ประเมินวงเงินรู้ผลใน 3 นาที

กับ กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท

เริ่มประเมินวงเงินพร้อมสตาร์ท
ผ่านมือถือ สแกนเลย

ดูวงเงินพร้อมสตาร์ทที่ได้รับ

x
icon-filter ค้นหารถยนต์
product filter
product filter
product filter
product filter
product filter

เที่ยวจุดเช็คอิน "น่าน" ต้องไปให้ถึง!!!

icon 18 เม.ย. 65 icon 3,636
เที่ยวจุดเช็คอิน "น่าน" ต้องไปให้ถึง!!!
ช่วงอากาศดี ๆ แบบนี้หลายคนต้องมีทริปในใจหรือเตรียมการวางแผนเที่ยวช่วงหยุดยาว โดยในช่วงปลายปี 64 นี้อากาศเย็นเกินคาดก่อนที่จะกลับมาร้อนอีกครั้ง และหนึ่งในจังหวัดที่น่าไปชิวเอ้าท์ปะทะความเย็นระดับเลขตัวเดียวก็คือ "น่าน" จังหวัดที่มีพื้นที่ธรรมชาติมากโดยเฉพาะ "บนดอย" หรือเทือกเขาของอุทยานภูคา ทั้งบ่อเกลือและสะปัน ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเดียวที่ไม่มี "7-11" แต่ส่งเสริมให้คนในพื้นที่ได้ทำกิจการกันเอง 
ทริปนี้ต้องขอบคุณรถกระบะนิสสัน นาวาร่า ดับเบิ้ลแค็ป รุ่น VL ขับเคลื่อน 4 ล้อ (ขายของนิดนึง) ที่เอื้อเฟื้อให้ได้สัมผัสความมันสนุกสงบและตื่นเต้นของการเดินทางไปจังหวัดน่านในครั้งนี้
หลายคนคงเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดน่านบ่อยและอาจจะรู้เส้นทางและจุดท่องเที่ยวอย่างช่ำชองแล้ว ส่วนในบทความนี้ขอเป็นการแนะนำสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยหรือไปมาบ้างแต่นานแล้วหรืออาจจะกำลังหาข้อมูลในการเดินทางอาจมีข้อมูลที่ไม่เป็นทางการนักเรียกว่าไปเที่ยวแบบไม่ได้วางแผนมากนักก็ได้ครับ 
แพลนในการเดินทางกรุงเทพฯ - ตัวเมืองน่าน เวลาคร่าว ๆ 9 ชม. ขึ้นกับปริมาณรถ ใช้ความเร็ว (พยายาม) ไม่เกิน 120 กม./ชม. และในบางเส้นทางที่มีกำหนดเช่น 90 บ้าง หรือ 60 บ้างก็มี!!! เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย.....  ยังไม่รวมจอดแวะพักคนขับตามปั้มต่าง ๆ แวะซื้อกาแฟ และรับประทานอาหารเที่ยง 1 มื้อ ใช้เวลาเที่ยวตลอดทริปรวม 4 วัน 3 คืน
วันที่แรก กทม. - อุตรดิตถ์ เฮือนลับแล อร่อยบรรยากาศดีงาม... 
