ช่วงนี้ผู้ใช้รถยนต์ต้องเจอกับฝนตกบ่อย ๆ การดูแลสภาพของรถยนต์เป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเรื่องของ "ยางรถยนต์" ที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อให้การเดินทางถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย โดยปกติแล้วยางรถยนต์จะมีอายุการใช้งานของเนื้อยางอยู่ราว ๆ 3 - 5 ปี นับตั้งแต่ลงพื้น ไม่รวมการ "แตก-ตำ-บวม" หรือในยุคเศรษฐกิจไม่ดี อาจเลือกยางใหม่ปีเก่าหรือภาษาทั่วไปเรียกว่า "ยางใหม่ค้างปี" ซึ่งจะมีราคาที่ถูกลงกว่าปกติ แต่มีข้อแม้ว่าการเก็บรักษาต้องดีและคงสภาพสมบูรณ์เหมือนเพิ่งออกจากแม่พิมพ์มากที่สุดจึงจะสามารถใช้งานต่อได้อีก 3 - 5 ปีครับ การเลือกซื้อยางรถยนต์จึงเลือกตามกำลังทรัพย์ ถ้ามีงบประมาณเยอะก็ขยับไปเล่นยางปีใหม่ล่าสุดเพื่อง่ายในการนับอายุการใช้งานครับ
แต่ช้าก่อน..! ก่อนจะเลือกซื้อยางรถยนต์นอกจากจะต้องคำนึงถึงขนาดวงล้อ ความกว้างหน้ายางและความสูงให้เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว สิ่งหนึ่งที่หลายคน (รวมทั้งผมเอง) อาจเคยมองข้ามไปก็คือ "สติ๊กเกอร์" ที่ติดบนหน้ายางและต้องแกะออกตอนใส่เราจึงมักไม่ค่อยสนใจหรือสังเกตุมากนัก
สติ๊เกอร์บนหน้ายางคืออะไร?
สติ๊กเกอร์ยางหรืออาจเรียกเป็น "Eco Stiker" เป็นการบอกรายละเอียดคุณภาพของยางรุ่นนั้น ๆ ว่ายางเส้นนั้นมีประสิทธิภาพหรือคุณสมบัติอะไรบ้าง เพื่อให้ผู้ซื้อเลือกคุณสมบัติยางให้ตรงกับความต้องการนำไปใช้งานได้อย่างเหมาะเจาะมากที่สุด โดยถูกกำหนดจากสหภาพยุโรป (EU) เพื่อให้ผู้ผลิตลงรายละเอียดคุณสมบัติความปลอดภัยของยางรุ่นนั้น ๆ รวมถึงเรื่องของการลดมลภาวะสิ่งแวดล้อม มีผลตั้งแต่ช่วงปี 2555 (ข้อมูล https://ec.europa.eu/energy/eepf-labels/label-type/tyres) และในประเทศไทยทางสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นผู้กำหนดป้ายข้อมูลยางรถยนต์ตามมาตรฐานสากล (ECO Sticker) นั่นเอง
บนสติ๊กเกอร์จะมีข้อมูลทั้งชื่อยี่ห้อ รุ่น ขนาด ข้อความบรรยายสรรพคุณ สเปคยางว่าใส่ได้กับขนาดล้อใดบ้าง และประเทศผู้ผลิต แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ รายละเอียดการทดสอบคุณสมบัติยางซึ่งจะเป็นรูปกราฟฟิกสวย ๆ แสดงรายละเอียดอย่างชัดเจนได้แก่ อัตราการประหยัดน้ำมัน ความปลอดภัยในสภาพถนนเปียกลื่นและความเงียบ (หน่วยเป็นเดซิเบล) เนื่องจากว่าข้อมูลทั่วไปเช่น ขยาด ยาง เทรดแวร์ สัญลักษณ์รองรับความเร็ว มีระบุในแก้มยางแล้ว จึงขอขยายความในข้อมูลบนสติ๊เกอร์เฉพาะ 3 ส่วนง่าย ๆ ดังนี้ครับ
1.ระดับความประหยัดน้ำมัน (Fuel Efficency)
หมายถึงประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันสูงสุด การที่ยางกลิ่งตัวเองไปโดยที่มีแรงเสียดทานต่ำที่สุด ลดภาระของเครื่องยนต์ได้มากที่สุดหรือประหยัดน้ำมันมากที่สุด กำหนดเป็นตัวอักษรไล่จาก A ประสิทธิภาพสูงสุดไปจนถึง G ประสิทธิภาพต่ำสุด ด้วยการวัดจากแรงต้านทานการหมุน
2.การยึดเกาะถนนเปียก (Wet Grip)
อ้างอิงการทดสอบบนถนนเปียกที่ความเร็ว 85 กม./ชม. ไล่ระดับจาก A เกาะถนนเปียกได้ดีที่สุดไปจนถึง G เกาะถนนเปียกน้อยที่สุด
3.ระดับเสียงความเงียบ (External Rolling Noise)
สัญลักษณ์รูปลำโพงที่จะแสดงความเงียบ 3 ระดับ จากระดับ 1 ขีดเงียบสุดไปจนถึง 3 ขีดดังสุด หน่วยเดซิเบล (dB) ซึ่งถ้ามีความดังเกิน 80 เดซิเบลจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหูครับ
แถมอีกนิด ประเภทของยาง (Tyre Class) เป็นการบอกว่าเป็นยางใช้งานประเภทไหน เช่น C1 รถเก๋ง SUV รถกระบะ, C2 รถกระบะเชิงพาณิชย์ และ C3 รถบรรทุก
สรุปว่าก่อนเปลี่ยนยางรถยนต์ครั้งต่อไปนอกจากจะต้องดูสเปคขนาดยางแล้ว อย่าลืมดูสติ๊กเกอร์บนยางว่ามีคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการใช้งานในชีวิตประจำวันหรือไม่ เพื่อให้ได้ยางที่เหมาะสมใช้งานยาว ๆ รับหน้าฝนและพร้อมเดินทางในเทศกาลต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัยครับ
ข้อมูลอ้างอิงจาก ec.europa.eu / tyre.go.th และภาพสติ๊กเกอร์จากอินเตอร์เน็ต