new Mercedes benz A 200 AMG Dynamic น้องเล็กสเปคเด็ดปรับโฉมเพิ่มออปชั่น 2.32 MB

new Mercedes benz A 200 AMG Dynamic ปรับโฉมไมเนอร์เชนเปลี่ยน!!... ระบบไฟหน้าใหม่แบบ LED High-Performance ดีไซน์รูปแบบการแสดงแสงไฟหน้าใหม่แบบ reflection technology พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Adaptive Highbeam Assist  รุ่นล่าสุด กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Star pattern radiator grille กระโปรงหน้าแบบ Power dome ออกแบบให้มีมิติมากยิ่งขึ้น ชุดแต่ง AMG bodystyling และมิติตัวถัง กว้าง x ยาว x สูง อยู่ที่ 1,796 x 4,558 x 1,429 มิลลิเมตร

 

เสริมระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทและปิดล็อกรถยนต์ได้อย่างง่ายและระบบเปิด-ปิดฝากระโปรงหลังด้วยแบบ HANDS-FREE ACCESS ระบบนี้ดีอย่างน้อยก็สะดวกตอนจะเปิดท้าย หลังคาพาดนรามิกรูฟ ล้ออัลลอยด์ใหม่ดีไซน์สปอร์ต AMG 5-twin-spoke สีดำ ขนาด 18 นิ้ว (225/45 R18) ที่จากเดิมสีด้านในสีเทาขยับค่าตัวเพิ่มเป็น 2,320,000 บาท เพิ่มจาก A 200 Progressive ราคา 1,990,000 บาท เพียง 330,000 บาทเท่านั้น

 

 

ภายในพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต ตกแต่งด้วยหนัง Nappa เสริมความดุดันด้วยเบาะหุ้มหนัง ARTICO สไตล์สปอร์ต สลับ MICROCUT microfibre สีดำด้ายแดงmemory seat และระบบดันหลัง 4 ทิศทาง ใหม่ “MBUX7” ที่เพิ่มระบบ AI (Artificial intelligence) ซึ่งสามารถเรียนรู้และประเมินพฤติกรรมและการใช้งานของแต่ละผู้ขับได้ และมาตรวัด All-digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว ไฟ Ambient Light รอบห้องโดยสารแบบปรับได้ 64 เฉด

 

ADAS เกือบเต็มระบบ (ขอเก็บไว้ให้รุ่นพี่ๆ ) ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบรก ADAPTIVE Brake ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินแบบแอคทีฟ (Active Break Assist system) ไฟกระพริบเบรกฉุกเฉิน (Adaptive brake light) ระบบรักษาความเร็ว (Cruise Control) และจำกัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) ระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ระบบแจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตู (Exit Warning Function) ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist) ระบบแจ้งเตือนระดับแรงดันลมยาง (Tyre pressure loss warning system) และระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ซึ่งยังไม่มีภาพรอบคัน มีเพียงกล้งอมองถอยหลังปรับมุมแคบและกว้างได้

 

เครื่องยนตร์เบนซิน 1.3 ลิตร เทอร์โบ พร้อมระบบ Cylinder shut-off ที่ทำให้เครื่องยนต์สามารถขับเคลื่อนด้วยลูกสูบเพียง 2 ลูกสูบ เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ โดยทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะ (7G-DCT) แบบคลัตช์คู่ มีกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่ 1,620 - 4,000 รอบต่อนาที สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 8.3 วินาที มีการติดตั้งระบบเปลี่ยนเกียร์ด้วย Paddle shift ที่พวงมาลัย พร้อมปรับเลือกโหมดการขับขี่ได้ 4 แบบ คือ Eco, Comfort, Sport และ Individual รองรับการใช้น้ำมันได้ถึง E85 ตามมาตรฐาน EURO6 ซึ่งสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยสูงสุด 16.7 กิโลเมตรต่อลิตร

ทดสอบขับ new A 200 ใหม่จากโรงแรมสุโขทัย ถึง papa beach หัวหินไปกลับร่วม 300  กม. สำหรับท่านั่งขับขี่สบายด้วยเบาะปรับได้หลายทิศทาง สมรรถนะเกินพอใช้งาน อัตรเร่งทันใจไม่รอรอบเล็กน้อยเนื่องจากเป็นเครื่อง 1.3 ลิตร เทอร์โบ แต่พอถึงรอบกำลังก็พถ่งได้ทันใจ การคิกดาวน์มีจังหวะรอรอบกับการเปลี่ยนเกียร์เล็กน้อย 

