Toyota Fortuner GRsport (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ จีอาร์สปอร์ต) ปี 2023 รถอเนกประสงค์ มาพร้อมการตกแต่งรอบคันสไตล์ GRsport ที่ยังเน้นว่า.... ไม่ใช่แค่ใส่ชุดแต่งแล้วก็มาเพิ่มราคาเท่านั้น แต่คราวนี้เพิ่มกำลังขึ้นและระบบช่วงล่างให้เฟิร์มมากขึ้นอีกจากรุ่นก่อนหน้านี้ เพื่อรองรับ 224 ม้าแรงบิด 550 นิวตันเมตร อย่างชิว ๆ ถูกใจคนเท้าหนักแน่นอนครับ มาดูว่า
Toyota Fortuner GRsport ราคา 1,939,000 บาท และ
Fortuner อีก 2 รุ่น
LEADER กับ
LEGENDER มีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้างมาชมกันครับ
ในการทดสอบ
New Toyota Furtuner 2023 รถยนต์อเนกประสงค์ 7 ที่ ขับจริงหลังเปิดตัวก่อนหน้านี้ กับ 3 รุ่นย่อยทั้ง LEADER , LEGENDER และ GRsport บนเส้นทางกรุงเทพ - ระยอง พร้อมเข้าศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติชลบุรี รวมระยะทางประมาณ 400 กม.
Toyota Fortuner ใหม่ เพิ่มอุปกรณ์ให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น โดยมีเครื่องยนต์สมรรถนะเท่าเดิมให้เลือกคือ 2.4 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร และ 2.8 ลิตร 204 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร แต่มีการเพิ่มเติมออปชั่นจากเดิมอีกเล็กน้อยให้พอทันสมัยบ้างได้แก่
LEADER 2.4
Wireless charger (เว้นรุ่น G)
ระบบแจ้งเตือนลมยาง
จอบันเทิง 9 นิ้ว
LEGENDER 2.4/2.8
มาพร้อม Toyota Safety Sense เต็มระบบทั้ง เตือนออกนอกเลนพร้อมหน่วงกลับ เบรกฉุกเฉิน ควบคุมความเร็วแบบแปรผัน ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ เป็นต้น
เพิ่มจอสัมผัสรองรับระบบ AppleCarPlay/AndroidAuto แบบ Wireless
แถมด้วยปรับปรุงระบบช่วงล่างหน้าหลัง ให้ดูดซับแรงสะเทือนและเพิ่มความนุ่มนวลขึ้น
GR SPORT
ชุดตกแต่ง GR sport
ภายนอก
- กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นไม่เน้นหรูหรา พร้อมสัญลักษณ์ GR
- กันชนหน้าพร้อมชุดตกแต่งสีดำเงาดุดัน ถ้าเป็นรถทรงเตี้ยน่าจะเกือยเป็นรถแข่งได้เลยนะครับ
- มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ จากรุ่นปกติเป็นโครเมี่ยม
- สปอยเลอร์หลังดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต อันนี้สวยขึ้นและดูขลังมีพลังมากขึ้นครับ
- ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สีดำพิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport แต่ยังเป็นลายเดิม
ภายใน
- ภายในดีไซน์สปอร์ตโทนสีดำสลับแดง ให้ความรู้สึกแบบรถแข่ง คงไว้ซึ่งความหรูหราไว้อย่างลงตัวเบาะนั่ง Suede แบบเจาะรู และหนังสังเคราะห์เดินด้ายตกแต่งสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR แผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver พร้อมบุหนังสังเคราะห์สีดำเดินด้ายแดง
