ปัจจุบันจะเห็นว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์นั้นง่ายมากไม่ว่าจะซื้อรถเก่ามือ 2 หรือรถยนต์ใหม่ป้ายแดง มีแคมเปญที่ชวนให้ออกรถง่ายมากขึ้น และที่แย่ไปกว่านั้นการได้ใบขับขี่ ง่ายมากขึ้น แค่ไปเรียนสอนขับรถตามสถานที่ต่าง ๆ จบแล้วพาไปสอบพร้อมใบขับขี่ ยังขับรถไม่ทันคล่องหรือชำนาญมากพอ และความศักดิ์สิทธิ์ของการได้มาซึ่งใบขับขี่นี้ค่อย ๆ ลดลงไปทุกวัน นอกจากนี้บางคนซื้อรถก่อนจะมีใบขับขี่และ/หรือก่อนจะขับรถเป็นด้วยซ้ำไป ปัญหาที่ตามมาคือ การไม่มีวินัยไม่เคารพกฎกติกา กฎจรจรา การไม่ใส่ใจ ขาดสติ หรืออาจจะมีประสบการณ์น้อยหรือไม่มีเลย แต่ก็กล้าที่จะออกถนนกันแล้ว
รถยนต์ = อาวุธ..??..
รถยนต์มีประโยชน์ในการใช้เดินทางทำธุระได้สะดวกมากขึ้น แต่ถ้าขับรถยนต์โดยขาดสติหรือมีความประมาทย่อมส่งผลเสียกลับมาอย่างมากมาย "รถยนต์ = อาวุธชนิดหนึ่ง - ถ้าใช้งานไม่เป็นหรือประมาท ย่อมฆ่าคนได้!!!... ขอยกคำพูดจาก อาจารย์ "บอย" วรพล สิงค์เขียวพงษ์ กูรูด้านรถยนต์ท่านหนึ่ง (ที่ผู้เขียนเองเคยได้ร่ำเรียนวิชาและร่วมงานกันมาครับ)
รถยนต์ควบคุมโดยมนุษย์เป็นหลัก (ไม่รวมที่มีระบบ Aoto Pilot) ตั้งแต่เปิดประตู สตาร์ทเครื่องยนต์และขับออกไป ล้วนควบคุมโดยมนุษย์ทั้งสิ้น หากขับรถอย่างมีสติ ไม่ประมาทรักษากฎหมายและมีมารยาทให้กันรถยนต์คือเป็นวิ่งที่ปลอดภัย แต่ในทางตรงกันข้ามหากใช้รถกันแบบผิดวิธี ขาดสติ แข่งหรือซิ่งในถนนสาธารณะหรือดื่มแอลกอฮอล์ ก็จะกลายเป็นอาวุธทำร้านผู้อื่นโดยทันทีครับ
ใช่ครับรถยนต์หรือจะเป็นสิ่งของที่สามารถทำให้ผู้อื่นเกิดความเดือดร้อนเสียหายได้ก็ย่อมเปรียบได้กับอาวุธชนิดหนึ่ง ดั่งคำโบราณว่าไว้ "เมื่อขับรถนั้น ขาเหยียบตารางแล้ว 1 ข้างเสมอ" (แก่ไปไหม) เพราะว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์หรืออุบัติเหตุย่อมมีผู้ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์กันเอง รถจักรยานยนต์หรือคนเดินถนน โดยเฉพาะหากตกลงกันไม่ได้ก็ย่อมมีคดีความเกิดขึ้น และยิ่งถ้ามีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตยิ่งลำบากขึ้นไปอีก ดังนั้นการจะขับรถยนต์จะต้องเข้าใจกับผลที่จะตามมาเอาไว้ด้วยครับ
พร้อมขับ...