เริ่มออกเดินทางที่บ้านพักย่านรามอินทราจากกรุงเทพฯ เวลา 05.30 น. ช้ากว่าที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะออก 05.00 น. ตรง 
กทม.-น่าน​ แต่ในการเดินทางจริงจัดไป 11​ ชม. และ​แวะปั้มบ่อย ใช้เส้นทางหมายเลข 32 หรือที่มี Porto Go บางปะอินดักอยู่นั่นแหละครับ ขับตามถนนนี้ไปเรื่อย ๆ จนผ่านอยุธยา-ชัยนาท-อุทัยธานี-นครสวรรค์ โดยตั้งใจว่าจะแวะทานมื้อเที่ยงแต่เวลายังไม่ใกล้เที่ยงจึงเดินทางต่อไปโดยในช่วงนี้จะต้องใช้เส้นถนนหมายเลข 117 ผ่านพิษณุโลกและกลับมาเป็นถนนหมายเลข 11 ไปจนไปถึงจังหวัดอุตรดิตถ์แวะรับประทานอาหารที่ร้านดัง (เสริท์เจอ) เฮือนลับแล ทางไปน้ำตกแม่พูล 
หลังจากนั้นออกเดินทางต่อด้วยถนนหมายเลข 101 ผ่าแพร่และมุ่งหน้าสู่ ที่พักน่านวรรณวัตร รีสอร์ท อ. ภูเพียง ใกล้ ๆ กับตัวเมือง และขับรถไปกินมื้อเย็นที่ร้านอาหาร "สวนสะเนียน" ริมแม่น้ำน่าน ต่อจากนั้นต้องไม่พลาดไปเดินเล่น "ถนนคนเดินกาดข่วงเมืองน่าน" นั่งฟังเพลงเพลิน ๆ รับลมเย็นใกล้วัดภูมินทร์ และกลับที่พักรวมระยะทางประมาณ 680 กิโลเมตร น้ำมันลดลงจากเต็มถังมาอยู่ที่ต่ำกว่าครึ่งเล็กน้อยครับ 
วันที่สองขึ้นดอย - ร้านหัวสะพาน - สะปัน - เปียงซ้อ - นอนเต้นที่ 11 องศา 
วันที่สองเตรียมขึ้นดอยจากที่พักน่านวรรณวัตรใช้เส้นทาง 1168 แวะเติมน้ำมันให้เยอะเข้าไว้เพราะบนเขาแถบจะไม่เจอปั้มและปั้มส่วนมากเป็นปั้มเล็ก ๆ อีกด้วย ขับไปตามทางจะมีร้านสวย ๆ ให้แวะถ่ายรูปเยอะแยะมากมาย ร้านแรกที่ปักหมุดเอาไว้คือ "คำหวาน" แต่เมื่อไปถึงกลับมีปริมาณคนเยอะกว่ากติจึงเลยผ่านไป เรื่อย ๆ ไปสะดุดกับร้านกาแฟ "คุ้มเวียงพิงค์" ที่จะมีระเบียงยื่นออกไปให้ถ่ายรูปวิวสวย ๆ
จากนั้นก็ขับไปอีกสักพักก็เจอร้านดังอีกแล้วนั่นคือ Nan Native Kew Muang by Chef First ที่ออกรายการ Mastor Chef Thailand (แต่ตัวไม่อยู่) สั่งพิซซ่า และกาแฟลาเต้ร้อน พร้อมกับชาร้อน ๆ แต่เมื่ออาหารมาถึงด้วยอากาศที่เย็นพอสมควร พิซซ่าและกาแฟจึงไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ แต่รสชาติอร่อยสมคำล่ำลือจริง ๆ ครับ 
หลังจากนั้นเดินทางต่อไปอีกจนถึงทางแยกตัดเข้าถนนหมายเลข 1081  ไปทางบ่อเกลือ และเมื่อขับไปตามทางคดเคี้ยวเรื่อย ๆ ก็จะถึงจุดชมวิวหรือ "ถนนหมาย 3" ที่ถ่ายภาพความโค้งของถนน แต่เมื่อไปถึงกลับต้องตกใจเพราะปริมาณคนเยอะกว่าที่คิดทั้งที่เป็นวันธรรมดากลางเดือนธันวาคม และไม่สามารถจอดรถเพื่อถ่ายรูปได้ จึงต้องเลยผ่านไปแบบแอบเซ็งเล็กน้อย แต่ถนนสวยดีครับ
ขับไปตามเส้นทางคดเคี้ยวเรื่อย ๆ ก็จะผ่านร้านกาแฟสวย ๆ เพียบเลือกได้ตามใจชอบ ก็จะเจอ "โค้งเลขศูนย์" ที่ตามรีวิวท่องเที่ยวชอบลงรูปสวย ๆ และแน่นอนว่าต้องยืนที่จุดถ่ายโค้งที่มีเตรียมเอาไว้จึงจะได้ภาพสวยอย่างที่เค้าว่าจริง ๆ  ยกเว้นถ่ายมุมอื่นก็จะประมาณว่า...คันดินธรรมดานี่เอง...แต่สิ่งที่สวยกว่าการถ่ายโค้งที่มีกำแพงดินก็คือ วิวด้านนอกของโค้งที่สวยงามไม่ใช่เล่นเลยครับ 
