Toyota Camry รุ่นปรับปรุงใหม่ มีการเพิ่มระบบความปลอดภัย
Toyota Safety Sense แบบเต็มรูปแบบทุกรุ่นยกเว้นรุ่นเริ่มต้น 2.5 Sport ทำให้เทียบเท่าคู่แข่งในรถระดับเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยเฉพาะนำเอาเครื่องยนต์เบนซินล้วน 2.5 ลิตร มาแทนที่ 2.0 ลิตร เดิม ทำให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นและให้อัตราสิ้นเปลืองประหยัดกว่าเดิมอย่างคาดไม่ถึงครับ
ทีมงานเช็คราคาได้ทดสอบขับคัมรี่ใหม่เป็นกลุ่มที่ 2 นั่นคือ ขับจากตัวเมืองเชียงใหม่กลับกรุงเทพฯ (กลุ่มแรกขับขึ้นมาเชียงใหม่) พร้อมกับสื่อมวลชนอีกหลายคน มีผู้ร่วมเดินทาง 3 คนต่อรถ 1 คัน แบ่งสลับกันขับ และได้รถคัมรี่รุ่น
2.5 Premium ราคา 1.599 ล้านบาท หรือตัวท็อปเบนซินนั่นเองครับ
8.00 น. เริ่มออกเดินทางจากโรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่โดยการเป็นผู้โดยสารเบาะหน้าข้างคนขับ ตัวเบาะนั่งปรับไฟฟ้านุ่มสบายดี แต่พื้นที่ว่างขานั้นแคบไปสักหน้อย เพราะต้องมีผู้โดยสารนั่งด้านหลัง เมื่อนั่งแล้วหัวเข่าขวาจะติดบริเวณคอนโซลกลางที่ทำเป็นขอบโค้งออกมา และพื้นที่วางเท้าดูแคบเพราคอนโซลหน้ามีความหนามาก แต่ถ้าไม่มีคนนั่งหลังก็สามารถปรับเลื่อนถอดออกไปน่าจะทำให้กว้างกว่านี้เยอะเลยครับ
โดยส่วนตัวนั้นดีไซน์ภายในดูสปอร์ตมากกว่าหรูหราวัสดุการตกแต่งของรุ่น 2.5 Premium น่าจะเพิ่มความหรูหราอีกนิด เช่น แผงสวิตช์กระจกดูเหมือนพลาสติกครอบธรรมดา ไม่มีลวดลายหรือสีสันให้ดูเงามันวาว แผงประตูเรียบ ๆ ดูทึบไปหน่อยทำให้ขาดความหรูไปพอสมควรครับ แต่เบาะนั่งก็ให้ความสบายได้ดีในแบบฉบับรถพรี่เมี่ยมครับ
ช่วงสลับมาเป็นผู้ขับขี่สิ่งแรกเลยคือ วิสัยทัศน์ด้านหน้าที่ดี โปร่งสบายมองเห็นได้กว้าง กระจกมองข้างมองชัด พร้อมระบบเตือนมุมอับสาบตา พวงมาลัยกระชับมือออกไปทางสปอร์ต เบาะนั่งนุ่มสบาย ตำแหน่งการจัดวางของสวิตช์ควบคุมและหัวเกียร์อยู่ในรถดับกำลังดีไม่ต่ำหรือสูงเกินไป เบาะคนขับมีระบบบันทึกความจำ 2 ตำแหน่ง มาตรวัดแบบอนาล็อคทรงกลมซ้ายและขวาตรงกลางเป็นจอสีแสดงการทำงานของรถและมีลักษณ์เตือนของ Toyota Safety Sense
2.5 ลิตร ไม่มีไฮบริด..แต่ประหยัดเว่อร์..
สมรรถนะอัตราเร่งของ 2.5 ลิตร กับเกียร์ 8 จังหวะแน่นอนว่าดีและมันกว่าในรุ่น 2.0 เดิม ทั้งการออกตัวและเร่งแซง แต่มีบางจังหวะที่เจออาการ "รอรอบ" หรือบางครั้งก็ "รอเปลี่ยนเกียร์" ในเวลาคิกดาวน์ร่งแซงอยู่บ้าง หากต้องการกำลังเร่งแซงจริง ๆ อาจต้องค่อย ๆ ไล่เพิ่มน้ำหนักคันเร่งลงไป ระบบเกียร์จะเปลี่ยนได้เนียบกว่า แต่ในเรื่องของความประหยัดกลับน่าประทับใจสำหรับรถขนาดใหญ่ในพิกัด 2.5 ลิตร โดยตลอดทริปที่ขับตามกันแบบขนวน มีเร่งแซงบ่อยและรถติดบ้างทำตัวเลขดีที่สุดถึง 15.8 กม./ลิตร และในรถรุ่นเดียวกันบางคันที่ร่วมทริปนี้ได้ถึง 16 กม./ลิตร!! และในช่วงการจราจรติดขัดสลับหยุดนิ่งเมื่อผ่านเส้นทางทำถนนเบี่ยงช่องทางนั้น ตัวเลขลดลงมาแค่ 13 - 14 กม./ลิตร นับว่าประหยัดเกินคาดเลยครับ ยิ่งถ้าเป็นรุน 2.0 ลิตร ก่อนหน้านี้คงทำตัวเลขดีที่สุดไม่น่าเกิน 14 กม./ลิตร และเมื่อเจอรถติดอาจหล่นไปแถว ๆ 9 - 10 กม./ลิตร เลยที่เดียวครับ
ระบบช่วงล่างที่นุ่มนวลตามสไตล์รถระดับพรีเมี่ยม แต่ก็ยังให้ความคมกระชับของพวงมาลัยที่ควบคุมทิศทางได้ดี การเข้าโค้งที่เนียนไม่โยนตัวนัก ระบบเบรกที่นุ่มและมีระบบช่วยผ่อนแรงไม่ต้องออกแรงเยอะ ในการขับครั้งจึงใช้น้ำหนักที่เคยชินเหยียบลงไปเต็มแรง จึงทำให้หัวทิ่ม แต่เมื่อปรับตัวได้แล้วการเบรกนั้นจะใช้น้ำหนักน้อยมากก็สามารถเบรกอยู่สบาย ๆ เลยครับ ส่วนในช่วงกระโดดคอสะพานก็มีอาการยุบสุดของด้านหลังอยู่บ้าง แลกกับความนุ่มนวลในการเดินทางแล้วก็รับได้ครับ เพราะรถระดับนี้มักจะแบบในสไตล์ "พรีเมี่ยม" คือไม่เร่งรีบนักไปเรื่อย ๆ นุ่มนวลชวนฝัน แต่ถ้าต้องการแบบสปอร์ตก็มั่นใจได้เช่นกันครับ
เสียงยางกับลมมาเข้ารถพอควร...