ขับรถได้ & ขับรถเป็น ไม่เหมือนกัน? การขับได้เช่น สตาร์ท เข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง หมุนพวงมาลัย เบรก เลี้ยว นั่นคือขับได้ ส่วนการขับเป็นนั่น ในมุมมองของผู้เขียนเองควรจะรวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ นอกจากใช้อุปกรณ์ในรถตัวเองได้แล้วอย่างเช่น การรอจังหวะต่าง ๆ ทั้งเลี้ยวออกจากซอย เปลี่ยนเลน การกะระยะเบรก ระยะห่างของรถแต่ละคัน การมองไกลเกินกว่ารถคันที่อยู่หน้าเรา หรือการใช้สัญญาณไฟเลี้ยว ไฟสูง ไฟฉุกเฉิน และการมองกระจกข้างก่อนเปลี่ยนเลนให้เป็นด้วยว่ารถที่กำลังขับมานั้นอยู่ในระยะปลอดภัยหรือไม่ ใช้ความเร็วมากน้อยเพียงใด เป็นต้น และรวมถึงการมีมารยาทกับการมีสำนึกที่จะนึกถึงผู้ร่วมทางอีกด้วย
พร้อมใบขับขี่...
ก่อนจะซื้อรถหรือขับรถออกถนนใหญ่ ควรจะไปหัดขับให้คล่องก่อน อย่างเช่นผู้เขียนเองยอมรับว่ากว่าจะออกถนนใหญ่ได้ฝึกขับหัดเดินหน้าถอยหลัง แต่ในหมู่บ้าน ตรอกซอกซอย อยู่หลายปีเลยทีเดียวครับ หรือแนะนำว่าจะไปเรียนตามสถานที่ฝีกขับรถหรือหัดเองก็ย่อมได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้อง "ขับเป็น" นั่นคือ เรียนรู้และเข้าใจการใช้งานของอุปกรณ์ในรถยนต์ กฎจราจรต่าง ๆ อย่างจริงจัง การใช้สัญญาณไฟที่ถูกต้อง มีจิตสำนึก มารยาท ความรับผิดชอบต่อผู้อื่นและต้องมีสติไม่ประมาท
ส่วนการขับรถคล่องคือ คุณจะต้องออกรถหรือใช้เบรกได้อย่างนุ่มนวล การหมุนพวงมาลัย การเรียนรู้เมื่อพวงมาลัยคืนกลับ ต้องควบคุมอย่างไร การเลี้ยวเข้า-ออกซอยหรือถนนแคบ ๆ การเลี้ยวกลับรถ การตีวง การขับให้อยู่ช่องทางของตัวเอง รวมถึงการใช้สัญญาณไฟเลี้ยวอีกด้วย ซึ่งการขับคล่องนั้น ไม่ใช่การขับรถได้เร็วกว่าคันอื่น ขับมุดหรือซอกแซกบนถนนอย่างเมามันหรือขับเร็วในซอยแคบ ๆ ได้ นั่นคือ ความประมาทล้วน ๆ ครับ
พร้อมเอาตัวรอดให้ปลอดภัย...
การขับรถได้อย่างเดียวอาจยังไม่พอควรจะต้องเพิ่มทักษะ "การเอาตัวรอด" จากเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ เบื้องต้นเอาไว้ด้วยตัวอย่างเช่น
เมื่อรถคันหน้าเบรกกระทันหัน วิธีแก้ไขคือ เบรกให้เป็นให้ถูกจังหวะ ไม่ตกใจ ตั้งสติ และสายตาต้องไว้มองกระจกข้างและมองหลังเพื่อที่จะหาจังหวะในการหักหลบ (ถ้าทำได้แล้วแต่กรณีไปนะครับ) แต่ความเป็นจริงก็ไม่ควรขับจี้ท้ายคันหน้ามากไป เป็นต้น
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น ให้ลองนึกดูว่าขณะที่กำลังขับในอยู่นั้นผู้ขับขี่เองมีความรู้สึกเกิดความกลัวกังวลหรือไม่ ถ้าขับรถจี้ท้ายคันหน้ามาก ๆ กลัวว่าจะเบรกไม่ทันหรือไม่? ถ้าขับเข้าทางโค้งเร็ว ๆ มีความกลัวที่จะแหกโค้งหรือไม่? ถ้ากำลังขับอยู่เลนขวาสุดแล้วจะตัดเข้าซ้ายสุดอย่างกระทันหันรถคันหลังจะชนหรือไม่? ฯลฯ
พร้อมทุกข้อจำกัด...
