Honda Civic e:HEV RS ฟิลลิ่งแบบรถยนต์ไฟฟ้าประหยัดกว่า 21 กม.ลิตร!

Honda Civic e:HEV RS รถยนต์ซีดานไฮบริดใหม่ล่าสุดตัวเลือกที่น่าสนใจมาแทนที่ Turbo RS เดิมที่ตัดออกไป แม้ดูเหมือนค่าตัวมากถึง 1,259,000 บาท แต่บวกเพิ่มอีกเพียง 60,000 บาท แถมได้ระบบ Full-Hybrid กับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรที่มีการปรับปรุงใหม่ แบบเดียวกับใน Accord e:HEV หรือถ้าเทียบกับ Civic Hatchback RS โฉมก่อนหน้านี้ที่ราคา 1,229,000 บาท ก็ถือว่าเจ้า Civic e:HEV ไม่แพงเลยกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ให้มาแบบคุ้มค่า

 

Honda Civic e:HEV RS นับเป็นรุ่นที่ใช้พื้นฐานร่วมกับ Civic ทุกรุ่นย่อยที่มี Honda SENSING มาครบถ้วน จะแตกต่างเพียงตราสัญลักษณ์โลโก้ "H" สีฟ้า โลโก้ "e:HEV" ล้ออัลลอย 18 นิ้วและยางเทพอย่าง Michelin Pilot sport4 ปลอกท่อไอเสีย 

 

ภายในมาตรวัดจอแสดงผลแบบ TFT 10.2 นิ้ว ที่มีรายละเอียดการทำงานของระบบไฮบริดที่ปรับได้ 2 รูปแบบ เพิ่มโหมดการขับขี่แบบ "Sport" ขึ้นมา พร้อม Honda Smart Key Card ใช้การ์ดแทนกุญแจได้ แอร์แบบปรับอุณหภูมิ แยกอิสระซ้าย/ขวา เบาะหนังกลับและวัสดุหนังสังเคราะห์ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง จอกลางความบันเทิงขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สาย และ Android Auto 

 

สมรรถนะของพลังไฮบริดใน Civic e:HEV RS ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร Atkinson cycle ผสานมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังเครื่องยนต์ 141 แรงม้า ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวรวมอีก 184 แรงม้า แบตเตอรี่แบบ 72 เซลส์ ขนาด 1kWh แรงบิดเมื่อรวมทั้ง 2 ระบบอยู่ที่ 315 นิวตันเมตร ผ่านเกียร์ E-CVT ซึ่งระบบจะมีการทำงานโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนในการเริ่มเคลื่อนตัวเป็นหลัก

 

ดังนั้นการเร่งออกตัวหรือเร่งแซงจะมีความรู้สึกคล้ายกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน เมื่อแตะคันเร่งรถจะตอบสนองทันทีไม่มีอาการรอรอบเลย หรือแม้ว่าบางจังหวะมีการผสานทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ก็ยังราบรื่นและตอบสนองฉับไวมาก จนบางครั้งเหมือนกับกำลังขับรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ 

 

สำหรับการขับขี่เลือกได้ 3 โหมดทั้ง Sport, Normal และ ECO โดยโหมด Sport นั้น จะช่วยให้คันเร่งตึงขึ้นหรือการตอบสนองมาไว้ทันใจขึ้นไปอีก แต่ก็แลกกับเครื่องยนต์ที่ต้องติดขึ้นตลอดเวลา เพื่อช่วยเพิ่มพลังร่วมกับมอเตอรืไฟฟ้าและปั่นไฟไปพร้อมกัน ส่วนโหมดปกติหรือ Normal นั้น ส่วนตัวชอบมากที่สุดเพราะใช้งานง่ายไม่ต้องคิดเยอะ เหยียบน้อยประหยัด เยียบแรงก็พุ่งตามเท้าไม่แพ้ แถมประหยัดอีกด้วย และในโหมดที่ไม่ค่อยชอบคือ Eco เพราะว่าคันเร่งตอบสนองช้าและอืดไม่ทันใจ ซึ่งอาจจะประหยัดกว่าโหมดอื่นไม่ต่างกันมากนัก

อัตราเร่งช่วงออกตัวนับว่ามารวดเร็วทันใจไม่รอนาน แต่ในจังหวะคิกดาวน์นั้นแม้จะตอบสนองได้รวดเร็ว แต่ก็จะมีช่วงกลาง ๆ ของรอบเครื่องยนต์ที่มีอาการหนืด ๆ ลงกว่าตอนกดคันเร่งสุดในครั้งแรก ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนก่อนและตามด้วยเครื่องยนต์ แต่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมด้วยกลับมีการ "รอรอบ" และลากรอบตามนิสัยของเครื่องยนต์ NA (ไม่มีเทอร์โบ) และเมื่อรอบเครื่องยนต์อยู่ในช่วงที่มีกำลังแล้วจึงให้กำลังเต็มที่และพุ่งตัวไปอย่างทันใจ พร้อมกับระบบสร้าง "เสียงสังเคราะห์" เพิ่มความเร้าใจ 