ต่อจากโค้งเลขศูนย์ก็จะผ่าน "จุดชมวิวกม.48 โครตสูงหลักลายรอยต่ออำเภอปัวอำเภอบ่อเกลือ" ซึ่งคนเยอะเช่นกันจึงต้องผ่านไปจนเจอจุดชมวิวอีกที่คนน้อยดีจึงได้ลงไปถ่ายรูปวิวสวย ๆ ของเทือกเขา ก่อนจะเดินทางต่อไป
ขับถึงอีกไฮไลท์ที่หลายคนรวมทั้งผมเองก็ต้องการจะถ่ายรูปจุดนี้นั่นคือ "โค้งพับบ่อเกลือ" แต่เมื่อไปถึงก็ต้องผิดหลังอีกแล้ว เนื่องจากลานจอดรถ ด้านข้างที่เป็นจุดถ่ายเห็นถนนโค้งไปมาสลับกันนั้น ปิดซ่อมพื้นที่อยู่รถไม่สามารถจอดได้อีกแล้ว จึงต้องเลยผ่านไปแบบงง ๆ และมุ่งหน้าหามื้อกลางวันที่ร้านอาหารดังที่เสิร์ทเจอ (อีกแล้ว) ชื่อ "ร้านหัวสะพาน" บริเวณใกล้ ๆ กับบ่อเกลือสินเธาว์ภูเขา จัดเมนูเด็ด "ไก่เมาโค้ง" เวลาประมาณ 14.00 น. รวมระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชม.รวมแวะจุดต่าง ๆ ด้วยครับ
เมื่อทานกลางวันเสร็จก็เดินทางไปยังที่พักด้วยถนนหมายเลข 1081 เส้นเดินและไปเลี้ยวขวาเข้าสู่ "บ้านสะปัน" เมื่อเข้าไปก็ต้องตะลึก (อีกแล้ว) เพราะว่ามีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมดรถเยอะพอสมควรและที่พักเต็มทุกที่ จนต้องค่อย ๆ ขับมาจนถึงที่พักที่สอง คือ สะปันดีวิว รีสอร์ท เวลาประมาณ 16.00 น. ระยะทางประมาณ 8.8 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
เส้นทางทดสอบพิเศษ "เปียงซ้อ"
ในเมื่อพาหนะที่ขับมาเป็นรถกระบะนาวาร่า 4X4 จึงอดไม่ได้ที่หาทางไปทดลองและถือโอกาสขับชมวิวไปด้วย จึงลองค้นหาว่ามีดอยไหนที่ใกล้ใช้เวลาน้อยที่สุดเพราะถึงที่พักค่อยข้างเย็น จึงได้เจอกับ "จุดชมวิวบ้านเปียงซ้อ" เป็นหมู่บ้านของชาวลัวะ หรือละว้า ซึ่งมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1081 ปัว อำเภอ เฉลิมพระเกียรติ ที่เป็นจุดชมวิวสูงที่สุดของที่นี่ (เค้าว่างั้น)
ซึ่งเส้นทางดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเพียงแค่ 30 กิโลเมตร แต่บันเทิงมากมายและแนะนำว่าควรต้องเป็นรถ 4X4 เท่านั้น ด้วยสภาพเส้นทางที่เป็นดินแดง และถ้าฝนตกก็เป็นโคลนลื่น ๆ แต่ในวันที่ไปนั้นอากาศดีไม่มีฝนจึงขับขึ้นไปอย่างสบาย ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยวิวสวยและสูงขับผ่านถนนลูกลุงและดินทรายลื่น ๆ ปนกับกรวดหินบ้าง และยังมีที่พักแบบโฮมสเตย์อยู่ด้านบนนี้ค่อนข้างเยอะ