การรู้ข้อจำกัดคนและรถยิ่งช่วยให้ใช้รถได้อย่างมั่นใจมากขึ้น หากกำลังใช้ความเร็วสูงผ่านเข้าทางโค้งมาก ๆ และเป็นทางลาดลงเนิน ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าควบคุมรถได้จริงหรือ? และถ้าควบคุมได้แล้วตัวรถจะไปไหวหรือ? สภาพยางกับผิวถนนลื่นหรือไม่อย่างไร มีรถเยอะแค่ไหน?...
ผู้ขับขี่ต้องประเมินด้วยครับว่าตัวเรามีความชำนาญพอที่จะขับผ่าน ณ จุดนั้นได้อย่างมั่นใจและรถที่ขับมีสภาพหรือสมรรถนะที่ดีพอให้เราขับไปได้แค่ไหนอีกด้วย เช่น ใช้รถปิคอัพยกสูงใส่ยาง AT แต่จะเข้าโค้งตัวยูที่ความเร็ว 90 กม./ชม. ย่อมเป็นอันตรายกว่าใช้ความเร็วต่ำ ๆ กว่าแน่นอนครับ แม้คุณจะเข้าข้างตัวเองว่า "ฉันเคยขับรถสปอร์ตในความเร็วนี้ได้" ก็ตาม.....เดี๋ยวๆๆๆ !!! ก่อนมันใช่หรือ????
พร้อมทั้งใจและกาย...
แม้ว่าคุณจะมีความพร้อมในหลาย ๆ ด้านครบถ้วนแล้ว แต่หากสภาวะจิตใจและร่างกายไม่พร้อมก็ไม่ควรขับรถ เช่น ภาวะอกหักรักคุด เหมอลอย จิตใจย้ำแย่ กำลังโศกเศร้า หรือไม่สบายตัวร้อนเป็นไข้ ไอ้หนักมาก ย่อมส่งผลทันทีในการขับรถหรือตัดสินใจต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ เพียงคุณหลับตาแค่เลี้ยววินาทีตอนไอหรือจาม ก็อาจเกิดอะไรขึ้นได้ นอกจากนี้หลังจากเล่นกีฬาหนัก ๆ แล้วมาขับรถก็อาจเกิดตะคริวได้ และเล่นโทรศัพท์ขณะขับรถก็อันตรายไม่แพ้กันครับ และดื่มก็ต้องห้ามขับเด็ดขาดนะครับ!
พร้อมพัฒนา...
เมื่อขับรถเป็นแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะเก่งไปทุก ๆ สิ่ง ผู้ขับจำเป็นต้องเรียนรู้ ปรับตัว แก้ไขพร้อมที่จะพัฒนาฝึกฝนทักษะการขับรถให้ดีและปลอดภัยขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ฝึกการเลี้ยวรถหักศอกอย่างไรให้ผ่านในครั้งเดียว หรือการรู้จักตีวง และการตีวงเลี้ยวก็ต้องไม่ไปเกะกะรถคันอื่น ๆ อีกด้วย การขับออกจากซอยให้ถูกช่องทาง การเปิดไฟเลี้ยวก่อนถึงทางเลี้ยวในระยะไม่ต่ำกว่า 30 เมตร หรือการถอยหลังเข้าจอดในช่องแคบ การจอดรถแบบขนาดริมฟุตบาท เป็นต้น ของอย่างนี้ต้องฝึกฝนให้ชำนาญเพิ่มขึ้นด้วยครับ
พร้อมมารยาท....