แต่ว่า..ขบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่นานเกินเสี้ยววินาทีนะครับ แต่ก็พอจะรู้สึกได้อยู่ว่า "ช่วงเร่งตอนแรกพุ่งและหนืดและก็พุ่งต่อไปอีก" ทางด้านหลังพวงมาลัยจะมี Paddle shift ที่ใช้เพื่อลดหรือหน่วงความเร็วลงเพื่อเก็บชาร์จไฟคล้ายในรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะไม่หน่วงมาจนรถเบรก เพียงแค่ชะลอมากหรือน้อยโดยสามารถเลือกระดับความหน่วงได้ 4 ระดับ 

 

ระบบช่วงล่างต้องบอกว่า "เอาไม่ค่อยอยู่" เมื่อขับความเร็วสูง ๆ มีอาการเบาหวิวต้องเกร็งมือเพื่อควบคุมพวงมาลัย ยิ่งมีการเปลี่ยนเลนต้องระวังมากขึ้น เพราะตัวรถจะโยนไปมาและเมื่อขับผ่านรอยต่อของถนนนั้น รถจะมีอาการกระโดดคล้าย "เรือโต้เคลื่อน" เนื่องจากน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้น แม้ทางวิศวกรจะแจ้งว่าปรับปรุงค่าความแข็งของสปริงแล้วก็ตาม แต่ยังคงรู้สึกว่าโช้คนิ่มเกินไป แต่ในความเร็วต่ำ ๆ กลับแข็งกระด้าง ซึ่งนับว่าแปลกมาก

 

 

แต่ในความเห็นส่วนตัวนั้นอาจจะเป็นเนื่องจากยางแก้มเตี้ยเพียง 40 จากยางขอบ 18 นิ้ว ที่รับแรงกระแทกได้น้อยกว่ายางแก้มหนา เป็นเพราะน้ำหนักแบตเตอรี่ที่เพิ่มมาบวกกับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรที่ใหญ่ขึ้น และการบาลาซน์น้ำหนักด้านหน้าและหลังอาจจะยังไม่ได้ละเอียดมากพอก็เป็นได้ทำรถมีอาการ "โต้คลื่น" เมื่อใช้ความเร็ว และในขณะเดียวกัน "เสียงยาง" เข้าในห้องโดยสารค่อนข้างดัง" โดยเริ่มมีเสียงเข้าตั้งแต่ความเร็ว 60 กม./ชม. ขึ้นไป ในส่วนตรงนี้ยังไม่มั่นใจนักว่าเกิดจากลมยางที่แข็งเกินไปหรือว่า การเก็บเสียงและยางมีปัญหาหรือไม่ อาจคงต้องรอคำตอบอีกครั้งจากทางฮอนด้าครับ ส่วนเรื่องเสียงลมเข้า เครื่องยนต์นั้นเงียบก็เพียงเรื่องเสียงยางหอนเข้าเท่านั้นครับ 

 

ความสะดวกสบายเริ่มด้วยกระจกคู่หน้าขึ้น-ลงอัตโนมัติ เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า (แต่ไม่มีดันหลัง) ติดตั้งสวิตช์สั่งล็อกประตูคู่หน้า พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทางทำให้หาตำแหน่งหรือท่านั่งได้สบายตั้งแต่ครั้งแรกที่ขับ ตำแหน่งคันเกียร์สูงดี ใช้ง่ายและที่เท้าแขนอยู่ระดับพอดี ตำแหน่งแป้นคันเร่งและเบรกอยู่ในระดับที่ใกล้กันแต่ไม่เกะกะเวลาต้องเหยียบกระทันหัน สวิตช์ควบคุมล็อคประตูมีให้ทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า 

 

ระบบแอร์อัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์ตอนหลัง เบาะด้านหลังปรับพับได้ แต่ติดตรงที่ไม่สามารถใช้งานได้จากในห้องโดยสารเพราะว่าจุดดึงสลักล็อกเบาะอยู่ที่ท้ายรถต้องเปิดกระโปรงท้ายถึงจะใช้งานได้ และระบบกล้องแสดงภาพมุมอับสายตาที่ให้มาเพียงฝั่งซ้ายที่ภาพไม่คมชัดมากนัก 

 

ระบบความภัยนี้ช่วยเหลือการขับขี่ได้โดยส่วนตัวนั้นชอบ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (ACC with LSF) มากที่สุดใช้ง่ายและฉลาดพอควร และบนมาตรวัดยังแสดงรายะลเอียดการทำงานของระบบนี้ได้ดี ต่อมาคือระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS) ยิ่งเหมาะกับการขับทางไกลช่วยป้องกันการเผลอออกนอกเลนได้ดีและยังมีระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (RDM with LDW) อีกด้วย

 

ถ้าคนที่ต้องการรถยนต์ที่ขับสนุก คล่องตัว ตัวรถขนาดกลาง ๆ แบบลุกสปอร์ต ใช้คนงานเดียวหรือเที่ยวทั้งครอบครัวก็กว้างขวางนั่งได้สบาย ให้อัตราเร่งทันใจคล้ายรถยนต์ไฟฟ้าแต่ไม่ต้องชาร์จไฟและยังให้ความประหยัดเมื่อขับในเมืองแบบฟูลไฮบริดระดับ 20 กม./ลิตร++  แถมมีระบบความปลอดภัยอัดแน่นในราคา 1,259,000 บาท นับว่าไม่สูงเกินไปกับสมรรถนะและเทคโนโลยีที่อยู่ใน Honda Civic e:HEV RS คันนี้ครับ