การซื้อประกันภัยรถยนต์ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องจำเป็นสำหรับคนมีรถ ซึ่งก่อนตัดสินใจซื้อประกันภัยรถยนต์แต่ละครั้ง นอกจากจะเลือกประเภทประกันภัยชั้น 1, ชั้น 2, 2 พลัส, ชั้น 3 หรือ 3 พลัส ที่ให้ความคุ้มครองที่แตกต่างกันแล้ว ในเรื่องของทุนประกันก็ควรให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะหากเราเลือกทุนประกันสูงตามมูลค่าของตัวรถที่ทำประกันภัยแล้ว ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ค่าสินไหมทดแทนที่จะได้รับก็จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น วันนี้…เราจะพามาทำความเข้าใจในเรื่องของทุนประกันภัยรถยนต์ และไขข้อข้องใจว่าจะเลือกทุนประกันรถยนต์เท่าไหร่ มากน้อยแค่ไหน ถึงจะคุ้มค่าที่สุด
ทุนประกันภัยรถยนต์ คืออะไร
ทุนประกันภัยรถยนต์ คือ ค่าสินไหมทดแทน หรือวงเงินคุ้มครองที่บริษัทประกันจะต้องจ่ายคืนให้กับผู้เอาประกันภัยในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แล้วเกิดความเสียหายต่อตัวรถที่ทำประกันภัย ซึ่งเราสามารถเลือกความคุ้มครองเพิ่มเติมที่มากขึ้นได้ เช่น คุ้มครองความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก, คุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัว, คุ้มครองกระจกรถยนต์ รวมไปถึงกรณีรถหาย รถไฟไหม้ เป็นต้น ทั้งนี้ ความคุ้มครองต่างๆ จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ของประกันรถยนต์ที่เราเลือก
ส่วนมูลค่าความคุ้มครองจะถูกคำนวณขึ้นจากมูลค่าของรถยนต์ที่ทำประกันรถยนต์เป็นหลัก เช่น หากเป็นรถยนต์ใหม่จะมีทุนประกันรถยนต์สูงสุดอยู่ที่ 80-85% ของราคารถ และจะลดลงเรื่อยๆ ปีละ 10% หรือตามราคากลางของรถยนต์ปีนั้นๆ
ตัวอย่างการคำนวณทุนประกันภัยรถยนต์
นายนิมิตออกรถยนต์ใหม่ ต้องการซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 และต้องการทราบว่าทุนประกันที่ควรทำ หรือทุนประกันที่บริษัทประกันจะระบุมาในกรมธรรม์จะเป็นเท่าไหร่ สามารถคำนวณเบื้องต้นได้ ดังนี้
- หากมูลค่าของรถยนต์ปัจจุบันอยู่ที่ 1,000,000 บาท
- ทุนประกันที่ควรทำสำหรับรถยนต์ใหม่ประมาณ 80%
- ดังนั้น ทุนประกันที่นายนิมิตควรทำ หรือทุนประกันที่บริษัทประกันจะระบุมาในกรมธรรม์ คือ 1,000,000 x 80% = 800,000 บาท
ปัจจัยที่ส่งผลต่อทุนประกัน และเบี้ยประกันภัย
ก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ นอกจากจะเลือกเปรียบเทียบทั้งความคุ้มครอง และทุนประกันจากหลายๆ บริษัทประกันภัยก่อนตัดสินใจแล้ว เราควรเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ให้เหมาะสม และคุ้มค่า โดยอาจจะพิจารณาจาก 2 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้
- รถที่ทำประกันภัย ทุนประกันจะผันแปรตามมูลค่าของตัวรถ เช่น รถมีราคาตลาดสูง รถยนต์รุ่นใหม่หรือมีอายุการใช้งานน้อย บริษัทประกันก็จะให้ทุนประกันสูง ในทางกลับกัน รถที่ผ่านการใช้งานมาสักระยะหนึ่งก็จะมีเรื่องของค่าเสื่อมสภาพ ตามอายุการใช้งาน เริ่มตกรุ่น ราคาตลาด หรือมูลค่าของรถยนต์เริ่มลดลง ส่งผลให้ทุนประกันลดลงตามไปด้วย
- วงเงิน และประเภทของความคุ้มครอง เราสามารถเลือกวงเงินความคุ้มครองที่เหมาะสมกับมูลค่ารถยนต์ และให้ความคุ้มครองครอบคลุมตามที่ต้องการได้ เช่น หากเรามีรถยนต์ราคาสูง และต้องการความคุ้มครองครอบคลุม ก็ควรเลือกทำทุนประกันสูงตามมูลค่าของรถยนต์ แต่หากรถยนต์ราคาต่ำลงมา และต้องการประหยัดเงินในค่าประกัน เราก็สามารถเลือกทุนประกัน หรือวงเงินความคุ้มครองต่ำลงได้ โดยเราสามารถกำหนดว่าต้องการความคุ้มครองอะไรบ้าง เช่น คุ้มครองรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุ, คุ้มครองบุคคลภายนอก, ความคุ้มครองสิ่งของภายในรถ, ความคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัว เป็นต้น
เลือกทุนประกันเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม และคุ้มค่าที่สุด
สำหรับการเลือกทุนประกันภัยรถยนต์ เราควรเลือกให้เท่ากับมูลค่าตลาดของรถยนต์ในขณะที่ทำประกัน เพราะบริษัทประกันจะชดใช้ให้ตามมูลค่ารถยนต์ในขณะที่ซื้อประกันเป็นหลัก เช่น หากเกิดกรณีรถยนต์ที่ทำประกันภัยเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้อีก หรือหากต้องซ่อม แต่มีค่าซ่อมสูงเกิน 70% ของทุนประกันบริษัทประกันจะชดใช้ให้เต็มจำนวนทุนประกันที่ได้ทำไว้
*หากเราเลือกทำประกันภัยที่ทุนประกันสูงเกินกว่ามูลค่ารถยนต์จริง จะทำให้เราต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันที่สูงเกินความจำเป็น เพราะถึงจะเกิดอุบัติเหตุจนรถยนต์เสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ บริษัทประกันก็จะชดใช้ให้ตามมูลค่าของรถยนต์เท่านั้น แต่...หากเลือกทำทุนประกันที่ต่ำเกินไปจนไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นอาจทำให้เราต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเพิ่มเติมทั้งในส่วนของตนเอง และส่วนของคู่กรณี
สรุปแล้ว ก่อนซื้อประกันภัยรถยนต์ นอกจากเลือกความคุ้มครองตามที่ต้องการแล้ว เราควรเลือกเปรียบเทียบเบี้ยประกัน และทุนประกันจากหลายๆ บริษัทที่น่าเชื่อถือ เพื่อเลือกซื้อประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองรอบด้านมากขึ้น ในขณะที่เราอาจจะจ่ายเบี้ยประกันถูกกว่า และควรทำความเข้าใจประกันแต่ละประเภทอย่างละเอียด เพื่อที่เราจะได้สามารถตัดสินใจซื้อประกันที่ตรงใจ และได้ประกันภัยรถยนต์ตามที่ต้องการมากที่สุดนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.tidlor.com