นอกจากนี้ยังต้องแข่งกับความมืดเพราะว่าออกจากที่พักสะปันก็ 16.30 น. แล้ว ใช้เวลาขับขึ้นเปียงซ้ออีกกว่า 1 ชม. ต้องลงมาก่อนมืดเพราะเส้นทางอันตรายมาก ๆ ครับ ที่จะต้องผ่านทั้ง สะจุก (สมชื่อ) สะเกียง และเปียงซ้อ ถนนเป็นหลุดบ่อ เป็นรองลึก พลังขับเคลื่อนของรถที่ขึ้นไปต้องมั่นใจว่า "รอด" แน่ ๆ ยิ่งมีระบบช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น Drift-lock และ Hill Start Assist Control ช่วยตอนลงทางชันมาก ๆ ยิ่งแจ่มเลยครับ ซึ่งในนาวาร่า ใหม่นั้นมีครบ (ขายของอีกแล้ว)
หลังจากไปลุ้นระทึกบนเปียงซ้อที่เส้นทางโหดเอาเรื่องและไม่เคยขับขึ้นไปมาก่อน แต่ด้วยสมรรถนะของรถที่ใช้แล้วประเมินว่าสบายมาก ไต่ทางชันได้อย่างชิว ๆ ก็กลับลงมายังที่พักสั่งหมูกะทะนั่งทานท่ามกลางอุณหภูมิอันหนาวราว ๆ 10 - 12 องศา ราวกับอยู่ต่างประเทศทีเดียว
วันที่สาม น้ำตกสะปันและลุยเส้นทางแบบ Off-Road "บ้านห้วยโทน"   
วันที่สามมีแผนว่าจะกลับลงที่พักตีนเขา แต่ก่อนกลับก็ขอไปลองสถานที่สวยงามอีกแห่งที่หลายคนรีวิวและแนะนำนั่นคือ น้ำตกสะปัน ที่ต้องเดินขึ้นบนเนินเขาอีกประมาณ 1 กิโลเมตร สัมผัสธรรมชาติที่ร่มรื่นและเสียงน้ำตกไหลเป็นสายฟังไพเราะกว่าเสียงเครื่องยนต์ในเมืองยิ่งนักแถมอากาศก็สดชื่นอีกด้วยครับ 
หยุดเวลา​ คาเฟ่.. ร้านกาแฟที่ต้องแวะเดี๋ยวจะไปไม่ถึงสะปันตั้งอยู่มุมสูงไหล่เขา มองเห็นเทือกเขาไกลลิบกับทุ่งนาและรีสอร์ท วันที่ไปถึงมีปริมาณคนหนาแน่นพอสมควร เมื่อสั่งกาแฟเสร็จก็เดินมาหามุมเก๋ ๆ ถ่ายรูปได้เลยครับ โดยจะมีมุมโต๊ะที่เซทเอาไว้โดยเฉพาะเพียงแค่ต่อคิวก็ได้วิวสวยแล้วครับ
และอีกที่คือ "บ้านห้วยโทน" ระยะทางจากที่พักเพียง 10 กม. แต่ใช้เวลาเดินทางกว่า 1 ชม. และเส้นทางออฟโร้ดทั้งแคบ เลี้ยวหักศอก ผิวถนนเป็นหลุมบ่อและร่องลึกบวกกับความชันเกิน 10 องศา ขึ้นไปในบางจุดโหดยิ่งกว่าเปียงซ้อ
เส้นทางในช่วงต้น ๆ ก็ดูธรรมดาไม่โหดเหมือนที่เค้าว่ากันไว้ แต่พอขับขึ้นไปเรื่อย ๆ กลับเริ่มใจสั่นครับเพราะทางยิ่งโหดและแคบไปเรื่อย ๆ พร้อมกับวิวสองข้างทางก็เป็นหุบเขา แต่ด้วยใจที่ยึดมั่นใจว่า "กลับตัวก็ไม่ได้" ต้องไปต่อ จึงขวบนาวาร่าพร้อมใส่เกียร์ 4H ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยตลอดทาง และแน่นอนว่ามีในบางช่วงที่เป็นทางขึ้นยาว ๆ และชันมากต้องใช้โหมด 4L เท่านั้น จึงจะมีกำลังในการไต่ขึ้นไป
ในตอนแรกยอมรับว่าหวั่นใจ แต่พอขับด้วยเกียร์ 4L ไปเรื่อย ๆ ด้วยกำลังที่มหาศาลขึ้นเครื่องยนต์ดีเซล 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร เพียงแค่เติมคันเร่งเบา ๆ ก็ไหลขึ้นอย่างชิว ๆ อีกแล้วครับ การได้รถที่ช่วงล่างดี ๆ และเครื่องยนต์ที่มีกำลังดีย่อมช่วยในการขับผ่านเส้นทางโหด ๆ ได้ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
"ชีวิตมีขึ้นก็มีลง" ในขากลับลุ่นกว่าขาไปเพราะการขับลงค่อยข้างจะน่ากลัวเพราะต้องระมัดระวังในการบังคับพวงมาลัยและเบรกให้เหมาะสม แต่ด้วยการใช้ระบบช่วยลงทางลาดชันในนาวาร่า ทำให้หมดห่วงไปเลยครับ แค่ควบคุมทิศทางพวงมาลัยก็พอ รถก็สามสารถลงทางชันมาก  ๆ ได้อย่างง่ายดายจริง ๆ