 

 

จุดที่น่าสังเกตุคือ เครื่องยนต์ที่ Downsizing 1.3 ลิตร มาอยู่ในตัวรถที่ใหญ่หน่อย แม้จะมีเทอร์โยชบมาช่วยบูสต์ แต่ก้ยังคงมีอาการรอรอบเล็กน้อย โดยเฉพาะยิ่งเป็นเกียร์คลัตช์คู่ จะต้องรอรอบที่มีกำลังจริง ๆ เหมือนกับในรถเกียร์ธรรมดา แต่ในระบบ Dual clutch ถือว่าสั่งงานไว้มาก จึงเหลือแค่เครื่องยต์ 1.3 ลิตร เอาไอเสียไปปั่นโข่งเทอร์โบให้อัดอากาศมาเพิ่มกำลัง ซึ้งในจังหวะนั้นก็รอไม่นานนัก รถก็พุ่งทยานอยา่งรวดรฌวครับ 

 

 

ในช่วงที่เร่งแซงนั้นรอบเครื่องยนต์จะกวาดขึ้นไปอย่างรวดเร็วในช่วงระหว่าง 2,000 - 4,000 รอบต่อนาที หลังจากนั้นก้จะหนืด ๆ นับเป็นผลจากเครื่องยนต์ความจุน้อยตัวหนักจึงต้องเค้นกำลังและเมื่อถึงปลายรอบกำลังก็จะแผ่วลงนั่นเองครับ แต่ถามว่าเพียงพอต่อการใช้งานไหม ตอบเลยว่าเหลือ ๆ ครับ จากการที่ลองขับทั้งออกตัว เร่งแซง ความเร็วสูง ขับใช้งานเดินทางมั่วไปเหลือ ๆ เลยครับ สุดท้ายอย่าลืมว่าเค้าคือ น้อยเล็กสเปคคุ้มที่เน้นใช้งานแบบสบาย ๆ นุ่มนวลปลอดภัย หากต้องการสายดุดันอาจต้องข้ามไปหารุ่นเดอะอย่างตระกูล AMG แท้ต่างที่มีในเลือกหลายรุ่นหลายราคา

 

 

โหมดการขับขี่ที่ให้การตอบสนองดีที่สุดย่อมเป็น Sport แต่ก็แลกกับความดุดันกระชากและรอบสูงจัด ๆ ที่พร้อมเร่งทันใจได้ตลอดจึงมากับอัตรากินที่เพิ่มขึ้น แต่จากที่ลองแล้วไม่ได้รู้สึกแตกต่างมากนัก ยังมีความกิจจุที่รับได้เมื่อแลกกับความมันสนุกในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้นมาก

 

 

โหมด ECO  ตามชื่อคือ คันเร่งจะหน่วง ๆ ตอบสนองน้อยลงเน้นประหยัดและในโหมดนี้ระบบ Cylinder shut-off ที่เมื่อปล่อยคันเร่งให้รถไหล ในระหว่างไหลเข้าจอดแยกไฟแดงหรือไหลยาว ๆ โดยไม่เพิ่มคันเร่ง ระบบนี้จะตัดการทำงาน 2 สูบ เหลือเพียง 2 สูบ เพื่อลดแรงหน่วงของเครื่องยนต์และเพิ่มแรงเฉี่อยให้ไหลได้ไกลขึ้น เพิ่มอัตราความประหยัดได้อีกนิด จะสังเหตุว่าระบบนี้ทำงานด้วยการดุที่ตัวอักษร "D" บอกตำแหน่งเกียร์ตรงมุมล่างของมาตรวัดคนขับ ถ้าเป็นสีเขียวคือ ทำงาน ถ้าสีขาวคือไม่ทำงานและจะทำงานเฉพาะโหมด ECO เท่านั้นครับ  

 

จากการทดลองสัมผัสถึงความแตกต่างได้บ้าง เมื่อระบบนี้ทำงาน รถจะเบา ๆ ไหลเหมือน "ใส่เกียร์ว่าง" แต่ถ้าใช้โหมดอื่นหรือระบบยังไม่ทำงานเมื่อถอนคันเร่งรถก็จะค่อย ๆ หน่วงลดความเร็วลงเร็วกว่า จากความหน่วยหรือ "Enging Brake" นั่นเองครับ

 

 

