สำหรับท่านที่เป็นเจ้าของรถกระบะที่ได้ติดตั้งพลังงานทางเลือกอย่าง LPG และ NGV เพื่อประหยัดค่าน้ำมันที่ต้องใช้ในแต่ละเดือน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันค่อนข้างสูงแบบนี้ จึงหันไปหาพลังงานทางเลือกเพื่อลดค่าใช้จ่าย ทีนี้หลังจากทำการติดตั้งแล้วก็สงสัยกันว่า รถกระบะติดแก๊ส..ทำประกันภัยรถยนต์ได้หรือไม่? เรื่องนี้จะเป็นยังไงกันแน่นะ
ขอบคุณภาพ จาก carryboyngv.com
ก่อนอื่นขอนำข้อมูลความรู้มาให้ศึกษากันก่อนว่า LPG และ NGV คืออะไร?
- LPG นั้นเป็นชื่อเรียกที่ย่อมาจาก Liquefied Petroleum Gas หรือก็คือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือ ก๊าซหุงต้มที่ใช้กันตามครัวเรือนนี่ละ เป็นก๊าซที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบ และจากการผลิตก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่สามารถกลายเป็นของเหลวในแรงดันหรืออุณหภูมิที่ต่ำ ทำให้สามารถเก็บรักษาและขนส่งได้ง่าย แต่เมื่อปล่อยให้กลับสู่สภาวะแก๊ส จะขยายตัวและสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
- NGV เป็นชื่อเรียกที่ย่อมาจาก Natural Gas for Vehicles แปลตรงตัวเป็นภาษาไทยว่า ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานพาหนะ โดยจะเป็นเชื้อเพลิงที่นำก๊าซธรรมชาติมาผ่านการกระบวนการเปลี่ยนให้เป็นก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG: Liquefied Natural Gas) หรือก๊าซธรรมชาติแบบอัดแรงดันสูง (CNG: Compressed Natural Gas) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ และยานพาหนะอื่น ๆ ต่อไป
ด้านการนำ LPG และ NGV มาใช้กับรถกระบะนั้นก็มี ข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี
- ค่าใช้จ่ายถูกลง : ราคาของพลังงานทางเลือกจะมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมัน ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าเชื้อเพลิงได้(ระยะยาว)
- มลพิษต่ำ : พลังงานทางเลือกเหล่านี้นั้นมีการปล่อยมลพิษต่ำ เป็นเชื้อเพลิงที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าน้ำมันเบนซินและดีเซล
- ปลอดภัย : ถ้าได้รับการติดตั้งที่ถูกต้องและมีมาตีฐาน เพราะพลังงานทางเลือกนั้นจะไม่มีสารประกอบที่เป็นพิษและเมื่อรั่วซึมจะแตกต่างจากน้ำมันดิบโดยจะขึ้นของเหลวแล้วระเหยไปในอากาศ
ข้อเสีย
- ระบบติดตั้งและการบำรุงรักษาต้องดูแลต่อเนื่อง : การติดตั้งเชื้อเพลิงทางเลือกในรถกระบะอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงและจะต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง
- ประสิทธิภาพการเผาผลาญ : รถกระบะที่ใช้พลังงานทางเลือกอาจจะมีประสิทธิภาพการเผาผลาญลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการใช้เบนซินหรือดีเซล
- ขนาดและน้ำหนักของถังมีมาก : ถังเก็บเชื้อเพลิงทางเลือกมักจะมีขนาดใหญ่และหนัก ทำให้ยึดพื้นที่ภายในรถและเพิ่มน้ำหนักรถ
- จุดจำหน่ายและการบริการ : จุดเติมเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับรถยนต์ จะมีน้อยกว่าสถานีบริการน้ำมัน ทำอาจจะต้องวางเล็กน้อยในการเดินทาง
- ระยะทาง : ระยะทางที่รถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก สามารถวิ่งได้อาจจะต่างจากรถที่ใช้เบนซินหรือดีเซล ขึ้นอยู่กับขนาดของถังก๊าซธรรมชาติและความเข้มข้นของก๊าซ.