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารนั้นยังไม่เงียบเท่าไหร่นัก ยังพอได้ยินเสียงรถหรือมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านบ้าง ส่วนในขณะขับขี่เสียงจากพื้นเข้าห้องโดยสารค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเสียงยางที่ดังตั้งแต่ความเร็วประมาณ 90 ขึ้นไป โดยเฉพาะเมื่อนั่งเบาะหลังยิ่งชัดเจนขึ้น และเสียงลมที่ปะทะด้านข้างที่ความเร็วราว ๆ 110 กม./ชม. ขึ้นไป นับว่าเสียงมาเร็วมากซึ่งโดยปกติรถยนต์ระดับเดียวกันจะเริ่มได้ยินเสียงยางและลมที่ความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ส่วนเสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาแบบทุ้ม ๆ เบา ๆ ให่พอได้อามรณ์สนุก ๆ เวลาเร่งรอบเครื่องหรือคิกดาวน์ครับ
ระบบเครื่องเสียงทันสมัยแต่ยังไม่สุด..
ระบบเครื่องเสียงหากเทียบกับรถระดับเดียวกันถือว่าอยู่ใรระดับกลาง ๆ พอฟังได้ สีพื้นของหน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว ดูจืด ๆ ไม่หวือหวานัก รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ พร้อม Wireless charger ลำโพง 6 ตำแหน่ง และแสดงภาพขณะถอยหลังได้ ระบบแอร์อัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมซ้ายขวาที่เย็นจัดแม้จะปรับไปที่ 25 องศาก็ยังหนาวเลยครับ
เบาะหลังดูดวิญญาณ...
มาถึงไฮไลท์ของค้มรี่นั่นคือ การนั่งเบาะหลังที่นุ่มนวลจริง บวกกับช่วงล่างที่เน้นความสบายและแอร์เย็นเพลงเพราะทำให้หลับสบาย ตัวรถมีอาการโคลงน้อยมากแม้ว่าเป็นคนที่เมารถง่ายแต่กลับไม่รู้สึกและนั่งได้สบาย แต่ก็มีจุดทีอาจต้องปรับอย่างเช่นเบาะพิงที่เว้าลึกมากทำให้ท่านั่งหลังงอและตัวหมอนพิงหัวที่ดันมาข้างหน้าเยอะเกินไปทำให้ลำตัวและหัวงอเป็น "กุ้ง" และหากจะนอนให้สบายต้องเอาหมอนรองหัวออกไปจะช่วยให้เอนหัวได้สบายมากขึ้นครับ
สรุปความคุ้มค่า.. Toyota Camry ใหม่กับราคาค่าตัวที่
1,599,000 บาท ให้ความคุ้มค่าในเรื่องของเครื่องยนต์ใหญ่ขึ้นเป็น 2.5 ลิตร แต่กลับทำอัตราเร่งสิ้นเปลืองประหยัดอย่างน่าประทับใจช่างเหมาะกับยุคราคาน้ำมันวิกฤติในปัจจุบัน และสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรถแบบไฮบริดที่ใช้เกียร์สายพาน CVT และยังได้ระบบ Toyota Safety Sense ที่มาแบบเต็มระบบแล้วทั้งเรดาร์ครุซคอนโทรล หรือระบบเตือนเบรก เตือนออกนอกเลนพร้อมดึงกลับ นอกจากนี้ความเป็นค่ายโตโยต้ายังมั่นใจทั้งบริการหลังการขายและราคาขายต่ออีกด้วย ดังนั้นคุ้มหรือไม่ก็คงต้องพิจารณาดูว่า หากจะซื้อรถระดับพรีเมี่ยมหนึ่งคันนั้นมีความต้องการในด้านไหนบ้างให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์มากที่สุดครับ...