- ช่องปรับอากาศด้านหน้าตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver และโครเมียม
- แผงข้างประตู สีดำบุหนังสังเคราะห์พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver
- พวงมาลัยหุ้มหนังแบบ Soft Touch แบบเจาะรู พร้อมตกแต่ง Center mark สีแดง และเดินด้ายสีแดง/ สี Smoke silver และสัญลักษณ์ GR
- หัวเกียร์หุ้มหนัง พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver น่าจะให้สัญลักษณ์ GR บนหัวเกียร์มาด้วย
- ฐานเกียร์ลาย Carbon Fiber พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver
- กล่องเก็บของหุ้มหนังสังเคราะห์ เดินด้ายตกแต่งสีแดง
- แป้นคันเร่งและเบรคแบบสปอร์ต
- พรมรองพื้นห้องโดยสารดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport
- กุญแจรีโมท Smart key ดีไซน์พิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport และสตาร์ทอัจฉริยะพร้อมสัญลักษณ์ GR
นอกจากนี้ก็เปลี่ยนมาใช้ช่อง USB แบบ Type C 2 แต่คนที่มีสายรุ่นเก่าแบบเดิม (เช่นผู้ทดสอบ) ก็ไม่ต้องเสียใจสามารถใช้งานช่อง USB บนหน้าจอวิทยุได้อยู่ครับ และสามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay/Android Auto ได้ง่ายมาก มีข้อแม้ว่ารถต้องจอดสนิทและใส่เกียร์ "P" ก่อนเพื่อความปลอดภัยนะครับ
GRsport ใหม่ เพิ่มพลัง 224 แรงม้า ช่วงล่างดีอับเกรดอีก
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 224 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร พร้อมกับ 3 โหมดการขับขี่ Eco/Narmal/Sport เกียร์ 6 จังหวะ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone Suspension) และระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบโฟร์ลิงค์ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง โดยใน GRsport เลือกใช้โช้คแอพซอพเบอร์ใหม่แบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber) ที่หนึบหนืดเกาะและไม่กระด้างเกินไป ส่วนระบบเบรกหน้า-หลังแบบดิสก์เบรกมีครีบระบายความร้อน พร้อมคาลิปเปอร์สีแดงและสัญลักษณ์ GR
นอกจากนี้ทั้งตัวคอยล์สปริงคู่หน้า ที่แข็งขึ้นจากการปรับค่าความให้รับกับกำลังที่เพิ่มขึ้น และโช้คอับทั้ง 4 ตัว ที่ออกแบบและปรับค่าความหนืดใหม่หมด โดยใช้ขนาดแกนประมาณ 32 มม. ซึ่งฝ่ายเทคโนโยโยต้าบอกว่า เลขนับเบอร์อะไหล่ก็คนละตัวกับใน GRsport รุ่นก่อนหน้านี้อีกด้วย แต่ก็สามารถเบิกมาใส่ด้วยกันได้ครับ
