ORA 07 Performance ซีดานไฟฟ้าตัวแรงพลัง 408 แรงม้า กับแรงดึงตึง ๆ ที่ 680 นิวตันเมตร ขนาดแบตฯ 83.499 kWh เท่ากับรุ่น Long Range พร้อมระบบ 4WD แต่ระยะวิ่งน้อยกว่าเล็กน้อย 550 กม.ต่อชาร์จ NEDC ซึ่งวิ่งจริง 450 กม. ก็นับว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้วสำหรับรถแรงขับเคลื่อน 4 ล้อครับ
ORA 07 Performance นับเป็นรุ่นที่อยุ่ในกลุ่มรถซีดานใหญ่ที่เน้นสมรรถนะการใช้งานในสไตล์ "เรสซิ่ง" ใช้ได้ทั้งในชีวิตประวันและวันไหนเกิดต้องการความมันสนุกและการตอบสนองความแรงก็รวมอยู่ในคันเดียวกับราคาค่าตัว 1,499,000 บาท ถือว่ากลาง ๆ ไม่สูงเกินไปสำหรับพลัง 400 กว่าแรงม้า
ORA 07 มิติตัวรถ 1,862 x 4,871 x 1,500 มิลลิเมตร (กว้าง x ยาว x สูง) ระยะฐานล้อ 2,870 มิลลิเมตร ระยะความสูงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 125 มิลลิเมตร น้ำหนักรถ 2,115 กิโลกรัม แต่ระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้าเป็น 1,577 มม ด้านหลัง 1,597 มม. (แคบกว่ารุ่น Long Range คู่หน้า 1,583/1,603 มม.) ระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สัน และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงก์ เป็นซีดานไฟฟ้าที่มีความสปอร์ต ทั้งภายนอกภายในให้ความรู้สึกแบบรถสปอร์ตพรีเมี่ยมและแน่นอนมีหลังคากระจกยาวแบ่ง 2 ตอน จรดฝาท้าย อาจจะร้อน ๆ หัวหน่อยเวลาแดดจัด แต่มีช่องแอร์ตอนหลัง และรุ่นนี้มี "สปอยเลอร์กระดก" สั่งเปิด-ปิดได้ด้วยปลายนิ้วและจะเปิดขึ้นเมื่อความเร็วสูง ๆ พร้อมล้ออัลลอยลายพรีเมี่ยม 19 นิ้ว
ระบบความสะดวกสบายครบกว่า!
รุ่นท็อปสุดก็ให้ฟังด์ชั่นความสะดวกสบายมากแบบเต็ม ๆ หน้าจอกลางอัจฉริยะแบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ซึ่งรองรับความบันเทิงได้ทั้ง Apple CarPlay, Android Auto, MP5, Bluetooth, ระบบนำทาง, และแสดงข้อมูลการขับขี่ โดยหน้าจอกลางอัจฉริยะนี้สามารถเชื่อมต่อกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว รองรับคำสั่งเสียง "สวัสดีโอร่า" กล่องเก็บของ กล่องใสแว่นตา กระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ ที่ชาร์จโทรศัพท์ไร้
เพิ่ม...มารตวัด Head-up สะท้อนกระจกหน้า เบาะคนขับมระบบ Welcome seat พร้อมดันหลังไฟฟ้า ระบบนวด เป่าลม และเบาะข้างคนขับปรับไฟฟ้า ลำโพงจาก Infinity 11 ตำแหน่ง พร้อม Amplifier ในส่วนการแจ้งเตือนบนแอปฯ GWM ก็มีเพิ่มสถานะระบบเบาะนวด เปิด-ปิดระบบระบายอากาศ กระจกมองข้างปรับอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง
พวงมาลัยปรับแบบไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงและสวิตช์ควบคุมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter ชุดเกียร์ไฟฟ้าด้านหลังพวงมาลัย และระบบ Intelligent Quick Start System ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้พร้อมออกเดินทางได้ทันทีเมื่อขึ้นมานั่งที่เบาะคนขับและเหยียบเบรก
โหมดการขับขี่ทั้ง 6 โหมดเป็นไปอย่างง่ายดาย ได้แก่ โหมดประหยัด โหมด WELL BEING, โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต, โหมดส่วนบุคคล เพิ่มโหมดสปอร์ต+ (Sport+) ที่กดปุ่ม "แดง" ตรงพวงมาลัยได้ทันที พร้อมเเลือกเปิดสียงสังเคราะห์จำลองเสียงเครื่องยนต์ หลังคาแก้วแบบพาโรนามิคขนาดใหญ่ (Panoramic Glass Roof) ตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้าย ที่เป็นวัสดุช่วยเก็บเสียง โดยตัวหลังคาที่เป็นกระจกยังช่วยลดแสงและความร้อน ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อม PM2.5 filter
ระบบช่วยเหลือและความปลอดภัยเด่นๆ
- อันคือ สุดจริงด้วย โครงสร้างของ ORA 07 รับน้ำหนักได้ถึง 9.5 ตัน
- กล้อง 360 องศา ชัดแจ๋ว
- ระบบควบคุมความเร็วแปรผันความเร็วต่ำและสูง พร้อมช่วยเข้าโค้ง
- ระบบช่วยเตือนออกนอกเลนพร้อมดึงกลับ
- ระบบเตือนก่อนการชนด้านหน้าและเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ
- ระบบเตือนมุมอับสายตา
- ระบบเตือนขณะถอยหลังพร้อมเบรกอัตโนมัติ
- ระบบแจ้งเตือนเมื่อเปิดประตู
- ระบบเตือนลมยาง
- ระบบ S.O.S ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน เป็นต้น
เพิ่ม...
