ภายนอก
-กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นไม่เน้นหรูหรา พร้อมสัญลักษณ์ GR
-กันชนหน้าพร้อมชุดตกแต่งสีดำเงาดุดัน ถ้าเป็นรถทรงเตี้ยน่าจะเกือยเป็นรถแข่งได้เลยนะครับ
-มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ จากรุ่นปกติเป็นโครเมี่ยม
-สปอยเลอร์หลังดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต อันนี้สวยขึ้นและดูขลังมีพลังมากขึ้นครับ
-ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สีดำพิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport แต่ยังเป็นลายเดิม
ภายใน
-ภายในดีไซน์สปอร์ตโทนสีดำสลับแดง ให้ความรู้สึกแบบรถแข่ง คงไว้ซึ่งความหรูหราไว้อย่างลงตัวเบาะนั่ง Suede แบบเจาะรู และหนังสังเคราะห์เดินด้ายตกแต่งสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR แผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver พร้อมบุหนังสังเคราะห์สีดำเดินด้ายแดง
-ช่องปรับอากาศด้านหน้าตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver และโครเมียม
-แผงข้างประตู สีดำบุหนังสังเคราะห์พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver
-พวงมาลัยหุ้มหนังแบบ Soft Touch แบบเจาะรู พร้อมตกแต่ง Center mark สีแดง และเดินด้ายสีแดง/ สี Smoke silver และสัญลักษณ์ GR
-หัวเกียร์หุ้มหนัง พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver น่าจะให้สัญลักษณ์ GR บนหัวเกียร์มาด้วย
-ฐานเกียร์ลาย Carbon Fiber พร้อมตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver
-กล่องเก็บของหุ้มหนังสังเคราะห์ เดินด้ายตกแต่งสีแดง
-แป้นคันเร่งและเบรคแบบสปอร์ต
-พรมรองพื้นห้องโดยสารดีไซน์เฉพาะรุ่น GR Sport
-กุญแจรีโมท Smart key ดีไซน์พิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport และสตาร์ทอัจฉริยะพร้อมสัญลักษณ์ GR
ความสะดวกสบายมาเต็มคันได้แก่ รีโมทพร้อมสวิตช์ระบบเปิดประตูท้าย รวมถึงประตูไฟฟ้าที่มีฟังก์ชั่น "ใช้เท้ากวาด" เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า เบาะแถวที่สองพับเก็บได้ และแถวสามพับแบบแขวน แอร์อัตโนมัติแยกปรับอุณหภูมิซ้ายและขวา พร้อมช่องแอร์และสวิตช์ควบคุมด้านหลัง
นอกจากนี้ก็เปลี่ยนมาใช้ช่อง USB แบบ Type C 2 แต่คนที่มีสายรุ่นเก่าแบบเดิม (เช่นผู้ทดสอบ) ก็ไม่ต้องเสียใจสามารถใช้งานช่อง USB บนหน้าจอวิทยุได้อยู่ครับ แบบจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Bluetooth/USB พร้อมลำโพง JBL 11 ลำโพง (รวม Sub-Woofer ที่ประตูท้าย) สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay/Android Auto ได้ง่ายมาก มีข้อแม้ว่ารถต้องจอดสนิทและใส่เกียร์ "P" ก่อนเพื่อความปลอดภัยนะครับ และก็มีกล้องรอบคัน 360 องศา ที่มีมุมมองให้เลือกดูได้และยังมีมุมกล้องด้านข้างเมื่อเราเปิดไฟเลี้ยวอีกด้วยครับ
เครื่องยนต์ 204 แรงม้า แรง+ช่วงล่างดี ขับมันขึ้น
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร พร้อมกับ 3 โหมดการขับขี่ Eco/Narmal/Sport เกียร์ 6 จังหวะ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระแบบปีกนกคู่ (Double Wishbone Suspension) และระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบโฟร์ลิงค์ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง โดยใน GRsport เลือกใช้โช้คแอพซอพเบอร์ใหม่แบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber) ที่หนึบหนืดเกาะและไม่กระด้างเกินไป ส่วนระบบเบรกหน้า-หลังแบบดิสก์เบรกมีครีบระบายความร้อน พร้อมคาลิปเปอร์สีแดงและสัญลักษณ์ GR
ความปลอดภัยที่เพิ่มเติมจากรุ่นปกติคือ