และอีกจุดที่ถูกปรับปรุงเพิ่มนั่นคือ ระบบ EBD ปรับแรงดันน้ำมันเบรกที่ ปั้มน้ำมันในเต็มระบบเบรกตลอดเวลา จึงทำให้ระบบเบรกทำงานรวดเร็วและยัง เบาเท้าใช้น้ำหนักน้อย แต่รถก็เบรกได้ดีมากขึ้น แบบฟิลลิ่งรถยุโรปอีกด้วย
สมรรถนะ แรงดึงมันทุกย่านความเร็ว+ช่วงหนึบมั่นใจกว่า
ในทริปนี้ของเล่าถึงตัวแรง GR SPORT ในการลงแทร็ก โดยในการทดสอบในสนามทดสอบยานยนต์และยางล้อ ในทริปนี้จะขอเล่าถึงรุ่น GR sport พระเอกของงานนี้ ที่อับพลังใหม่แรงขึ้น ด้วยการขับขี่ใน 3 สถานีทดสอบ
สถานีที่ 1 ทดสอบระบบควบคุมการทรงตัว TRC ทั้งแบบปิดและเปิดระบบเพื่อสัมผัสถึงความแตกต่าง บนผิวถนนเปียกลื่น
โดยเมื่อปิดเมื่อเริ่มออกตัวล้อหลังหมุนฟรี และรถมีอาการทัายปัดไปมา แม่จะพยายามแก้ก็คุมยาก และเมื่อเปิดระบบอาการล้อหมุนฟรีก็ลดน้อยจนเกือบไม่มี และควบคุมรถได้ง่ายชึ้น แต่ก็ยังไม่อาการท้ายปัดบ้างเล็กน้อย ซึ่งระบบยังช่วยให้ควบคุมทิศทางรถได้ดีกว่าปิดระบบ
รอบถัดไปปรับระบบ 4WD Zigma4 และปิดระบบ TRC เมื่อเริ่มออกตัวรถสามารถเคลื่อนออกไปได้โดยแทบไม่มีอาการท้ายปัด เนื่องจากระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ช่วยให้รถทรงตัวได้ระบดับหนึ่งแต่ก็ยังออกตัวไปได้ช้าเพาระล้อฟรีทิ้งตลอด เมื่อเปิด TRC รถสามารถเคลื่อนออกไปได้ดีขึ้น นิ่งไม่มีอาการปัด และล้อแทบไม่ฟรีทิ้งเลย
สถานีที่ 2 ความคล่องตัว
จุดนี้ทดสอบการออกตัว เข้าโค้งแคบและกว้าง ขับไปตามไพบ่อนที่วางไว้ลักษณะหักเลี้ยงไปมา กับฝนตกถนนเปียกลื่น จุดนี้สามารถควบคุมรถได้ดั่งใจ แม้จะใช้ความเร็ว และการควบคุมทิศทางพวงมาลัยก็ได้ถือว่าไม่ยากนัก แต่ยังมีระยะฟรีของพวงมาลัยบ้างเล็กน้อย แต่ช่วงล่างที่หนึบและยางหน้ากว้างทำให้เข้าโค้งได้ง่ายและสบาย ๆ แม้เสียงยางรถจะร้องดังลั่นแต่ก็ขับผ่านได้ตามทิศทาง ถือว่าระบบควบคุมการทรงตัวทำงานได้ดีน่าพอใจครับ
สถานนีที่ 3 อัตราเร่งและเลยเชนจ์
เป็นการเร่งออกตัวถึงความเร็ว 100 กม./ชม. และลดความเร็วลงที่ 80 กม./ชม. ปล่อยไหลพร้อมหักหลบไพล่อนลักษณะ "moose test" หรือ หักหลบอย่างกะทันหัน ด้วยช่วงล่างที่ติดตั้งแบบ monotube นับว่าควบคุมรถได้ง่ายดาย พวงมาลัยมีอาการหน่วง ๆ และตัวรถก็ยังมีการโตลงบ้างแต่ก็ยังทรงตัวได้ดีไม่มีอาการปัดไปมา
ส่วนอัตราเร่งแบบคิกดาวน์แรงสะใจ ให้อารมณ์กระชากเบา ๆ ตอนเปลี่ยนเกียร์เหมือนรถเกียร์ธรรมดา แต่เมื่อลองค่อย ๆ ไล่เพิ่มคันเร่งแบบช้ากลับให้ความนุ่มนวลมากกว่า และยังให้อัตราเร่งไม่แตกต่างแถมอาจช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย เรียกว่าแรงบิด 550 นิวตันเมตร ทำให้มีกำลังตั้งแต่รอบต่ำประมาณ 1,600 - 2,800 รอบต่อนาทีขึ้นไป ทำให้ไม่จำเป็นต้องกดคันเร่งเยอะก็เร่งได้ทันใจแล้วครับ
