Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic รถยนต์ไฟฟ้า+น้ำมัน+ชาร์จไฟได้ 2 แบบ
AC/DC วิ่ง EV ล้วนได้
100 กม. บวกลบ 30 กม. พร้อมไฟหน้า DIGITAL LIGHT ขนาด 2.6 ล้านพิกเซล สว่างไกล 650 เมตร ล้ออัลลอย AMG 18 นิ้ว แต่มาพร้อมฝาครอบลดแรงต้านลม ระบบแบตเตอรี่กับมอเตอร์ไฟฟ้า เจนฯ 4 เทคโนโลยีเดียวกับ EQS เพิ่มระบบรักษาระยะห่างคันหน้า, เตือนออกนอกเลนพร้อมดึงกลับ, เตือนมุมอับสายตา และระบบเข้าจอดอัตโนัมัติ!! ประกอบไทยในราคา 3,350,000 บาท แพงตรงไหน?
จากเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่มีให้
C 350 e AMG Dynamic ทำให้ราคาขยับเพิ่มจากรุ่น
C 220 d AMG Dynamic อีก
360,000 บาท ดูเหมือนเยอะแต่เมื่อเทียบกับชุดไฮบริดที่มีแบตเตอรี่เจนเนอเรชั่นที่ 4 ขนาด 25.4 kW ระบบไฟหน้าใหม่ DIGITAL LIGHT ทำงานเมื่อความเร็ว 65 กม./ชม.ขึ้นไป และจะใช้ได้เมื่อลดความเร็วลงมาต่ำกว่า 30 กม./ชม.ก้จะตัดการทำงาน ทำงานโดยที่ใช้การปรับความเข้มอ่อนหลบรถสวนทาง หรือ ส่องตามส่วนที่มืด ตรวจจับป้ายจราจร หรือว่าเปิดไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ ที่ให้ความละเอียดจนแทบจัดไม่ได้ว่ากำลังทำงานอยู่ถ้าถนนไม่มืดจริง ๆ
มอเตอร์ไฟฟ้าเกาะกับเพลาส่งกำลังช่วยให้วิ่งได้ไกล
นอกจากนี้ยังมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์รหัส M254 PHEV เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 4,000 รอบ/นาที และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 129 แรงม้า 440 นิวตันเมตร กำลังรวมทั้งระบบอยู่ที่ 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 6.1 วินาที
5 โหมด แต่ตัดระบบชาร์จไฟกลับออก
สำหรับโหมดการขับขี่เลือกได้ 5 โหมดคือ
B การรักษาระดับแบตเตอรี่ตามที่กำหนดเองไว้เมื่อระบบแบตเตอรี่ต่ำถึงที่ตั้งเอาไว้ระบบก็จะติดเครื่องยนต์ใช้งานร่วมกันทันที
EL วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนตลอด
H ระบบผสมหรือว่าไฮยริดปกติ
S สปอร์ตเร่งติดเท้าพร้อมกับมีการรีเจนฯ ไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ไปในตัวแต่ไม่มากมายนัก
i สามารถตั้งค่าการขับขี่ได้แบบแยกตามต้องการของผู้ขับเอง
แล้วโหมดชาร์จไฟกลับหายไปไหน? การที่ตัดโหมดนี้ออกไปแม้ว่ารุ่นที่แล้วจะเคยมีให้ก็ตาม จากการคำนวนและทดสอบของเมอเซเดส-เบนซ์เองค้นพบว่า...การใช้น้ำมันติดเครื่องยนต์เพื่อใช้ขับเคลื่อนและปั่นไฟกลับเข้าแบตฯ นั้น ได้ไฟฟ้ากลับคืนมาในปริมาณน้อยกว่าที่เผาน้ำมันทิ้งไป นั่นคือ ทีมเทคนิคของเมอเซเดส-เบนซ์ได้ลองขับโหมดชาร์จไฟด้วยระยะทางประมาณ 250 กม. ได้ไฟกลับเข้าเพียงราว ๆ 14% แต่ต้องใช้น้ำมันไปในปริมาณที่เยอะกว่า คำนวนแล้วไม่คุ้มจึงตัดระบบออกไป
ชาร์จไฟได้ราคาถูกกว่าจะใช้น้ำมันเพื่อ?