- ระบบช่วยจอด 3 รูปแบบ ขนาด, เข้าซอง และ เช้าซองแบบเฉียง
- ระบบจดจำและถอยหลังอัตโนมัติ ระบบนี้ดีมาก ๆ ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ในขณะที่ขับรถต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะบันทึกเส้นทางและสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 เมตรโดยอัตโนมัติ และหากเลือกเกียร์ถอย รถจะสามารถถอยหลังกลับได้เองโดยใช้ข้อมูลสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ ถ้าระบบตรวจพบสิ่งกีดขวาง คนเดินถนน หรือรถยนต์ ระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงานและรถจะหยุดในทันที
- เซ็นเซอร์กะระยะ 6 จุด
แรงเกินต้าน ช่วงล่างพอตัวไม่ย้วย
สมรรถนะอัตราเร่งของรุ่น Performance นับว่าสะใจมากไม่ว่าจะใช้โหมดไหนก็แรงได้ แค่แตกต่างต่างที่การเซ็ตความไว้ของคันเร่งเท่านั้น จากตอนสนองช้า (หน่วง ๆ) ไปจนถึงถึงเขี่ยปุ๊บพุ่งปั๊บ! โดยเฉพาะในโหมดสปอร์ต+ รู้สึกได้ว่าใช้น้ำหนักกดคันเร่งน้อย ๆ รถก็จะพุ่งแล้ว และในโหมดนี้ก้มีความสนุกใช้ได้ใช้งานคือ "launch control" (ซึ่งผมเคยทำในการจัดทดสอบในสนามพีระแล้ว) ออกตัวแบบรถเกียร์กระปุก เหมือนการเร่งเครื่องและเหยียบคลัตช์ก่อนออกตัว เมื่อต้องการอัตราเร่งจัดจ้านแบบรถสปอร์ตแท้ ๆ พร้อมด้วยเสียงสังเคราะห์ที่ได้อารมณ์แม้จะฟังแล้วแห้ง ๆ แต่ก้ช่วยเพิ่มความมันได้ระดับหนึ่งเลยครับ และเมื่อลองวัดอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. วัดด้วยแอปฯ ทำเวลาได้ประมาณ 4 วินาที!! นับว่าตรงกับที่เคลมเอาไว้มาก ๆ เลยครับ
การกดคันเร่งแรง ๆ แทยไม่มีอาการล้อฟรีเพราะเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงกระโดดออกตัวได้อย่างเนียน ๆ ควบคุมได้ง่ายมาก ๆ นอกจากนี้ยังมาพร้อม 6 โหมดให้เลือก คือ โหมดประหยัด►คันเร่งจะหน่วงช่วงแรก ๆ แต่ถ้าเพิ่มน้ำหนักเท้าไปอีกก็จะเร่งได้ทันใจ
โหมด WELL BEING►สามารถตั้งค่ากำหนดการใช้งานฟังก์ชั่นสะดวกสบายต่าง ๆ ได้ เช่น เปิด-ปิดปัดน้ำฝน ไล่ฟ้า ฯลฯ และยังเป็นโหมดสำหรับผู้เริ่มต้นขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าครั้งแรก โดยที่คันเร่งจะไม่มีการหน่วง เรียกว่าเหมือนขับรถสันดาปเป๊ะเลย