ข้อนี่ขอเน้นย้ำเรื่องมารยาทในการใช้รถใช้ถนน ไม่ว่าคุณจะขับรถเก่งกาจ ขับมา 30-40 ปี จนชำนาญแค่ไหน แต่สิ่งที่ต้องใช้ควบคู่กันคือ มารยาทในสังคมบนถนน เช่น การใช้สัญญาณไฟเลี้ยว การขับให้ตรงช่องทาง การเคารพสัญญาณไฟ เคารพป้ายจราจร ไม่มักง่าย ย้อนศร เบียด ปาด คร่อมเลน แซงไหล่ทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขับช้ากว่าคันอื่นแล้วยังจะแช่ขวา ตามกฎจราจรช่องขวามีไว้แซง (แต่เค้าก็อะลุ่มอล่วยแหละ) และขับช้ากว่าคันอื่นให้ชิดซ้าย แม้คุณจะขับอยู่ที่ 200 กม./ชม. หากมีรถคันหลังจะแซงก็ต้องหลบซ้าย ส่วนคันที่ขับ 200 กม./ชม. ก็ปล่อยเขาไปให้ไปจ่ายค่าปรับขับเกินกำหนดเอาเอง เข้าใจตรงกันนะครับ!
พร้อมดูแลสภาพรถ...
พร้อมสุดท้ายคือ การพร้อมที่จะดูแลเรื่องความพร้อมของรถยนต์ที่คุณขับในเลเวลเบื้องต้น เช่น ตรวจสภาพระบบไฟรอบ ๆ คันว่าไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ฯลฯ อยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ ยางอ่อนยางแบนหรือไม่ ชิ้นส่วนตัวรถหลุดร่วงหล่นหรือไม่ สภาพเครื่องยนต์มีควันขาว-ดำ มีคราบน้ำมันเครื่องหยดลงพื้นหรือไม่ เป็นต้น เพราะมันคือ หน้าที่รับผิดชอบของเจ้าของหรือผู้ขับรถคันนั้นโดยตรงนั่นเองครับ
พร้อมที่จอดรถ...
เมื่อมีรถแล้วก็ควรมีที่จอดปลอดภัยและไม่รบกวนผู้อื่น อาจจะเป็นในบ้าน หน้าบ้านตนเองก็ได้ หรือในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดริมทาง ในซอย ริมถนนก็ต้องเลือกจุดจอดที่ไม่ไปรบกวนผู้อื่นหรือทางเข้า-ออกบ้านคนอื่น และต้องยอมรับความเสี่ยงด้วยว่าอาจเกิดอันตรายหรือบางจุดที่ผิดกฎจราจราและยังเสี่ยงรถคันอื่นมาเฉี่ยวชนหรือถูกโจรกรรมอีกด้วย
บ่นมาซะยาว..สรุปใจความว่า มีรถเมื่อพร้อม..นั่นคือ
- ขับรถให้ชำนาญก่อนจะทำใบขับและออกถนนใหญ่จะได้ไม่ไปเป็นภาระของรถคันอื่นบนท้องถนน
- เคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด จอดทางม้าลายเมื่อมีคนข้าม (เมื่อดูว่าปลอดภัย) ไฟเหลืองให้เตรียมหยุดไม่ใช่เตรียมเร่ง
- ใช้มารยาทในการขับรถให้ถูกต้อง ไม่เบียด ปาด แทรก ขับให้ตรงช่องทางของตัวเอง ไม่วิ่งไหล่ทาง ไม่แช่เลนขวาและเปิดไฟเลี้ยวเมื่อจะเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน
- เช็คสภาพรถและคนขับให้พร้อมก่อนเดินทาง
บทความนี้เป็นเพียงการรบรวมปัญหาส่วนใหญ่ที่เจอบนท้องถนน อาจจะไม่มีสิ่งถูกหรือผิด ไม่มีเจตตนาพาดพิงใครทั้งสิ้น และการขับรถให้ถูกต้องปลอดภัยนั้นอาจมีสาเหตุหรือปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย และบทความนี้ไม่ได้จงใจจะดูหมิ่นใคร เพียงหวังให้ร่วมกันใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยมากที่สุด เมาไม่ขับ ขับไม่เร็ว ไม่ประมาทกันนะครับ
ภาพประกอบบางส่วนจาก เพจเฮียขับรถ และ เฮ้ยนี่มันฟุตบาทไทยแลนด์