จากคอนเซปต์ของรถยนต์ปลั๊กอินในเมอเซเดส-เบนซ์ใหม่นั้น มองว่าควรใช้พลังงานที่ประหยัดที่สุดให้ได้ระยะทางยาวที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องใช้แบตฯที่ใหญ่เกินไป ดังนั้นระบบไฮบริดใน C 350 e AMG Dynamic จึงเน้นการใช้พลังงานไฟฟ้าในคุ้มที่สุดใช้น้ำมันน้อยที่สุด หรืออย่างน้อยก็ 100 กม. หลังจากนั้นเมื่อไฟแบตฯ เริ่มน้อยลงระบบก็จะคำนวนสัดส่วนจากไฟคงเหลือเพื่อสั่งให้เครื่องยนต์ทำงานชดเชยกันไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าระดับแบตฯ จะเหลือ 0% ก็ตาม แต่ยังมีไฟค้างในระบบอยู่เพื่อสำรองไว้ให้ผสานกำลังในการขับเคลื่อนต่อไปเรื่อย ๆ สรุปคือ เน้นใช้ไฟก่อนแล้วเครื่องยนต์ทีหลังครับ
ส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะเกาะอยู่บนเพลาส่งกำลังโดยตรงไม่ต้องใช้ระบบเฟืองทด ทำให้ส่งกำลังได้แม่นยำและลดการสูญเสียกำลังโดยเปล่าประโยชน์ นับเป็นอีกจุดเล็ก ๆ ที่ทำให้วิ่งไฟฟ้าล้วนได้ไกลขึ้น และยังมีฝาครอบล้อแอโรไดนามิกส์ ที่บังคับทิศทางลมไม่ให้กระจายออกข้างรถ ทำให้กระแสลมไม่ตัดกันเองระหว่างการแหวกจากด้านหน้ารถ และยังมีช่องดักลมให้มุดเข้าในซุ้มล้อ นับเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้น
แบตเตอรี่ลูกโต 25.4 kW ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าเกือบ 2 เท่า
แบตเตอรี่ Lithium-ion เพิ่มความจุใหญ่ขึ้นถึง 25.4 kW ทำให้สามารถใช้กำลังไฟฟ้าวิ่งได้ไกลขึ้นเป็น 100 กม. จากมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จไฟทั้ง Type 2 และ CCS รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW และรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 55 kW ซึ่งวิ่งได้ไกลถึง 100 กม. (WLTP) และทำความเร็วได้ 140 กม. ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า หลังจากจะถูกล็อคความเร็วเอาไว้ เว้นแต่ผู้ขับคิกดาวน์เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นทันทีและจะดับลงเมื่อใช้ความเร็วคงที่
ชาร์จเร็วได้เต็ม 100% 30 นาที โดยใช้เวลาในการชาร์จดังนี้
AC จาก 0-100% ภายใน 2 ชั่วโมง
DC Fast Charge จาก 0-80% ภายใน 20 นาที
DC Fast Charge จาก 0-100% ภายใน 30 นาที
โช้คหลังถุงลมปรับอัตโนมัติ ห้ามเปลี่ยนล้อเชียว!
ล้ออัลลอยที่ถูกล็อคสเปคทั่วโลกใน
C 350 e AMG Dynamic ขนาด 18 นิ้ว และสเปคยางจากโรงงาน ที่ถูกคำนวนทั้งการลดแรงต้านลม และคำนวนไปถึงระบบโช้คถุงลมที่ทำหน้าที่ปรับระดับความสูงต่ำด้านหลังรถให้สมดุลย์ตามน้ำหนักหรือแรงกด ทางเมอร์เซเดสจึงไม่แนะนำให้เปลี่ยนขนาดล้อและยางที่แตกต่างจากเดิม สามารถเปลี่ยนได้แค่ลาย หรือยางที่ยังคงขนาดเดิมเท่านั้น
ระบบมัลติมิเดียแบบ MBUX เต็มคาราเบ้ล!..ฉลาดและกระหึ่มตามฟอร์ม
