ในการใช้รถยนต์บนท้องถนนหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดก็คือ อุบัติเหตุ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะต้องมีคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นกับรถยนต์, รถจักรยานยนต์ ฯลฯ เพื่อที่จะตัดสินว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูก และฝ่ายผิด เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการชดใช้ความเสียหาย หรือไกล่เกลี่ย แต่ในบางครั้งก็จะมีคำว่า ประมาทร่วม แล้วคำนี้มีความหมายว่าอย่างไร? ประกันรถยนต์ที่คุณทำเอาไว้จะจ่ายไหม? แล้วใครจะเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ?
คำว่า ประมาทร่วม เป็นคำที่ใช้ในบริบทของกฎหมาย และประกันภัยเพื่ออธิบายสถานการณ์ที่คู่กรณีทั้งสอง หรือมากกว่าสองฝ่ายเป็นผู้มีส่วนร่วม หรือมีความผิดในการเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ณ จุดนี้ ความประมาทจนก่อให้เกิดไม่ได้ถูกกำหนดไว้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการแบ่งความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้น คำ ๆ นี้ จึงมีความสำคัญในขั้นตอนตัดสินค่าชดเชย โดยสัดส่วนของความผิด หรือความรับผิดชอบจะถูกกำหนดโดยพิจารณาจากส่วนร่วมของแต่ละฝ่ายในการเกิดเหตุ เช่น ถ้ามีการตัดสินว่าฝ่ายหนึ่งมีความรับผิดชอบ 70% ในการเกิดเหตุการณ์และอีกฝ่ายหนึ่ง 30%, หรือในบางกรณีจะแบ่งเป็นสัดส่วนที่มากหรือน้อยกว่านี้ ในการจ่ายเงินชดเชยหรือค่าเสียหายที่เกี่ยวข้อง โดยหลักการนี้จะช่วยให้สามารถจัดการกับอุบัติเหตุที่ไม่สามารถตัดสินว่าใครถูกหรือผิดได้อย่างชัดเจน เพื่อช่วยให้สามารถแบ่งปันความรับผิดชอบและค่าชดเชยในแบบที่ยุติธรรมมากขึ้น
เมื่อมีการตัดสินว่าเป็นเหตุการณ์ ประมาทร่วม แล้วประกันภัยของรถยนต์ที่คุณทำไว้จะจ่ายให้หรือไม่นั้น ก็ขั้นอยู่กับชั้นของกรมธรรม์ประกันภัยของรถยนต์ที่คุณทำอยู่นั่นเอง ซึ่งแต่ละประเภทประกันก็มีข้อกำหนดเฉพาะของกรมธรรม์ประกันภัยนั้น ๆ ดังนี้
- ประกันภัยชั้น 1 : กรมธรรม์ประกันภัยชั้นนี้จะให้ความครอบคลุมมากที่สุด และสามารถให้ความคุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายผิด หรือถูกในเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
- ประกันภัยชั้น 2+ หรือ 3+ : กรมธรรม์ประกันภัยนี้อาจครอบคลุมความเสียหายของรถยนต์ของคุณ และคู่กรณีในกรณีที่คุณเป็นฝ่ายผิด แต่มีข้อกำหนด และเงื่อนไขเฉพาะตามแต่ละกรมธรรม์ ดังนั้นควรศึกษาให้ละเอียด
- ประกันภัยชั้น 3 : ประกันถัยในชั้นนี้จะให้ความคุ้มครองเฉพาะความเสียหายของฝ่ายที่สามเท่านั้น หากคุณเป็นฝ่ายที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
ดังนั้น กรณีที่เป็นการประมาทร่วม บริษัทประกันภัยอาจประเมินสัดส่วนความรับผิดในการจ่ายเงินชดเชยตามส่วนของความผิดของแต่ละฝ่าย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของกรมธรรม์ประกัน และขึ้นอยู่กับการตรวจสอบ และการประเมินของบริษัทประกันภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาทำการสอบสวนในที่เกิดเหตุ (หรือที่สถานีตำรวจ) ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลและหลักฐานเพื่อประเมินความผิด
ในกรณีที่มีการตัดสินแล้วว่าประมาทร่วม แล้วประกันไม่จ่าย ในส่วนนี้ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหาย ก็จะขึ้นอยู่กับการเจรจาของทั้งสองฝ่ายที่จะทำการหาข้อสรุปหรือข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งก็จะมีปัจจัยที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา ดังนี้
- การตรวจสอบความผิด : หากเป็นการประมาทร่วม การตัดสินใจว่าใครคือฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบและในสัดส่วนเท่าใด จะต้องพิจารณาจากการตรวจสอบ และการประเมินความผิดโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหน่วยงานราชการที่ดูแลเรื่องการจราจร
- กฎหมายและข้อบังคับ : อาจต้องไปดูข้อกฎหมายหรือข้อบังคับเพื่อประกอบการพิจารณาว่าฝ่ายใดควรรับผิดชอบต่อความเสียหายและในสัดส่วนใด
- การตกลงระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้อง : ในกรณีที่ประกันภัยไม่ แต่คู่กรณีสามารถตกลงกันเองได้เกี่ยวกับวิธีการจัดการกับความเสียหายและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เรื่องนี้ก็จบลงได้ง่าย
- การฟ้องร้องทางกฎหมาย : แต่ถ้าคู่กรณีไท่สามารถไกล่เกลี่ย หรือหาข้อตกลงร่วมกันได้ ก็อาจจะต้องส่งเรื่องขึ้นสู่การพิจารณาของศาล เพื่อให้ศาลเป็นผู้ที่จะเข้ามาตัดสินให้ว่าใครจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย และค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
ส่วนหนึ่งของการที่ประกันภัยไม่จ่ายเงินชดเชย อาจมีสาเหตุมาจาก ความเสียหายไม่อยู่ในขอบเขตการครอบคลุมของกรมธรรม์ หรือมีการละเมิดเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย ดังนั้น การทบทวนและเข้าใจข้อกำหนดและเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยเป็นสิ่งสำคัญก่อน และหลังการทำประกัน ในท้ายที่สุด การมีประกันภัยที่เหมาะสมและครอบคลุม พร้อมกับการเข้าใจข้อกำหนดและเงื่อนไขของกรมธรรม์ จะช่วยลดความซับซ้อนและความไม่แน่นอนในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและการประมาทร่วม