เมื่อคิดจะท่องเที่ยวช่วงหน้าหนาวในประเทศไทยอันดับต้น ๆ ที่นึกถึงต้องขึ้นทางเหนือ โดยเฉพาะในเดือนธันวาคมที่มีความหนาวมาแบบสั้น ๆ แล้วก็จากไป โดยในทริปนี้มีเวลาจำกัดเพียง 4 วัน 3 คืนเท่านั้น แต่ต้องได้สัมผัสอากาศหนาวให้คุ้มกับการมาเที่ยว จังหวัดเชียงใหม่จึงเป็นอะไรที่สะดวกและคุ้มกับการรับลมหนาวมากที่สุดในเวลาจำกัด แต่ถ้าเที่ยวในเมืองก็อาจสัมผัสลมหนาวมากจึงเลือกต้องขึ้นดอยรับหนาว จึงเลือก "เชียงดาว" และ "ห้วยกุ๊บกั๊บ" ซึ่งไม่ไกลกันมากขับขึ้นจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางแม่ริม,แม่แตง ไปในทางเดียวกันประหยัดเวลาได้เยอะ
เชียงใหม่-เชียงดาว-ห้วยกุ๊บกั๊บ
ทริปนี้มีเวลา 4 วัน 3 คืน จึงเลือกเชียงใหม่โดยในวันแรกออกเดินทาง 7.30 เช้า แอบสายหน่อยเพราะว่าไม่รีบมากนักและพักผ่อนในเมืองก่อนเพราะขับรถมา 8 - 9 ชม. ต้องพักบ้าง ในวันที่สองค่อยขับขึ้นเชียงดาวพัก 1 คืน ต่อเนื่องวันที่สามขับลงมาดอยไปยังห้วยกุ๊บกั๊บและวันสุดท้ายเดินทางกลับกรุงเทพฯ
รถที่ใช้เดินทางทริปนี้คือ
Nissan Terra VL 4x4 (ที่ไม่ได้ใช้ 4X4 เลย!) เพราะเส้นทางที่ขับไปนั้นถนนปกติไม่มีออฟโร้ดให้ลุย และมีขับขึ้นดอยบ้างแต่ไม่สูงมากนัก เรียกว่าอีโคคาร์ก็ขึ้นได้สบายครับ และใช้น้ำมันไปรวมทั้งทริปประมาณ 4,XXX บาท
กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ขับชิว ๆ ตามกฎหมายกำหนด 9 ชม.
การเดินทางต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและทำตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องของความเร็วที่ใช้ตามกำหนดตรงนี้ต้องระวังให้ดีนะครับ การบังคับใช้ความเร็วในแต่ละพื้นที่ แต่ละถนนหรือช่วงเขตนอก-ในเมืองนั้น ไม่เท่ากัน!!! แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ก็ต้องคอยมองป้ายจำกัดความเร็วเมื่อขับผ่านไปในแต่ละพื้นที่!
ถนนช่วงอยุธยาถึงชัยนาทสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 120 กม./ชม. เป็นต้น ส่วนถ้าขับเลยขึ้นไปก็แล้วแต่ว่าเข้าเขตชุมชนหรือใกล้ตัวเมืองซึ่งกำหนดไม่เท่ากันบางเขตก็ 80 กม./ชม. บ้าง 90 กม./ชม. บ้าง แต่เมื่อเฉลี่ยโดยรวมแล้วส่วนมากจะให้ไม่เกิน 90 กม./ชม. ครับ เรียกว่า ขับไปหลับไปความเร็วแบบนี้จะแซงรถบรรทุกยังเหนื่อยเลยครับ แต่สุดท้ายกฎก็คือกฎต้องปฎิบัติตามครับ! การเดินทางก็ไม่ยากด้วย "อากู๋" ก็ได้ หรือจะอ่านป้ายไปเรื่อย ๆ ก็ดี แถมถนนส่วนใหญ่ก็ดีมาก ดีกว่าถนนลงใต้หรือไปทางเขาใหญ่พอสมควรเลยครับ ตลอดข้างทางไม่มีเหงามีภูเขาและปั้มน้ำมันค่อยให้แวะตลอด
เมื่อเดินทางถึงเชียงใหม่และเช็คอินที่พักเรียบร้อยแล้ว ต้องมากิน "โอ้กะจู๋" ต้นตำหรับฉบับแรกเริ่มแห่งนี้ที่สาขาสันทราย หลายคนอาจคิดว่ากินที่กทม.ก็ได้ แต่ว่าที่มีความออริจินอลในเชียงใหม่แต้ ๆ เจ้า และคิดว่าต้องไปถนนคนเดินวัวลายแต่เนื่องจากเป็นวันเสาร์ตรงกับวันเที่ยวรถติดมาก และที่จอดรถไม่สะดวกจึงกลับที่พักเอาแรงก่อนเดินทางต่อในเช้าวันถัดไป
เชียงดาว-นอนเต้นท์แบบโฮมสเตย์
เช้าวันที่ 2 ออกเดินทางขึ้นทางเหนือผ่านอำเภอแม่ริม, แม่แตง สู่ "บ้านลีซู โฮมสเตย์ ดอยหลวงเชียงดาว" อำเภอเชียงดาวระยะทางจากตัวเมืองราว ๆ 90 กม. ใช้เวลาเกือบ 2 ชม. มีถนนที่ต้องขับขึ้นเขาในช่วง 10 กว่ากม. ก่อนถึงที่พัก และที่พักเป็นโฮมสเตย์บนดอยหลวงเชียงดาว ก่อนจะขับขึ้นไปเป็นเวลามื้อเที่ยงพอดี ค้นหาร้านอาหารตามรีวิวใน "กู๋" ก็ได้เจอกับร้านนี้ "ร้านเดอะเชฟ คิทเช่นเชียงดาว" หน้าตาบ้าน ๆ ธรรมดา แต่รสชาติของอาหารและการตกแต่งจานระดับโรงแรม 5 ดาว ราคาเชียงดาว (ไม่แพง) เอาไปเลย 9/10 จ้า
ตลอดทางที่ขับบนไหล่เขานั้นแคบและโค้งค่อนข้างเยอะ แต่ระดับความชันไม่มากนักรถอีโคคาร์ขึ้นได้สบาย และในการขับขึ้นดอยต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษพร้อมขับปลอดภัยไม่แซงบนเนินเขา, ทางโค้งอับสายตา และใช้ความเร็วสูงเกินรถและตัวเองจะควบคุมได้ เพราะถนนไม่มีไหล่ทางทำให้หลบหลีกลำบาก โดยเฉพาะในช่วงกำลังขับขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้น ได้มีรถตู้หนึ่งคันแซงในทางโค้งส่วนเลนลงมาอย่างรวดเร็วและปาดเขาหน้ารถอย่างฉิวเฉียด โชคดีที่เราใช้ความเร็วไม่สูงนักเนื่องจากรถมีกำลังเยอะ (เครื่องมันแรง..อิอิ) จึงค่อย ๆ เร่งขึ้นไปได้อย่างปลอดภัย
หลังจากขับขึ้นเขามาอย่างตื่นเต้นแล้วก็ถึงที่พักที่เรียกว่าไม่มีอะไรที่สะดวกสบายเลย มีแต่ะรรมชาติและอากาศหนาวล้วน ๆ ครับ ใครกลัวลำบากผ่านได้เลย เพราะนี่คือ การมาเข้าค่ายลูกเสือชัด ๆ แต่เต้นท์ที่นอนนับว่าเป็นของดีและอุ่นพอสมควร มีเครื่องยนอนให้เสร็จสรรพ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องใช้พานวมที่เตรียมมาปูเพิ่มเพราะช่วยให้อุ่นขึ้นครับ นอกจากนี้ที่พักก็มาพร้อมกับอาหารมื้อเย็นแบบเติมได้ไม่อั้น และอาหารเช้านั่งชมทะเลหมอก ซึ่งอุณหภูมิที่สัมผัสได้ไม่หนาวมากเพียง 14 องศาเท่านั้น แต่สำหรับมนุษย์เมืองร้อนแห่งกทม.อย่างเราก็ปากสั่น มือชาหน้าชาหมดแล้ว แค่ล้างหน้าแปลงฟันก็สั่นทะท้านไปทั้งตัวและไม่ต้องถามว่า "อาบน้ำไหม?" ....