เมื่อลงจากบ้านห้วยโทนแล้วก็มุ่งหน้าต่อไปบนเส้นทางหมายเลข 1256 ไปยังจุดชมวิวดอยภูคา 1715 ที่มีความสูง 1715 เมตร ที่มีคนพลุกพล่านแต่ยังพอจะจอดรถและถ่ายรูปวิวสวย ๆ ได้ ซึ่งความจริงแล้วตรงจุดนี้เป็นจุดแวะพักและมีบริการห้องน้ำนั่นเองครับ 
มาต่อกันที่จุดชมวิวอีกแห่งที่สวยและอยู่ท่ามกลางธรรมชาติคือ อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ที่ตั้งเต้นท์และดูพระอาทิตย์ตกยามเย็น มีค่าบริการของทางอุทยานฯ อัตราค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ ชาวไทย : ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ : ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท และรถยนต์ 4 ล้อ คันละ 30 บาท
เส้นทางหมายเลข 1256 ยังมีจุดถนนสวย ๆ ให้ได้ขับผ่านอีกเช่น "ถนนลอยฟ้าดอยภูคา" ซึ่งเป็นถนนที่พาดผ่านระหว่างหุบเขาและมีวิวทิวทัศน์สองข้างเป็นเทิอกเขานั่นเองครับ แต่จุดนี้จะไม่มีที่จอดรถเพื่อลงมาถ่ายรูป ต้องรอรถน้อยและปลอดภัยจริง ๆ ครับจึงจะลงมาถ่ายได้ แต่ก็ไม่แนะนำนะครับ เพราะว่าเป็นการจอดขอบทางเล็ก ๆ เท่านั้นเอง
เมื่อแวะหลายจุดก็เริ่มได้เวลาทานมื้อกลางวันที่ร้าน ปลาร้าหอม ณ ปัว บนถนนสายหลักหมายเลข 101 จัดส้มตำปลาร้า ส้มตำแซลม่อนแก่เมาโค้งอีกรอบ ก่อนไปเติมน้ำมันให้เต็มถึงเพื่อขับไปที่พักของคืนที่สามคือ "ฟาร์มสเตย์ ที่พักโรงเรียนชาวนา" ในวันที่ไปมีว่างเพียง "กระท่อมผัก" บรรยากาศแบบกระท่อมปลายนาหลังน้อย ห้องน้ำแบบเปิดโล่งใกล้ชิดธรรมชาติมีเพียงม่านสีขาวบางกันไว้เท่านั้น รวมระยะทางทั้งหมดของวันนี้คือ 74.6 กิโลเมตร
วันนี้สามนี้เริ่มเหนื่อยล้าจึงไม่ได้เดินทางไปไหนต่อเพราะเวลาใกล้ค่ำแล้ว จึงสั่งอาหารชุดมาทานหน้ากระท่อมในราคา 300 บาท ได้ครบ ๆ ทั้งอิ่มและอร่อยเลยครับ ส่วนตอนเช้าจะมีพนักงานมาเสิร์ฟอาหารถึงหน้ากระท่อมด้วยชุดข้าวต้มและกับข้าวอย่างดีและรสชาติอร่อยอีกด้วยครับ 
เช้าวันที่สี่พระธาตุแช่แห้ง - ร้านข้าวต้มนายเจือ นครสวรรค์
ออกเดินทางจากที่พักหลังอาหารเช้าราว ๆ 8.30 น. แวะร้าน "กาแฟบ้านไทลื้อ"  ชิมซะหน่อยก่อนขับเข้าตัวเมืองเพื่อสักการะวัดพระธาตุแช่แห้งในตัวเมืองน่าน ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมกับแวะพักทานอาหารที่ "ร้านข้าวต้มนายเจือ นครสวรรค์" และมุ่งหน้ากลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้งในเมืองหลวงกรุงเทพฯ แห่งนี้!!! รวมระยะทางกว่า 660 กิโลเมตร ใช้เวลาทั้งหมดในขากลับนี้นับจากตัวเมืองน่านเวลา 12.00 น. ถึงกทม. 21.30 น. ก็ 9 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณครับ
ความคิดเห็นต่อการเดินทางในทริปนี้... 