ฉะนั้นการตัดสินใจที่จะเลือกรถกระบะที่ติดตั้งพลังงานทางเลือกไม่ว่าจะเป็น LPG หรือ NGV นั้นควรพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียก่อนการตัดสินใจ
ขอบคุณภาพ จาก strayong.com
แล้วกับคำถามที่ว่า รถกระบะติดแก๊ส..ทำประกันภัยรถยนต์ได้หรือไม่? ก็ต้องตอบว่าได้แต่ต้องทำประกันกับบริษัทที่สามารถคุ้มครองรถกระบะที่ติดตั้งพลังงานทางเลือกได้ โดยจะต้องเน้นไปที่เรื่องเหตุไฟไหม้ เนื่องจากรถประเภทนี้มีความเสี่ยงมากกว่ารถกระบะที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน โดยประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองในกรณีเกิดไฟไหม้ ก็จะมี ประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 2+ โดยจะแตกต่างกันเล็กน้อย คือ
- ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะคุ้มครองครอบคลุมทุกรณี
- ส่วนประกันรถยนต์ชั้น 2 จะไม่คุ้มครองค่าซ่อมรถ แต่ทั้ง 3 ประเภทนี้ยังให้ความคุ้มครองคู่กรณี ค่ารักษาพยาบาลและอุบัติเหตุส่วนบุคคลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมไปถึงเงินประกันตัวผู้ขับขี่อีกด้วย
- ประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะซ่อมรถคันที่เอาประกันเฉพาะมีคู่กรณีเท่านั้น รวมไปถึงสามารถส่งรถซ่อมห้างได้
สำหรับรถกระบะที่ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงทางเลือกก็ควรหมั่นตรวจตราอุปกรณ์และถังให้มีสภาพดีอยู่เสมอ โดยสามารถตรวจเช็คด้วยตัวเองง่ายๆ เช่น มีกลิ่นแก๊สรั่วออกมาหรือไม่, ตรวจเช็คตัวกล่อง ECU ที่ควบคุมระบบการจ่ายเชื้อเพลิงตามระยะ, ตรวจเช็คพร้อมกับตั้งวาล์วใหม่, เปลี่ยนตัวกรองแก๊สเมื่อถึงระยะ, ตรวจเช็คหัวฉีดแก๊ส, เปลี่ยนถังใหม่เมื่อติดตั้งครบ 10 ปี และ ตรวจเช็คสายยางที่เชื่อมต่อกับระบบแก๊ส
ขอบคุณภาพ จาก carryboyngv.com
แต่ก็ไม่ใช่ว่ารถกระบะที่ติดตั้งพลังงานทางเลือกทุกคันที่จะสามารถทำประกันภัยรถยนต์ได้ก็เพราะรถที่ติดตั้งพลังงานทางเลือกอย่าง LPG และ NGV นั้นมีความเสี่ยงสูงกว่ารถยนต์กระบะทั่วไป ถ้าเข้าเงื่อนไขต่างๆ ตามนี้ก็อาจเป็นเหตุให้บริษัทประกันจะไม่ให้ความคุ้มครอง
- ติดตั้งถังและระบบที่ไม่มีคุณภาพ : ก็คือติดตั้งโดยร้านที่ไม่ได้รับการรองรับ กรือไม่มีใบรองรับจากวิศวกร หรือใช้ถังบรรจุก๊าซที่ไม่มีคุณภาพ, ไม่ได้มาตรฐาน มอก. นั่นเเอง
- ไม่มีการแจ้งบริษัทประกันหลังจากติดตั้งพลังงานทางเลือก : หลายท่านกลัวค่าเบี้ยต่อปีจะเพิ่มเลยไม่แจ้ง ถ้าท่านเลือกซื้อรถที่มีการติดตั้งเชื้อเพลิงทดแทนมาจากโรงงานก็วางใจได้ แต่ถ้าท่านนำรถไปดัดแปลงเพื่อติดตั้งระบบพลังงานทางเลือกเสร็จแล้วไม่ได้ทำการแจ้งไปยังบริษัทประกันภัยรถยนต์ เมื่อเกิดเหตุขึ้นก็อาจจะถูกปฎิเสธความคุ้มครองได้นั่นเอง
- ไม่ทำการจดแจ้งกับกรมขนส่งทางบก : หลังจากนำรถกระบะไปรถติดตั้งพลังงานทางเลือกแล้ว แต่ไม่ทำการจดแจ้ง และไม่ทำการตรวจสภาพตามระยะที่กำหนด ทางบริษัทประกันรถยนต์ก็จะปฎิเสธความคุ้มครองเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีกรณีต่างๆ ที่ทางบริษัทประกันรถยนต์จะไม่ให้ความคุ้มครอง ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ ในแต่ละกรมธรรม์ โดยผู้ขับขี่จะต้องสอบถามไปยังบริษัทประกันรถยนต์ เกี่ยวกับตัวกรมธรรรม์นั้นๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง