สำหรับปี 2567 นี้ได้มีการประกาศจาก กรมอุตุนิยมวิทยา ว่าได้เข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีสถานการณ์ฝนตกหนักในแต่ละวันในแต่ละพื้นที่ จนทำให้เกิด น้ำท่วมขัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ ที่มีปัญหาระบบระบายน้ำไม่ดี หรือมีแนวโน้มเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง ซ้ำ ๆ และนี่คือปัจจัยที่สามารถทำให้น้ำท่วมเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน
- ฝนตกหนักต่อเนื่อง : เมื่อมีฝนตกหนักเป็นระยะเวลานาน ๆ ทำให้ปริมาณน้ำฝนสะสมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ระบบระบายน้ำไม่สามารถระบายได้ทัน
- น้ำท่วมขัง : เมื่อน้ำฝนมีปริมาณมากไม่สามารถระบายได้ทัน อาจมาจากการที่ท่อระบายน้ำอุดตัน หรือระบบระบายน้ำไม่เพียงพอกับปริมาณน้ำฝน
- ระดับน้ำในแม่น้ำขึ้นสูงกว่าปกติ : เมื่อฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำ ทำให้น้ำในแม่น้ำมีปริมาณเพิ่มขึ้นและไหลลงมายังพื้นที่ที่ต่ำกว่าและมาเจอกับน้ำฝนในเขตเมืองก็จะทำให้น้ำฝนที่่อยู่ในเขตเมืองไม่สามาารถระบายออกไปได้
- การก่อสร้างกีดขวางทางน้ำ : การก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นอาคาร, ถนน ฯลฯ ที่ไม่ได้คำนึงถึงทางน้ำ ส่งผลต่อการระบายก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง
เพื่อเตรียมความพร้อมและป้องกันเหตุน้ำฝนท่วมขังในฤดูฝน ก็ควรตรวจดูความสะอาดท่อระบายน้ำรอบ ๆ บ้านและพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำฝนจะสามารถระบายได้ดี และติดตามการพยากรณ์อากาศ หรือข่าวสารพยากรณ์อากาศ และมีการเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิที่จำเป็น (อาหารแห้ง, ยา, อุปกรณ์ไฟสำรอง) แต่ถ้าน้ำเริ่มมีปริมาณมากขึ้นอาจจะต้องย้ายของสำคัญขึ้นที่สูง และวางแผนเส้นทางหลบหนีกันต่อไป
แล้วเมื่อจำเป็นต้องหลบหนีออกจากพื้นที่ ก็ต้องมีการขับฝ่าฝน ไปจนถึงลุยน้ำออกมาจนเกิดความเสียหายต่อรถยนต์คันนั้น ๆ ก็จะเกิดคำถามว่า ขับรถยนต์ลุยน้ำท่วมแล้วพัง...ประกันรับเคลมไหม? จากคำถามนี้ คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์ และการพิจารณาของบริษัทประกันภัย แต่โดยทั่่วไปก็จะมีหลักในการพิจารณาว่า
- กรณีที่ขับลุยน้ำท่วมโดยไม่ตั้งใจ : นั่นก็หมายถึงคุณได้พยายามหลีกเลี่ยงแล้วแต่ไม่สามารถเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นได้ อาทิ
- น้ำท่วมรถจากภัยธรรมชาติ : กรณีที่จอดรถทิ้งไว้แล้วเกิดน้ำท่วมทำให้ไม่สามารถย้ายหนีออกมาได้ จนทำให้รถได้รับความเสียหาย (บางส่วน) ในกรณีแบบนี้ประกันจะรับเคลมให้ แต่ถ้าได้ับความเสียหายเยอะจนเกินทุนประกัน หรือประเมินแล้วว่าไม่คุ้มที่จะซ่อม บริษัทประกันก็จะทำการจ่ายเงินชดเชยแทน
- ขับรถอยู่แล้วฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วม : ก่อนออกจากบ้านก็แห้งดี แต่พอสตาร์ตรถออกไปฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมในระดับที่ส่งผลตัวรถมีความเสียหาย บริษัทประกันก็จะรับเคลมให้ โดยถือว่าเป็นการเกิดอุบัติเหตุ
- กรณีที่ตั้งใจขับลุยน้ำ : ในกรณีที่คุณเจตนาขับรถลุยน้ำที่ท่วมขัง หรือตั้งใจผ่านไปยังเส้นทางที่มีการแจ้งเตือนว่ามีความเสี่ยงกับน้ำท่วม บริษัทประกันภัยจะถือว่าคุณมีความตั้งใจ ทั้งที่รู้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายกับรถยนต์, เครื่องยนต์, ระบบไฟ ก็จะไม่ให้ความคุ้มครอง และนับว่าเป็นการขับขี่ที่มีความเสี่ยง และประมาทเองจนทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย
แต่การให้ความคุ้มครองของบริษัทประกันภัย ก็ขึ้นอยู่กับชั้นประกันภัยที่คุณเลือกทำว่าครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมหรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไป ประกันภัยชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองครอบคลุมที่สุด ส่วนประกันภัยชั้น 2+, 3+ ก็ให้ความคุ้มครองเหตุน้ำท่วม แต่ก็ควรตรวจสอบเงื่อนไขที่มีอยู่ในกรมธรรม์ แต่ประกันภัยชั้น 2, 3 จะไม่ให้ความคุ้มครองในเหตุการณ์แบบนี้
ที่สำคัญที่สุด เมื่อเกิดเหตุก็คือ ติดต่อบริษัทประกันภัยทันทีที่เกิดเหตุการณ์และทำการแจ้งเคลม ดังนั้นควรมีเอกสารสำรอง (ตัวถ่่ายเอกสาร) เอกสารที่แสดงว่าเจ้าของรถ (เล่มทะเบียน), กรมธรรม์ ไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน ออ อย่าลืมว่าต้องมีใบขับขี่ด้วยล่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะมีภาพในที่เกิดเหตุ (ที่คุณถ่ายไว้เองเพื่อให้เห็นว่าความสูงของน้ำนั้นอยู่ระดับไหน) เพื่อเป็นหลักฐานแต่ถ้าไม่สามารถทำได้ก็ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประกันมาถ่ายภาพหลักฐานเก็บไว้ให้ พร้อมบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ ไปจนถึงช่วงเวลาเกิดเหตุ หรืออาจจะทำการลงบันทึกประจำวันเอาไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานก็ได้เช่นกัน หรือติดต่อสอบถามกับบริษัทประกันเพื่อขอคำปรึกษาและข้อมูลเพิ่มเติมก็ได้เหมือนกัน จากนั้นเมื่อบริษัทประกันดำเนินการตามขั้นตอนประเมินความเสียหายจนถึงอนุมัติการซ่อมก็ถึงเวลาที่คุณจะส่งรถเข้าซ่อม
อย่างไรก็ดีควรศึกษาเงื่อนไขของกรมธรรม์เพื่อดูข้อจำกัดของสถานการณ์น้ำท่วม เพราะการปฏิบัติตามเงื่อนไขจะช่วยให้รถของคุณสามารถเคลมประกันได้นั่นเอง แต่ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงไว้เป็นดีที่สุด