ระบบความบันเทิงมาเต็มคาราเบ้ล ด้วยจอสัมผัสขนาด 11.9 นิ้ว ระบบเสียงจาก Burmester® 3D surround sound system พร้อมแสดงผลการทำงานต่าง ๆ มากมายทั้งรถยนต์, ระบบเอ็นเตอร์เทนเมนท์ เนวิเกเตอร์ หรือการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานขับเคลื่อน เป็นต้น นอกจากนี้มาตรวัดยังหรูหราล้ำสมัยด้วยจอสีขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ที่เลือกรูปแบบกราฟฟิกให้น่ามองได้ 3 แบบคือ Discreet, Sporty และ Classic และยังแสดงการใช้งานระบบเนวิเกเตอร์ ระบบช่วยเหลือต่าง ๆ และเตื่อนการบำรุงรักษา ช่อง USB Type C บริเวณที่เท้าแขนสําหรับที่นั่งคู่หน้า 2 ช่อง ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารปรับได้ 64 เฉดสี (โหมด color moods 10 รูปแบบ) อ๋อแล้วยังมีซันรูฟไฟฟ้า ม่านผู้โดยสารตอนหลังและม่านไฟฟ้ากระจกหลังด้วย
ระบบการเชื่อมต่อสมบูรณ์แบบทั้ง Apple CarPlay และ Andrion Auto ครับถ้วน และยังมีเสียงคอยเตือนเมื่อขับผ่านจุดสำคัญ ๆ เช่น เขตโรงเรียน, เตือนป้ายจำกัดความเร็ว เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ระบบเล็กน้อย ๆ ที่ปรับปรุงเพิ่มเติมบ้าง และติดตั้งเพิ่มใหม่เข้าไปอีกบ้างโดยราคาที่เพิ่มนั้นน่าจะยังไม่พอขาดก็แค่ "กล้องรอบคัน 360 องศา" เท่านั้น เพราะแค่ชุดไฟหน้าอย่างเดียวก็ข้างละเแนแสนแล้วครับ
สมรรถนะการทดลองขับ
การทดสอบเริ่มต้นจากจุดปล่อยตัวบางนา กม. 30 สู่โรงแรมเรเนซองส์พัทยาระยะทางไปกลับประมาณ 200 กว่ากม. ไม่เยอะแต่ก็พอสรุปใจความได้จากการขับครั้งนี้ สมรรถนะของขุมพลังไอบริดแรงขับสนุกกดคันเร่งตอบสนองรวดเร็ว แม้ว่าจะมีอาการรอรอบและเลือกการเปลี่ยนเกียร์อยู่บ้าง ในบางจังหวะที่ต้องข้ามตำแหน่งเกียร์เช่น จาก 9 ลงมาที่ 7 แต่ก็ไม่รอนาน
ก่อนอื่นขอเล่าก่อนว่าบนพวงมาลัยจะมี Peddle shift มาให้เป็นแบบ 2 in 1 คือ เมื่อเครื่องยนต์ติดก็จะเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ แต่ถ้าวิ่งมอเตอร์ล้วน ๆ ก็จะเป็นระดับความหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับระบบตรวจจับและรักษาระยะห่างคันหน้า เมื่อมีรถความเร็วต่ำกว่า ระบบจะชะลิความเร็ซลงมาพร้อมกับคำนวนการชาร์จไฟกลับเข้าแบตฯ อัตโนมัติ ขึ้นกับความเร็วที่แตกต่างระหว่างคันหน้า ความหน่วงก็แปรผันตามไปด้วย ดังนั้น อาจจะช่วยชะลอความเร็วได้ แต่ไม่ถึงกับเป็น 0ne-pedal ครับ
ระยะขับไม่ถึง 100 กม. ตามที่เคลมแต่ใกล้เคียง
Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic เคลมว่าวิ่งไฟฟ้าล้วนได้
100 กม. ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งใกล้เคียงที่สุด ในวันที่ทดสอบนั้นสามารถทำได้ประมาณ
85 กม. จากระยะทางทั้งหมดที่จะถึงจุดหมายปลายทางร้อยกว่ากม. นอกจากกว่าจะขับออกจากจุดปล่อยตัวระดับแบตฯ ก็เหลืออยู่ 95% หรือราว ๆ 85 กม. ซึ่งหากใช้งานประจำวันน่าจะเหลือเฟือแล้วครับ
การทำงานของระบบไฮบริดใน Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic นั้นจะเน้นการควบคุมการใช้พลังงานให้น้อยที่สุดและปล่อยไอเสียให้ต่ำที่สุด เมื่อใช้งานทั่วไปในโหมด Hybrid นั้นจะเน้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก เว้นว่าต้องการกำลังเยอะขึ้นในการเร่งแซง เครื่องยนต์ก็จะติดช่วย ดังนั้นระบบไฮบริดใน C 350 e จะไม่เหมือนรถยนต์ไฮบริดทั่วไป และจะไม่มีระบบหรือโหมดในการชาร์จแบตฯ ไปขับไป เพราะจากที่ได้ทดสอบข้างต้นแล้วไม่คุ้มกับการเอาน้ำมันมาเผาในจุดนี้ เพราะว่ามีปลั๊กไฟไว้ให้ชาร์จแล้วแถมยังขับได้ไกลอีกด้วย
ความสะดวกอื่น ๆ ที่ชอบมากคือ มาตรวัดที่เปลี่ยนรูปแบบได้ เบาะปรับไฟฟ้า หน่วยความจำ ช่องแอร์สุดปสอร์ตผสานความคลาสสิค แต่สิ่งที่ขัดใจอยู่ก็คือ ปุ่มสัมผัสบนพวงมาลัยที่ใช้ยาก ต้องทำความคุ้มเคย เพราะตอบสนองไวมาก และหน้าที่เมื่อใช้งานอย่างนึงอยู่เช่น เนวิเกเตอร์ หรือ กูลเกิ้ลแม็พ เมื่อจะปรับช่องวิทยุ จะต้องกดปุ่ม "Home" รูปบ้าน เลือกสิ่งที่ต้องการก่อน จึงจะใช้งานกดบนพวงมาลัยได้ คล้ายกับว่า ปุ่มบนพวงมาลัยจะทำงานตามที่เปิดใช้หน้าจอขณะนั้น
สำหรับช่วงล่าง ระบบเบรกและการเกาะถนนอยู่ในระดับกลาง ๆ ถึงดี เมื่อเทียบรถระดับเดียวกัน แต่ให้ความนุ่มนวลในความเร็วต่ำเพิ่มเติมมาด้วย ทำให้ขับในเมืองก็ยังคงสบายตัว ขับนอกเมืองก็มั่นใจได้ พวงมาลัยที่คมกระชับเข้าโค้งได้เนียบ แต่อาจมีความไวในบางครั้ง
ประหยัดตั้งแต่ 80 กม. แรกแล้ว ที่เหลือกลับบ้านไปชาร์จซะ!
ใช่ครับ Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic เน้นการใช้น้ำมันอย่างคุ้มค่าและไฟฟ้าให้มากขึ้น หากขับระยะทางไม่เกิน 70 กม. ต่อวัน อาจไม่ได้ใช้น้ำมันเลย เว้นแต่ถ้าหลายวันเกินไประบบอาจจะติดเครื่องยนต์มาให้ทำงานบ้างเพื่อให้ระบบสมบูรณ์ปกติ แต่ถ้าใช้เกินกว่า 70 กม. ขึ้นไป อย่างน้อยก็ประหยัดน้ำมันไปได้ 70 - 80 กม. แรกแน่นอน
โดยตัวเลขในช่วงขาไปนั้นระยะทางรวมทั้งหมดราว ๆ 126 กม. วิ่งไฟฟ้าล้วนได้ 105 กม. คือ รวมทั้งหมด 2.7 ลิตรต่อ 100 กม. (37 กม.ต่อลิตร) และจากจุดสตาร์ทตอนเช้า 1.3 ลิตรต่อ 100 กม. (76 กม.ต่อลิตร) ซึ่งนับรวมช่วงจอด ช่วงขับคลาน ๆ รถเยอะ แม้ว่าไฟในแบตฯ จะหมดแต่ยังมีสำรองเอาไว้ใช้งานบางช่วงเวลาอีกด้วย ส่วนในขากลับไฟเกลี้ยงแล้วแต่ยังคงพอมีไฟให้ใช้ในความเร็วต่ำหรือช่วยลอยตัวบ้าง รวมทั้งหมด 6.8 ลิตรต่อ 100 กม. (14 กม.ต่อลิตร) และจากจุดสตาร์ทขากลับ 4.7 ลิตรต่อ 100 กม. (21 กม.ต่อลิตร) จะเห็นว่าแม้แบตฯ จะหมด แต่ก็ยังมีไฟให้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยขับขี่จึงทำตัวเลขออกมาสวยหรูได้ระดับนี้กับรถขนาดสองร้อยกว่าม้า ถือว่าประหยัดมากแล้วครับ
แต่สิ่งที่ทางเมเซเดส-เบนซ์ อยากจะเน้นย้ำมากกว่าความประหยัดคือ ความสนุก สมรรถนะ ของความเป็นรถผสมเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่คุ้มค่าต่อการใช้งานได้ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าล้วนและรถยนต์ปกติ ขึ้นกับว่าจะเลือกใช้งานลักษณะได้ รถยนต์ 2 in 1 แบบนี้จากรถหรูหราสมรรถนะเยอรมันในราคา 3,350,000 บาท แพงหรือไม่ต้องไปลองเองครับ