ความรู้สึกหลังจากขับนิสสัน นาวาร่า นั้นบอกเลยว่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ ดีกว่าหลายด้านทั้งน้ำหนักพวงมาลัยที่เบาขึ้นเยอะ ช่วงล่างที่นุ่มนวลและขับสบายกว่าเดิม ไม่ดีดและกระเด้งมากนัก แต่ก็มีกระเด้งพอสมควรเมื่อขับขี่ผ่านผิวถนนปูนแผ่น 
กำลังเครื่องยนต์ในทางราบนับว่ามีให้ใช้งานสบาย ๆ เติมเล็กน้อยก็แซงได้ง่ายรวดเร็วทันใจ แต่ถ้าจะต้องแซงกระทันหันอาจต้องมีเผื่อสักหน่อยเพราะเมื่อคิกดาวน์สุดแล้วจะมีการรอประมาณ 1 - 2 วินาที ก่อนเกียร์จะเปลี่ยนตำแหน่ง แม้จะใช้การโยกคันเกียร์ไปโหมดแมนนอลก็ยังรอ แต่เมื่อเกียร์ตอบสนองแล้ว จะใช้การโยกเพื่อเปลี่ยนจังหวะต่อไปก็จะรวดเร็วตามสั่งมากขึ้นครับ
ในทางชันไต่ระดับสูง ๆ นับว่าไม่มีปัญหากำลังเครื่องยนต์เหลือเฟือมาก ๆ ในช่วงขึ้นทางชันมาก ๆ บางครั้งใช้เกียร์ 2 ไต่ขึ้นได้อย่างสบาย ๆ เลยครับ ส่วนในการลงเขาเมื่อต้องการผลักมาเล่นเกียร์แมนนอล ก็จะมีอาการรอเช่นกันในช่วงแรก และต่อจากนั้นก็จะเปลี่ยนได้เร็วปกติครับ นับว่าทางนิสสัน อาจต้องมาปรับระบบเกียร์ให้เปลี่ยนได้ทันใจมากกว่านนี้อีกหน่อย เพราะบางจังหวะต้องการแซงอย่างเร่งด่วน แต่กลับมีการหน่วงรอเปลี่ยนเกียร์นานเกินไปครับ อาจทำให้เสียจังหวะในการแซงได้ 
เมื่อขับเวลากลางคืนระบบไฟหน้าแบบเปิด-ปิดและปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติทำงานได้ค่อนข้างดีและตอบสนองต่อแสงไฟรถที่สวนทางได้ดี ช่วงที่ขับผ่านเส้นทางมืด ๆ ระบบก็ปรับเป็นไฟสูงให้ทันทีอีกด้วยครับ
เบาะปรับไฟฟ้าฝั่งคนขับ ที่ตำแหน่งดันหลังอยู่สูงเกินไปทำให้ไม่ค่อยดันโดนจุดที่เมื่อยล้าซะทีเดียว และยังทำให้หลังลอยออกจากพนักพิงอีกด้วยครับ สุดท้ายกับเบาะที่กระชับแน่นแต่ว่าผิวสัมผัสแข็งไปนินดนึงทำให้ไม่ค่อยรองรับสรีระเท่าไหร่นัก
ระบบแอร์จะถูกคำนวนตามอุณหภูมิภายนอกเป็นหลักไม่ว่าจะปรับตัวเลขเท่าไหร่ระดับความเย็นจะแปรผันตามภายนอกเสมอ เช่น ในช่วงเดินทางขึ้นดอยอุณหภูมิภายนอก 14 องศา ถ้าปรับแอร์ในรถที่ 20 องศา จะได้ลมอุ่นทันที่ครับ ต้องปรับไปที่อย่างน้อย 18 (ต่ำสุด) หรือ 19 จึงจะได้ความเย็นพอดี ๆ 
บนดอยไม่มี 7-11 นะครับ มีแต่ร้านของคนในพื้นที่ ร้ารอาหารส่วนมากอร่อยแทบทุกร้าน ปริมาณเยอะ ราคาไม่สูงนัก บางที่ถูกมาก ๆ ครับ และเส้นทางบนเขามีโค้งเยอะมากกว่า 1,000 โค้ง รถต้องพร้อม คนต้องพักผ่อนเพียงพอ และศึกษาเส้นทางหรือจุดที่ต้องแวะพักให้ดีก่อนหรือถ้าเดินทางไปในวันธรรมดาทั่วไป อาจต้องโทรสอบถามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ก่อนไปยิ่งดีจะได้ไม่ไปเกื้อครับ