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Monitor)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ในขณะที่ถอดหลังหากมีรถกำลังวิ่งตัดด้านท้ายก็จะมีเสียงเตือนและไฟสัญญาณที่มุมกระจกข้างจะกระพริบเตือนให้รู้ว่า "อย่าเพิ่งถอยนะ...มีรถผ่านด้านหลัง...." แต่ยังไม่มีระบเบรกให้อัตโนมัตินะครับ เราต้องเบรกด้วยตัวเอง
และระบบความปลอดภัยที่มีอยู่แล้วและน่าสนใจมาก ๆ นั่น ระบบเรดาร์ของ Adeptive Cruise Control ที่แปรผันความเร็ว ตามรถคันหน้าและชะลอจนเหลือความประมาณ 30 - 35 กม./ชม. ส่วนอีกระบบที่ชอบมาก ๆ นั่นคือ การเตือนออกนอกเลนพร้อมดึงกลับ โดยใช้ระบบการเบรก เช่น เมื่อรถแบนออกฝั่งใดโดยไม่ตั้งใจ ระบบเบรกจะห้ามล้อฝั่งตรงข้าม เพื่อให้ทิศทางรถกลับเข้ามาในช่องทาง นับว่าช่วยเหลือและใช้งานได้อย่างดีถึงแม้จะไม่ใช่การคับบังพวงมาลัย เพราะว่าในช่วงที่ดึงกลับ พวงมาลัยยังตรงอยู่ในตำแหน่งเดิมครับ
สมรรถนะ แรงดึงมันทุกย่านความเร็ว+ช่วงหนึบมั่นใจกว่า
มาถึงการลองขับขี่ในรูปแบบในเมือง-นอกเมือง รถติดสลับใช้การลองอัตราเร่งการเข้าทางโค้ง ลองเปลี่ยนเลนและความเร็วสูง ๆ สำหรับเรื่องกำลังของเครื่องยนต์นั้นแรงเหลือ ๆ เลยครับ อัตราเร่งออกตัวอาจไม่ได้หลังติดเบาะ แต่ก็ไต่ความเร็วได้ดี การเร่งแซงในแต่ละช่วงความเร็วนั้น มีกำลังให้ใช้งานอย่างเหลือล้น แม้ว่าอยู่ที่ความเร็วระดับ 110 กม./ชม. และเร่งแซงแบบใช้การไล่คันเร่งก็สามารถเพิ่มความเร็วได้ทันใจ หรือในบาช่วงได้ทดลองเร่งแซงที่ความเร็วจากประมาณ 130 กม./ชม. ก็ยังมีกำลังให้เรียกใช้อย่างเพียงพอ โดยที่ใช้เพียงโหมด Narmal เท่านั้นครับ
เครื่องยนต์แรงบวกกับระบบช่วงล่างที่มาพร้อมสปริงที่ปรับความแข็งเพิ่มขึ้นประมาณ 17% และโช้คโมโนทูบที่ให้ความหนึบและแน่นกว่าโช้คแบบฟอร์จูนเนอร์รุ่นปกติ ยิ่งมั่นใจ ขึ้นอย่างชัดเจนที่ความเร็วสูง ๆ อาการแกว่งหรือโยนน้อยลง แต่ก็ยังพอมีอยู่บ้างตามปกติของรถยกสูง แม้ว่าในความเร็วต่ำก็มีอาการเด้งบ้างแต่ไม่ถึงกับขับเหนื่อยหรือจุก เพราะเวลากระโดดคอสะพานจะมีแรงดีดเล็กน้อย แต่เมื่อรถยุบตัวลงกลับนุ่มนวล นับว่าคนขับสนุกวิ่งผ่านทางขรุขระได้โดยคนนั่งไม่บ่นครับ ส่วนน้ำหนักของพวงมาลัยยอมรับว่าเบากว่าในรุ่นก่อนไนเมอร์เชนจ์ตอนเปิดตัวใหม่ ๆ และให้ความกระชับซึ่งอาจเป็นเพราะได้ช่วงล่างดีขึ้นเฟิร์มขึ้น แต่ก็ยังมีน้ำหนักในความเร็วต่ำ ๆ อยู่บ้างตามกลไกของพวงมาลัยระบบน้ำมันไฮดรอลิกส์
สรุปความคุ้มค่า Fortuner GRsport
Toyota Fortuner GRsport มาดสปอร์ตใหม่ชุดแต่งพิเศษไม่เหมือนใคร ภายในอารมณ์สปอร์ตเต็มคราบ สิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยมและเพิ่มเติมความปลอดภัยมากขึ้นอีกขั้น ความแรงระดับ 204 ม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมช่วงล่างแบบสปอร์ต นับว่าอยู่จุดบนสุดแล้วสำหรับรถอเนกประสงค์ PPV/SUV ในไทย
แน่นอนว่า Fortuner GRsport นั้นยังมีอีกหลายอย่างที่ขาดหายไปอย่างเช่น ระบบเบรกมือไฟฟ้ากับโฮลดเบรก ที่น่าจะติดตั้งมาให้ แต่ก็ยังมีหลายคนถนัดกับการใช้เบรกมือแบบดึงอยู่ ส่วนของระบบพวงมาลัยหากเป็นผ่อนแรงไฟฟ้าน่าจะช่วยให้ขับในเมืองสะดวกมากขึ้น เบาะแถวที่สามปรับให้พับแบนราบไปเลยก็จะเข้าท่ามากขึ้น รวมถึงจุดวางของกระจุกกระจิกยังน้อยไป เมื่อวางแก้วน้ำเต็มแล้วจุดวางโทรศัพท์ก็จะหายไปด้วย แต่ทว่าทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นจุดที่ทำให้ตัดสินใจซื้อฟอร์จูนคุกกี้น้อยลงแต่อย่างได้ครับ และยิ่งรุ่นพิเศษแบบนี้ราคา 1,899,000 บาท (หลังคาดำเพิ่ม 20,000 บาท) สำหรับผู้ที่สนใจอาจจะตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องคิดมากเลยล่ะครับ