โหมดปกติ►คันเร่งจะตึงขึ้นเล็กน้อย จะตอบสนองเร็วขึ้น แต่ก็ยังมีความหน่วงอยู่บ้างและระบบรีเจนฯ KERS ก็จะเป็นค่าจากโรงงานคือ หน่วงมากนั่นเอง อันนี้แนะนำว่าต้องฝึกน้ำหนักเท้าในการเหยียบหรือผ่อนไม่นุ่มนวล ไม่เช่นนั้นผู้โดยสารอาจจะเมารถแน่นอน
โหมดสปอร์ต►สปอร์ตเพิ่มการตอบสนองคันเร่งให้ "ตึง" และรวดดเร็ว แตะพุ่ง ๆ ทันใจมาก เหมาะกับคนที่ขับจนชินและชินและชำนาญแล้ว เพราะมันเร่งไว้มาก ๆ
โหมดส่วนบุคคล►โหมดนี้ดีสุดในเรื่องการตั้งค่าได้เองตามต้องการ ทั้ง น้ำหนักพวงมาลัย ความหน่วงคันเร่ง จำกัดความเร็วสูงสุดที่ 150 กม./ชม. นับเป็นโหมดที่เลือกให้ตรงกับความชอบผู้ขับได้เองเลยครับ
โหมดสปอร์ต+►ถือว่าเอาไว้ "ซ่า" ขับดุเดือดแบบซูเปอร์คาร์ก้ว่าได้ครับ แต่ควรใช้ความระวังให้มาก ๆ ที่สุด
ระดับแบตฯ ในการการใช้งานจริง
ยังคงต้องเน้นเหมือนทุกครั้งว่า "ขึ้นกับสภาพการจราจรและการใช้น้ำหนักคันเร่ง" ซึ่งจากที่ได้ทดลองขับมากว่า 5 วันนั้น เมื่อชาร์จไฟเต็มที่ 100% ระยะทางบนมาตรวัด 550 กม. (รูปถ่ายเป็นตอนรับรถจอดนานหายไป 1 % เหลือ 546 กม.) ขับไป 230 กม. ระดับแบตฯ คงเหลือ 37% และระยะทางคงเหลือ 203 กม. เท่ากับระยะเคลมไว้ 550 กม. ใช้ไป 230 กม. แสดงว่าจะต้องเหลือ 320 กม.
แต่เมื่อนำมาคำนวนแบบง่าย ๆ
320 กม. นำมาหักที่เหลือ 203 กม. ดังนั้น ระยะทางจริงหายไป 117 กม.* กลายเป็นเหลือระยะทางที่วิ่งได้จริง ๆ ถือว่ารับได้และใช้งานวันละ 80 กม.ต่อวันได้อย่างสบาย ๆ แถมแรงอีกต่างหาก เท่ากับได้ระยะทางวิ่งได้จริง ๆ คือ 433 กม. (จากการหักระยะทางที่หายไปในการทดสอบครั้งนี้ 117 กม.)
(
*เป็นการประมาณ แต่จากสภาพการขับขี่ การจราจรและปัจจัยอื่น ๆ เช่น รถติด ใช้คันเร่งมาก-น้อย แตกต่างกันไป) เวลาในการชาร์จจาก 37% ระยะทางคงเหลือ 203 กม. ถึงประมาณ 80% เพียง 35 นาที ระยะทางได้มาเป็น 447 กม.
สรุปคือ 550 กม.
วิ่งจริง ๆ 433 กม. สำหรับกำลัง 408 แรงม้า พลัง 2 มอเตอร์ น้ำหนักตัวใกล้ 3 ตันนับว่าลงตัวเลยครับ
ฟังก์ชั่นเพียบ ความปลอดภัยเยอะแต่ก็ต้องปิดบางตัว!