ตื่นเช้าอีกวันด้วยการชมทะเลหมอกที่เสริฟหน้าเต้นท์ที่นอน พร้อมกับอากาศหนาวแบบควันออกปาก นั่งทานข้าวต้มอุ่น ๆ กับกาแฟดริป (ที่เตรียมไปเอง) เคล้าบรรยากาศหมอกบาง ๆ แต่เมื่อแสงแดดเริ่มโผล่ขึ้นมาก็ค่อย ๆ จางหายไป พร้อมกับความอุ่นที่เพิ่มขึ้นด้วย ยิ่งสายแดดยิ่งแรงขึ้นการอยู่ในเต้นท์จึงเริ่มไม่ปลอดภัยเพราะจะเริ่มอุ่นมากขึ้นไปอีก จึงรีบเช็คเอ้าท์และเดินทางไป และอีกหนึ่งจุดที่ต้องแวะเพราะร้านสวยและโดดเด่นอยู่ปากทางขึ้นเชียงดาวคือ "PRONTO COFFEE" สั่งกาแฟแก้ง่วงทั้งที่เพิ่งตื่น ก่อนเดินทางไปยัง ฮิมหมอกโฮมสเตย์ห้วยกุ๊บกั๊บ ซึ่งห่างไปเพียง 70 กม. เท่านั้น
แซ่บในหลืบ - อร่อยและอยู่ในหลืบจริง ๆ
ก่อนจะขึ้นห้วยกุ๊บกั๊บต้องหามื้อเที่ยงกันก่อนด้วยการค้นหาจากอินเตอร์เนตและก็ได้เจอร้านลับ อยู่ก็ลึกในซอยเปลี่ยว "แซ่บในหลืบ" ที่เข้าไปในหมูบ้านเล็ก ๆ ลึก ๆ จากถนนหลักพอสมควร ร้านตกแต่งแบบเรียบง่าย ลูกค้าส่วนมากเป็นคนในพื้นที่ อาหารมีหลากหลายทั้ง ตำ ยำ ทอด และรสชาติก็อร่อยสมกับที่ขับเช้ามาลึกเพื่อสิ่งนี้เอาไป 8/10 ครับ
ทะเลหมอก-ห้วยกุ๊บกั๊บ
การเดินทางขึ้นไปพักที่ "ฮิมหมอกโฮมสเตย์ห้วยกุ๊บกั๊บ" จะต้องดูรอบรถกระบะของที่พักโดยจะมีขาขึ้นช่วงเช้าและเย็นอย่างละ 2 รอบ คือ 10.00/11.00 น.และ 14.00/17.00 น.โดยไม่แนะนำให้ขับรถขึ้นไปเพราะไม่มีที่จอดรถ บวกกับเส้นทางค่อนข้างอันตรายหากไม่ชำนาญทางและรถต้องเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น ซึ่งทางบ้านพักก้จะมีจุดบริการที่จอดรถไว้ให้ด้านล่างพร้อมรถกระะรอรับขึ้นบนที่พักทั้งสะดวก สนุก ลุ้นและมันมาก
ขอแนะนำอีกว่าให้ขึ้นมาที่รอบ 14.00 น. เพราะจะมีเวลาในการจัดการกับห้องพักและเดินถ่ายรูปวิวสวย ๆ และนั่งชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า หลังจากนั้นเวลาประมาณ 18.30 - 19.00 น. น้อง ๆ พนักงานก็จะเสริฟชุดจิ้มจุ่มร้อน ๆ มาให้นั่งกินให้คล้ายหนาวถึงหน้าห้องพักกันเลย พร้อมรับอากาศเย็น ๆ ชมดาวบนท้องฟ้า รับรองได้ว่าใครได้มาต้องฟินมาก ๆ ครับ