ระบบเบรกนุ่มเท้า ใช้แรงน้อยก็ลดความเร็วลงได้อย่างง่ายดาย โดยรวมนิ่งและเนียนมากกว่ารุ่นธรรมดามาก ๆ จากการปรับตั้งระบบปรับแรงดันน้ำมันให้เต็มระบบตลอดเวลามากขึ้นกว่าเดิม กำให้เบรกเบาเท้า ใช้แรงน้อย และเอาอยู่สบาย ๆ เลยครับ
LEADER และ LEGENDER ต่างที่ความแรง นอกนั้นต่างกันเล็กน้อย
สำหรับอีก 2 รุ่น มีความแตกต่างในเรื่องของขุมพลัง 2.4 และ 2.8 ลิตร กับระบบขับ 2 และ 4 ล้อ แต่ถ้า คือ
LEADER จะออกสุภาพนุ่มนวล อัตราเร่งเพียงพอ ขึ้นนุ่ม ๆ ไม่กระชาก และระบบช่วงล่างเน้นการเดินทางแบบสบาย ๆ ทำให้เมื่อใช้ความเร็วสูง ๆ และเปลี่ยนเลนหรือเข้าโค้งมีอาการโยนและยวบมากหน่อย แต่เรื่องอัตราสิ้นเปลืองนั้น เคยทำได้ระหว่างทริปสูงสุดที่ 15.5 กม./ลิตร
LEGENDER ได้ความแรงแบบจัดจ้านมากขึ้น เร่งทันใจ และช่วงล่างจะเฟิร์มขึ้นกว่าเล็กน้อย เน้นทั้งขับแบบชิว ๆ และต้องการความหนึบ วิ่งความเร็วต่ำมาอาการกระเด้งมากกว่า แต่ไมถึงกับดีดนัก ยังให้ความนุ่มนวลผสมกันได้อยู่ ส่วนการเข้าโค้งก็ให้ความมั่นใจกว่า สำหรับอัตราสิ้นเปลืองนั้นไม่ประหยัดเท่า LEADER แต่ก็ถือว่าไม่สูงนักราว ๆ 11 - 12 กม./ลิตร
สรุปความคุ้มค่า Fortuner GRsport
Toyota Fortuner GRsport มาดสปอร์ตใหม่ชุดแต่งพิเศษไม่เหมือนใคร ภายในอารมณ์สปอร์ตเต็มคราบ สิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยมและเพิ่มเติมความปลอดภัยมากขึ้นอีกขั้น ความแรงระดับ 204 ม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมช่วงล่างแบบสปอร์ต นับว่าอยู่จุดบนสุดแล้วสำหรับรถอเนกประสงค์ PPV/SUV ในไทย
new Toyota Fortuner GRsport กับขุมพลังที่เพิ่มกล้ามโตขึ้น นับว่ามากที่สุดในรถระดับเดียวกันในไทยแล้ว หรือว่า "แรงสุด" ฉุดไม่อยู่พร้อมเป็น "ตัวตึงเต็งหนึ่ง" อีกยาว ๆ กับช่วงล่างปรับปรุงใหม่อีกรอบ และระบบเบรกที่เอาอยู่แน่ ๆ นอกจากคนขับจะเบรกไม่ทัน.......
แต่กระนั้น ฟอร์จูนเนอร์ใหม่นี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ขาดหายไปอย่างเช่น ระบบเบรกมือไฟฟ้ากับโฮลดเบรก ที่น่าจะติดตั้งมาให้ แต่ก็ยังมีหลายคนถนัดกับการใช้เบรกมือแบบดึงอยู่ ส่วนของระบบพวงมาลัยหากเป็นผ่อนแรงไฟฟ้าน่าจะช่วยให้ขับในเมืองสะดวกมากขึ้น เบาะแถวที่สามปรับให้พับแบนราบไปเลยก็จะเข้าท่ามากขึ้น รวมถึงจุดวางของกระจุกกระจิกยังน้อยไป เมื่อวางแก้วน้ำเต็มแล้วจุดวางโทรศัพท์ก็จะหายไปด้วย แต่ทว่าทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจซื้อฟอร์จูนคุกกี้น้อยลงแต่อย่างได้ครับ แลกกับความทนทานและแรงขึ้น ช่วงล่างที่ปรับหนึบขึ้น และยิ่งรุ่นพิเศษแบบนี้ราคา 1,939,000 บาท (หลังคาดำเพิ่ม 20,000 บาท) สำหรับผู้ที่สนใจอาจจะตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องคิดมากเลยล่ะครับ