งานแบบตรงจุด
บทความนี้เพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจซื้อ อาจจะต้องประเมินเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องส่วนตัว ความชอบ ครอบครัว คนตัดสินใจหรือคนจ่ายเงิน ประกอบกันไปอีกด้วย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ได้บางไม่มากก็น้อยนะครับ ทิ้งท้าย
รถยนต์สันดาป - มั่นใจสบายใจกว่า
รถยนต์ไฮบริด - คุ้มค่าประหยัดแต่ก็ยังกังวล
รถยนต์ไฟฟ้า - ขับสนุกประหยัดไม่ง้อน้ำมันแต่กังวลมากขึ้น
รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด - ขับสนุกประหยัดแรงมัน่ใจแต่แพง!
หมายเหตุ
บทความนี้ก็คือความเห็นส่วนตัวและจากประสบการณ์ที่ได้ทดสอบมาในรถยนต์หลายประเภทและหลายรุ่น มุ่งหวังเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่...ไม่มีเจตนาอื่น ๆ นะครับ