ระบบช่วงล่างแบบ Lowered comport suspension เน้นน่มนวลนั่งสบายไม่กระเทือน นุ่มแม้จั้มคอสะพานหนัก แต่ก็ยังควบคุมได้ดี ในบางจังหวะที่กระแทกแรง ๆ กลับให้ความหนึบโช้คออกไปทางแข็งเล็กน้อย แต่คนนั่งก็ไม่จุก นับว่าปรับช่วงล่างได้ดี โดยทางทีมงานเมอร์เซเดสบอกว่า ตัวโช้คแม้จะไม่ใช่ระบบถุงลมที่ปรับระดับไม่ได้ แต่จะมีชุดโซลินอยควบคุมแรงดันน้ำมันในกระบอกโช้ค ถ้ากระบอกโช้คยุบตัวเล็กน้อยไม่ถึงสวิตช์โซลินอยนี้ก็จะให้ความนุ่มนวลปกติ แต่ถ้ายุบถึงสวิตช์นี้ก้จะสั่งให้ชุดควบคุมวาล์วระบายแรงดันในกระบอกโช้คทำงานน้อยลง ทำให้โช้คมีความหนืดมากขึ้น คล้ายการแปรผันปรับแข็ง-อ่อนแบบกึ่งอัตโนมัติ ด้วยการอั้นหรือคลายวาล์วรีดรูน้ำมันโช้คนั่นเองครับ 

 

 

ซึ่งระบบนี้ทำงานได้เนียบระดับหนึ่ง เพราะถ้าขับที่ความเร็วสูง แต่ถนนเรียบ ๆ โช้คก็ยังคงนุ่มนวล จนบางครั้งไม่กล้าที่โยนหรือเข้าโค้งที่ความรเ็วสูง ๆ หรือเปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็ว เพราะยังมีความนุ่มนวลมากกว่าทำให้รถมีอาการเซและโคลงเคลงอยู่ แต่ถ้าเจอถนนหรือคอสะพานโช้คกลับแข็งซับแรงได้ดี โดยคนในรถไม่จุกตัวไม่ลอย ช่วยให้ควบคุมทิศทางได้ดี   

 

ระบบจอแสดงผลที่มี MBUX7 แบบเดียวกับใน EQS แต่เล็กกว่า ใช้งานง่ายชัดเจนแสดงผลการทำงานของรถ โหมดการขับขี่ เชื่อมต่อ AppleCarPlay และ Andriod Auto แบบไร้สายแล้ว มาพร้อมกับแท่นชาร์จไร้สาย ช่อง USB Type-C ถึง 4 ช่อง รองรับคำสั่งเสียง 27 ภาษารวมถึงภาษาไทย ใช้งานด้วยคำว่า "สวัสดี เมอร์เซเดส" ย้ำว่าต้องพูดเป็น เมอร์-เซ-เดส จึงจะคุยกันรู้เรื่อง ส่วนคำสั่งนั้น เนืองจากเป็นรถใหม่มาก ระบบ MBUX7 จะจดจำเรียนรู้ผู้ขับขี่ด้วย AI จึงยังฟังคำสั่งไม่ค่อยรู้เรื่อง สั่งได้แค่เพียง "ปรับอุณหภูมิแอร์" และ "เปิดวิทยุ" ส่วนคำสั่ง "เปิดหลังคาหรือนำทาง" ได้ลองแล้วยังไม่สามารถทำได้

 

มาถึงระบบปรับอากาศเป็นอัตโนัติแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา มีช่องแอร์หลังมาให้แล้ว ในการปรับอุณหภูมิหากปรับไว้สูงกว่า 22 องศาฯ จะอุ่นทันที จากที่ใช้งานต้องปรับอยู่แถว ๆ 18 - 20 องศาฯ ความเย็นกำลังดีครับ แต่เมื่อเจอแดดส่องตรง ๆ บนหลังคาที่เป็นกระจกแก้วนั้น แม้จะมีระบบกันแสง UV และแผ่นกันแสงแต่ความร้อนก็ยังระอุอยู่ บวกกับเพดานหลังคาที่ต่ำเกือบติดศีรษะผู้ขับทำให้ "หัวร้อน" หน่อย ๆ ยังดีที่ระบบแอร์เย็นฉ่ำมาก จึงพอรับได้ครับ     

 