ในตอนเช้าอากาศดีกำลังเย็นสบายไม่หนาวเท่าบนเชียงดาว ชมทะเลหมอกที่ทอดยาวในหุบเขาสุดสายตา จิบกาแฟพร้อมกับอาหารเช้ารับลมเย็น ก่อนเตรียมตัวเดินทางลงเขากลับกรุงเทพฯ ต่อไปครับ แต่ว่าเมื่อมาถึงเชียงใหม่จะรีบกลับก็ไม่ใช่เรื่อง แวะกินข้าวเที่ยง "ต๋องเต็มโต๊ะ" เช็คอินร้านดังย่านนิมมานก่อนกลับ
สรุปค่าเสียหายทริปนี้ หมื่น++
การท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่ถูกไม่แพงเพราะได้บรรยากาศบนเขาสูงและวิวแบบทะเลหมอกไปกัน 2 คน
- Homm Boutique Hotel 1,650 บาท
- บ้านลีซู โฮมสเตย์ ดอยหลวงเชียงดาว 1,500 บาทพร้อมอาหาร 2 มื้อ
- ฮิมหมอกโฮมสเตย์ห้วยกุ๊บกั๊บ 4,555 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อ รถรับ-ส่ง
หมายเหตุ จองที่พักใกล้วันเดินทาง หากจองล่วงอาจถูกกว่านี้ครับ
ส่วนค่าน้ำมันรถ
Nissan Terra VL มาพร้อมน้ำมันเต็ม 1 ถังแรก และเติมดีเซล B7 ตลอดทริป แวะเติมครั้งแรกที่ ตำบลวังหมัน จังหวัดตาก
1,420 บาท ได้มา 39.94 ลิตร ถังที่ 2 เติมจากตัวเมืองก่อนขึ้นเชียงดาว
760 บาท ได้มา 21.30 ลิตร และถังที่ 2 ขากลับตำบลนครชุม จังหวัดกำแพงเพชรอีก
1,640 บาท ได้มา 46.41 ลิตร ส่วนตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยบนมาตรวัดอยู่ราว ๆ 13.5 - 15.1 กม. /ลิตร
รวมทั้งหมดก็ 11,525 บาท *แต่ถ้านับการเติมน้ำมันถังแรกสุดก็บวกอีก 1,XXX บาท แล้วแต่ว่ามีน้ำมันในถังคงเหลืออยู่เท่าไหร่
ทริปนี้ต้องขอบคุณ Nissan ที่จัด Terra มาให้เดินทางแบบสะดวกสบาย และขับไกลแค่ไหนก็ไม่เมื่อยล้า สิ่งอำนวยความสะดวกสบายครบถ้วนเต็มคัน พร้อมระบบความปลอดภับเยอะมากครับ สถานที่ท่องเที่ยวในวันที่อาการเย็น ๆ แบบ และมีวันลาไม่มากนัก "เชียงใหม่" ก็นับเป็นจังหวัดที่ยังมีอีกหลายแห่งที่ยังต้องไปท้าลมหนาวอีกเพียบ
สุดท้ายขับรถด้วยความระมัดระวังไม่ประมาทไม่อวดเก่งและเคารพกฎ กติกา มารยาทในการใช้ถนนร่วมกับผู้อื่นด้วยนะครับ