ที่พักส่วนใหญ่งดใช้เสียงดังมาก ๆ เกินเวลา 3 ทุ่ม แต่คุยกันได้แบบเบา ๆ นะครับ นอกจากนี้ต้องช่วยกันรักษาความสะอาดและกฎกติกาของเจ้าของพื้นที่อย่างเคร่งครัด การขับรถในที่ชุมชนควรระมัดระวังมาก ๆ เพราะชาวบ้านใช้เป็นเส้นทางโดยปกติ แต่เราเป็นผู้มาเยือนควรต้องให้ความเคารพคนพื้นที่ครับ
ในทางโค้งต่าง ๆ บนเขาควรใช้ความเร็วอย่างระมัดระวังและเหมาะสม อย่าห้าวเกินไปครับ อันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลรถยนต์จะเยอะเป็นพิเศษ และในการขับขึ้นทางชันมาก ๆ ต้องระวังและเว้นระยะห่างต่อคันให้เพิ่มมากขึ้น 
หลีกเลี่ยงการเดินทางขึ้นเขาช่วงกลางคืน เพราะจะมองถนนกับทางโค้งไม่ชัดเจน ประกอบมีข้อจำกัดในการมองเห็นระยะสั้น และหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอาจยุ่งยากกว่าในเวลากลางวันและอาจเกิดเหตุซ้ำซ้อนได้   
สรุปจุดเช็คอิน "น่าน" ต้องไปให้ถึง ได้แก่ 
1.ถนนคนเดินกาดข่วงเมืองน่าน (มีวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์) มีดนตรีฟังเพลิน ๆ    
2.วัดภูมินทร์ ตำนาน "ภาพกระซิบรัก" 
3.วัดช้างค้ำ พระองค์ใหญ่ตกแต่งโคมไฟสวยงาม 
4.Coffee by​ คุ้มเวียงพิงค์ มีระเบียงที่เดินชมวิวไปริมเขา
5.Nan Native Kew Muang by Chef First ที่ออกรายการ Mastor Chef Thailand พิซซ่าเด็ด กาแฟได้ใจและสปาเก็ตตี้ 
6.โค้งหมายเลขศูนย์ขุนเขามะเลหมอก โค้งจอดพักถ่ายรูปวิวและสันเขาเกาะกลางโค้ง 
7.ถนนหมายเลข 3 ทางโค้งยอดฮิตต้องถ่ายให้ได้ (ถ้าคนน้อย) 
8.โค้งพับบ่อเกลือ ไฮไลท์ความงามของโค้งที่ซ้อนกันเหมือนถนนในต่างประเทศเลย
9.ร้านหัวสะพาน ร้านดังย่านบ่อเกลืออร่อยไม่แพง เมนูไม่ต้องเลือกเยอะอร่อยทุกจานเพราะมีไม่กี่เมนู​
10.บ้านสะปัน วิวเทือกเขาโอบล้อม มีรีสอร์ทเยอะและหน้าหนาวอากาศต่ำกว่า 11 องศา
11.เปียงซ้อ จุดชมวิวสูงสุดในภูคา (ควรเป็นรถ 4X4)
12.น้ำตกสะปัน เดินเกือบ​ 1​ กิโลเมตร เดินไปเหมือนจะถึงแต่ไม่ถึง เดินไปเรื่อย ๆ​ จนถึง 
13.หยุดเวลา​ คาเฟ่ ร้านดังวิวดี คนเยอะหน่อย เพียงแค่ต่อคิวก็ได้วิวสวยแล้วครับ    
14.จุดชมวิว​ 1715 ก็ชมวิวที่ความสูง 1,715 เมตรเหนือน้ำทะเล เป็นจุดแวะพักมีมันปิ้งกะไอติมขายด้วย
15.ดอยภูคา​สวยวิวสูงดี.. ค่าเข้าอุทยาน 110 ​บาท เน้นให้นอนกางเต้นท์  