ความประหยัดแบบดีจนต้องอึ้งครับ! เพราะในช่วงเดินทางไปหัวหินนั้นขับไปถ่ายคลิปรีวิวไปไม่เน้นเร็วมากใช้คตวามเหมาะสมตามกติกา ปริมาณรถไม่มากนักเรียกว่าไหลไปเรื่อย ๆ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนมาตรวัดประมาณ 5.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 17.2 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนในขากลับมีภาระกิจด่วนสำคัญมากจึงต้องออกจากที่พักหัวหิน 2 ทุ่มนิด ๆ ถึงจุดคืนรถโรงแรมสุโขทัยสาทร 21.45 น. เรียกว่าทำเวลาพอสมควร การจรารโล่ง ๆ อัตราสิ้นเปลืองบนมาตรวัด 7.2 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 13.8 กิโลเมตรต่อลิตรเท่านั้น นี่คืออัตราสิ้นเปลืองในรถเบนซ์ที่แตกต่างจากสมัยก่อนแบบสิ้นเชิงเลยครับ  

 

ส่วนตัวมองว่า หากปรับให้ช่วงล่างเฟิร์มขึ้นอีกนิด แต่ไม่ต้องมากเท่าใน A-Class ก่อนหน้าที่แข็งมากเกินไป ก็จะมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ค่อนข้างแรงเอาเรื่อง ในความเร็วสูง ๆ หากผู้ขับมีทักษะไม่เพียงพอ อาจจะควบคุมรถยาก แค่เปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็ว ก็ต้องบังคับพวงมาลัยให้นิ่งและไม่ควรหักเลี้ยวรวดเดินไป รถอาจจะเสียหลักได้

 

แผ่นบังแสงหลังคาไม่สามารถกันความร้อนได้เท่าที่ควร ผู้โดยสารตอนหน้าอาจจะต้องเจอกับความร้อนระอุตลอดเวลาบนหัว ทำให้ไม่ดีต่อสุภาพเพราะแอร์เย้นฉ่ำ แต่หัวร้อน ในระยะยาวอาจต้องติดฟิล์มเพิ่มช่วยลดความร้อนอีกชั้น 

 

ระบบ AI ใน MBUX7 อาจต้องปรับตัวหรือใช้งานบ่อย ๆ ให้คุ้มเคยและจดจำพฤติกรรมเจ้าของรถ จึงต้องเรียนรู้และศึกษาภาษาข้อความหรือชุดคำสั่งให้แม่นยำ เพราะระบบอาจจะสับสนได้หากคำสั่งเปลี่ยนไปมา สุดท้ายก็ยังต้องใช้มือในการเปิด-ปิดใช้งานเช่นเดิมที่คุ้มเคยกว่า 

 

 

สุดท้ายประทับใจความแรงที่กำลังพอดี ๆ กับรถ และยังให้ความประหยัดที่ "อีโค่คาร์ยังเคือง" เพราะว่าขับใช้ความเร็วทั่วไปแบบไม่ปั้นตัวเลขยังได้ประมาณ 16 - 17 กิโลเมตรต่อลิตร และเมื่อลองขับแบบดุเดือดลอกรอบตลอดยังทำได้ 13 กิโลเมตรต่อลิตร ประหยัดด้วยแรงด้วยในคันเดียว

 

โดยรวมแล้ว new Mercedes benz A 200 AMG Dynamic คันนี้เหมาะกับผู้ชอบความนุ่มนวล ขับสบาย แรงพอตัว แต่เพิ่มเติมออปชั่นเยอะขึ้น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากกว่าเดิม และได้ MBUX7 ใหม่ล่าสุดที่ฉลาดล้ำด้วย AI หลังคาพาโนรามิกรูฟที่อาจไม่จำเป้นสำหรับเมืองร้อน แต่มีก็เพิ่มความหรูหราให้กับรถรุ่นเริ่มต้น "BABYBENZ" ได้อย่างดี แถมประหยัดน้ำมันในระดับที่สำหรับผมแล้วน่าประทับใจมาก ๆ เลยครับ ขับอย่างดุดันได้ 13 กิโลเมตรต่อลิตร นับว่าประหยัดขับสนุกอีกด้วย ส่วนผู้ที่เน้นความประหยัดใช้ง่านง่าย ๆ ไม่เน้นอปปชั่น ชับขี่นุ่มนวล ๆ ด้วยยางหนาขอบล้อเล็ก ๆ ก้อาจไปลองดูรุ่น Progessive ราคา 1.99 ล้านบาท แต่เชื่อเถอะครับว่า ถ้าได้สัมผัสรุ่น AMG Dynamic แล้วก็อาจจะยอมไปให้สุดที่ 2.32 ล้านบาทไปเลยครับ