ฟังก์ชั่นใช้งานนั้นยังคงเน้นว่าแม้จะเยอะแต่สิ่งที่น่าจะตรงกับการใช้งานในทุก ๆ วันมากที่สุดคือ การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย ที่ใช้ง่ายมาก แต่ข้อเสียคือ หากเราใช้งาน Google Map อยู่แล้วจำเป็นต้องเปิดสมาร์ทโฟนที่กำลังเล่นเพลงหรือคลิปต่าง ๆ เสียงจะเปิดผ่านระบบในรถ แต่เมื่อปิด ระบบจะค้างเสียงจากมัลติมิเดียที่เพิ่งเปิดไป จะต้องกดกลับไปฟังเพลงจากวิทยุเองและถ้าหากสั่งด้วยคำสั่งเสียงให้เปิด "วิทยุ" หน้าจอจะค้างไว้ที่ "วิทยุ" จะไปกลับไปหน้าเชื่อมต่อมือถือ ต้องกดเอง ตรงนี้อาจทำให้ยุ่งยากพอสมควรครับ
และด้วยระบบต่าง ๆ เหมือนกันกับในรุ่น Long Range ที่ยังมีการใช้งานยากเหมือนกันนั่นคือ การปรับช่องแอร์ ต้องเข้าหน้าจอเท่านั้นและมีเมนูให้เลือกไม่กี่แบบ เช่น ปัดซ้าย-ขวา, ขึ้น-ลง (แบบสวิง), แบบเป่าตรง ๆ (แต่มันไม่ตรงตำแหน่งคนนั่งนะ) แบบไร้ความรู้สึก (ใครตั้งชื่อก่อน) คือการกระจายลมไม่ให้โดนตัวประมาณนัน้ครับ แต่เท่าที่ใช้งานมา ผมว่าปรับแบบ สวิง ซ้าย-ขวา ดีที่สุดเพราะมันกระจายลมได้ทั่วและเย็นเร็วดีครับ ที่วางแก้วน้ำเล็ก ตื้น และมีช่องเดียว
ยังมีช่องใส่โทรศัพท์พร้อมชาร์จอันดีล็อคแน่นไม่ตกง่าย ๆ แต่ถ้าใช้เครื่องใหญ่ ๆ จะชาร์จไม่ได้หรือบางทีก็เสียบไม่ได้เลยครับ อาจจะต้องปรับปรุงให้กว้างขึ้นนะ หรือไปใช้ตำแหน่งอื่น ส่วนช่องวางของใต้คอนโซลกลาง ถือว่าดี มีกันลื่น วางได้ไม่ต้องกลัวของตก และมีช่องเสียบ USB 2 ฝั่งด้วย
ความปลอดภัยที่มาแบบจัดเต็มแต่ก็ยังใช้งานจริงในถนนเมืองไทยได้ไม่ครบ เพราะการจราจรไม่เหมาะสม เช่น ระบบเตือนและเบรกที่ความเร็วต่ำ จะทำงานตลอดที่มีรถมีเบียด แทรกหรือขับโฉบ ๆ มาใกล้ ๆ โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับมีเข้าด้านหน้า รถตจะเบรกแบบสุดตัวทันที ทำให้กลังว่าคันด้านหลังจะจูบก้นเอาได้ จึงต้องปิดระบบนี้ เหลือแค่เตื่อนชนด้านหน้าความเร็วปกติครับ
มาถึงระบบเตือนและดึงกลับเมื่อออกนอกเลนก็เช่นกัน "แค่ขับเบี่ยงหลบหลุม ฝาท่อ เลนจรจราเบี่ยง" ก็จะต้องสู้กับแรงดึงกลับพอสมควร จึงต้องปิดไปก่อนครับ เอาไว้ขับทางไกลยาว ๆ รถน้อย ๆ หรือบนทางด่วนค่อยใช้อีกครั้งครับ ส่วนระบบควบคุมความเร็วแปรผันก็ควรใช้ในถนนโล่ง บนทางด่วน เพราะ การเว้นระยะด้านหน้าจะเยอะมากแม้จะตั้งค่าใกล้สุด จนกลายเป็นช่องวางให้รถเข้ามาแทรกตลอดเวลา ปิดไปอีกระบบ!
สรุปความคุ้มค่า
ORA 07 Performance มาพร้อมความแรงเกาะถนนช่วงล่างแน่นหนึบ และได้ระยะวิ่งที่เหมาะสมไม่น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพลังจาก 2 มอเตอร์ไฟฟ้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้ทั้งความพรีเมี่ยมหรูหราและพร้อมสนุกกับการขับขี่แบบ "ซูเปอร์คาร์" ได้ตลอดเวลตราบใดที่ไฟในแบตฯ ยังเหลือไม่น้อยกว่า 40% ก็ซิ่งไปเลยไม่ต้องกลัวครับ
ใครสนใจต้องไปทดลองขับ นั่ง ใช้งานดูฟังก์ชั่นต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจและตอนนี้มีแคมเปญดี ๆ อีกด้วยครับ