สำหรับคนที่ใช้รถน้อยๆ ไม่ค่อยได้ขับ อาจจะมองว่าการซื้อประกันรถยนต์อาจไม่จำเป็น หรือไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไหร่ แค่ใช้รถอย่างระมัดระวังก็น่าจะเพียงพอ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดคิด การมีประกันภัยรถยนต์ไว้ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่าอย่างแน่นอนค่ะ ซึ่งปัจจุบันบริษัทประกันภัยได้ออกรูปแบบประกันรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานรถมากขึ้น โดยจะแยกประเภทประกันรถตามรูปแบบการใช้งานเพื่อรองรับผู้ที่ใช้งานรถน้อยๆ แต่อยากมีความคุ้มครองไว้ให้อุ่นใจ ซึ่งคนใช้รถน้อยๆ อาจลดระดับความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 มาเป็นประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือ 3+ แทน เพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่ก็ยังคงได้รับความคุ้มครองตามรูปแบบที่เลือก
ตารางความคุ้มครองสำหรับประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+
ความคุ้มครอง | เงื่อนไขการได้ส่วนลดประวัติดี | อัตราค่าเบี้ยประกันภัยลดลง |
ประกันภัยรถยนต์ 2+ | ประกันภัยรถยนต์ 3+ |
คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันที่ทำประกันภัย |
ความเสียหายต่อตัวรถยนต์ | ✔️ (เมื่อเกิดเหตุชนแบบมีคู่กรณี) | ✔️ (เมื่อเกิดเหตุชนแบบมีคู่กรณี) |
รถยนต์สูญหาย หรือไฟไหม้ | ✔️ | ❌ |
คุ้มครองบุคคลภายนอก |
รับผิดชอบต่อการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตของบุคคลภายนอกที่อยู่ในรถ และอยู่นอกรถที่ทำประกันภัย | ✔️ | ✔️ |
รับผิดชอบต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก | ✔️ | ✔️ |
คุ้มครองผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร |
กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร | ✔️ | ✔️ |
ค่ารักษาพยาบาล | ✔️ | ✔️ |
การประกันตัวผู้ขับขี่ (ในกรณีเกิดคดีอาญา) | ✔️ | ✔️ |
ซึ่งนอกจากจะเลือกประเภทประกันภัยแล้ว เรายังสามารถเลือกรูปแบบประกันภัยที่เหมาะสมกับการใช้งานเพิ่มเติมได้อีก จะมีประกันรถยนต์แบบไหนน่าสนใจบ้าง ตามไปดูกันค่ะ
1. ประกันรถยนต์แบบระยะสั้น (Short-Term Insurance) : เหมาะสำหรับคนที่ขับรถไม่บ่อย ต้องการความยืดหยุ่นในการจ่ายเบี้ยประกัน และไม่ต้องการผูกมัดกับประกันระยะยาว มีระยะเวลาคุ้มครองสั้น สามารถเลือกจ่ายเบี้ยประกันเป็นรายวัน รายเดือนหรือเลือกช่วงเวลาที่ต้องการได้
ตัวอย่าง ประกันรถยนต์ระยะสั้น จาก วิริยะประกันภัย
2. ประกันรถยนต์ตามระยะทาง (Usage-Based Insurance) : เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถในระยะทางใกล้ๆ ขับรถน้อย และต้องการจ่ายเบี้ยตามการใช้งานจริง บริษัทฯ จะคิดค่าเบี้ยประกันลดลงตามระยะทางที่ใช้ ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ในการใช้งานอาจต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันที่ติดตามระยะทางการขับขี่ของเราด้วย
ตัวอย่าง ประกันรถยนต์ตามไมล์ จาก ทิพย์อินชัวร์ 3. ประกันเฉพาะเวลาขับขี่ (On-Demand Insurance) : เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถเป็นครั้งคราว และต้องการความคุ้มครองเฉพาะเวลาใช้งานรถเท่านั้น จ่ายเบี้ยประกันเฉพาะช่วงที่ใช้งานจริง ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งรูปแบบประกันนี้จะสามารถเปิด หรือปิดการคุ้มครองได้ตามต้องการ โดยอาจต้องใช้แอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์เสริมในการเปิดการคุ้มครองเมื่อขับรถ และปิดการคุ้มครองเมื่อจอดรถ
ตัวอย่าง ประกันรถยนต์เปิดปอก จาก ไทยวิวัฒน์
นอกจากปัจจัยเรื่องรูปแบบการใช้งานรถยนต์ แล้ว การจะตัดสินใจเลือกประกันรถยนต์แบบใดอาจจะต้องพิจารณาจากปัจจัยเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย ดังนี้
- ควรอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไข และข้อยกเว้นของกรมธรรม์ให้ละเอียดรอบคอบ ในเรื่องของความคุ้มครองที่จะได้รับ ว่าคุ้มครองอะไรบ้าง และตรงตามที่ต้องการแล้วหรือไม่
- ควรเปรียบเทียบราคาเบี้ยประกัน รวมถึงข้อเสนอ และส่วนลดพิเศษ จากหลายๆ บริษัทประกัน ก่อนตัดสินใจ
- การบริการหลังการขาย และการเคลมประกัน ควรตรวจสอบว่าบริษัทประกันนั้นๆ มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่น การลากรถ, บริการเปลี่ยนยาง หรือการเติมน้ำมัน ในกรณีที่รถเสียบนถนน หรือไม่ รวมถึงอาจเปรียบเทียบการให้บริการจากหลายๆ บริษัทประกัน ว่าหากมีการเคลมจะมีทีม Support มาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว
- ควรพิจารณาความคุ้มครองเสริมที่อาจมีประโยชน์หากเกิดเหตุฉุกเฉินประกอบด้วย เช่น ค่ารักษาพยาบาล, ความเสียหายต่อทรัพย์สินภายในรถ, หรือความคุ้มครองในกรณีรถหาย เป็นต้น
- ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ เช่น หากต้องการเปลี่ยนจากแบบรายวันเป็นรายเดือน ก็สามารถดำเนินการได้ ไม่ยุ่งยาก และยังได้รับความคุ้มครองต่อเนื่อง เหมาะสมกับการใช้งาน (*ในการปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ อาจจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ควรสอบถามกับบริษัทประกันอีกครั้งก่อนตัดสินใจ)
สรุปแล้ว สำหรับคนมีรถไม่ว่าจะใช้งานมาก หรือน้อย ก็ควรต้องมีการซื้อประกันภัยรถยนต์ไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงมีไว้เผื่อเป็นตัวช่วยหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ช่วยคุ้มครองตนเอง, คุ้มครองทรัพย์สิน, คุ้มครองบุคคลที่สาม ช่วยให้อุ่นใจได้มากขึ้น และควรจะเลือกประกันรถยนต์ให้เหมาะสม และคุ้มค่ากับการใช้งานมากที่สุดด้วยนะคะ