16.ร้านปลาร้าหอม​ ณ​  ปัว เผ็ดแซ่บ กลิ่นปลาร้าแน่น
17.ฟาร์มสเตย์ ที่พักโรงเรียนชาวนา กระท่อมปลายนาที่อาหลองต้องชอบแต่ที่นี่คงไม่ให้มาถ่ายหนังนะเดี๋ยว​ไประเบิดของเค้า 
18.ร้านข้าวต้มนายเจือ นครสวรรค์ มื้อค่ำก่อนเข้ากทม. ต้องไปลองครับอร่อยไม่แพงไม่รอนาน 
สรุปค่าใช้จ่ายแบบหลวม ๆ นะครับในทริปนี้
ค่าที่พักคืนแรก น่านวรรณวัตร รีสอร์ท 1,500 บาท 
คืนที่สอง สะปันดีวิว 2,500 บาท
คืนที่สาม ฟาร์มสเตย์ ที่พักโรงเรียนชาวนา 1,000 บาท  
ค่าน้ำมันไปกลับรวมขึ้นลงดอยทั้งหมดประมาณ 4,000 บาท 
ค่าอาหารตามมื้อหลักร้านต่าง ๆ แบบเหมารวมประมาณ 2,200 บาท ไม่รวมแวะร้านกาแฟอีกเพียบครับน่าจะอยู่ที่ 500 บาท 
จบทริปจัดไป (ตัว) เบา ๆ 11,700 บาท (2 คน)    
แค่นี้จิ๊บ ๆ เมื่อเทียบกับความสุขที่ได้รับในบรรยากาศธรรมชาติและอากาศหนาวสุด ๆ ที่หาไม่ได้ในเมืองหลวงครับ....
"น่าน-มีรถและคนรู้ใจ ก็แค่ปากซอย"
 
แท็กที่เกี่ยวข้อง นิสสัน นิสสัน นาวาร่า เที่ยวน่าน
CAR GURU
เขียนโดย สินธนุ จำปีศรี CAR GURU

พูดคุยกับกูรูได้ที่




เว็บไซต์นี้มีการเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ และช่วยให้เราปรับปรุง และนำเสนอเนื้อหาตรงตามความสนใจของท่าน ท่านสามารถดู Privacy Notice และ ดู Cookies Policy ของเราได้ ที่นี่ ทั้งนี้ ท่านจะยินยอมให้เราเก็บคุกกี้ทั้งหมด หรือให้เก็บแค่บางส่วนโดยการคลิกเลือก ตั้งค่า

ท่านสามารถเลือกให้ความยินยอมการเก็บคุกกี้เป็นเรื่องๆ ได้ที่นี่

เมื่อคุณเข้าชมเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น checkraka เราอาจจัดเก็บ หรือดึงข้อมูลจากเบราว์เซอร์ของคุณในรูปแบบของคุกกี้ และเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึง เช่น tag และ pixel (เรียกรวมกันว่า “คุกกี้”) ซึ่งมักเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้โดยตรง แต่ช่วยให้คุณใช้งานเว็บไซต์ได้ปลอดภัย และตรงตามความต้องการมากขึ้น คุณอาจไม่ยินยอมให้เราเก็บคุกกี้บางประเภทได้ โดยการคลิกตามหัวข้อข้างล่างนี้

ประเภทคุกกี้
อ่านเพิ่มเติม ที่นี่
ยินยอม / ไม่ยินยอม
คุกกี้ที่จำเป็นต้องมีเสมอ
(Strictly Necessary)
คุกกี้สำหรับการใช้งานเว็บไซต์
(Functionality)
คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวิเคราะห์
(Performance & Analytics)
คุกกี้เพื่อการตลาด
(Marketing)