แรงทรงพลังกับเครื่องยนต์ VTEC TURBO 1.5 ลิตร ผ่านการปรับปรุงใหม่ พร้อมระบบเกียร์ CVT
ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า หลังจากชมตัวจริงไปแล้วในวันเปิดตัวที่ผ่านมา
ครั้งนี้เน้นไปที่การขับเสมือนการใช้งานจริงบนเส้นทางที่เลือกเอง โดยได้รุ่น RS ขับทดสอบ
รุ่น RS มีไฮไลท์ที่น่าสนใจต่างจากรุ่น EL+ หลายส่วน เริ่มจาก กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมสัญลักษณ์ RS ไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าและไฟท้ายแบบ LED กระจกมองข้างสีดำ มือจับประตูด้านนอกสีดำ เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ สปอยเลอร์หลังสีดำพร้อมสัญลักษณ์ RS ด้านท้าย ท่อไอเสียแบบคู่พร้อมปลอกท่อไอเสีย และล้อแม็กสีเซมิกรอสดำ 17 นิ้ว ภายในห้องโดยสารสะท้อนความสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง
แป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต Sport Mode - โหมดการขับแบบสปอร์ต เครื่องยนต์ตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้น ส่วนฟีเจอร์เด่นก็มี ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะพร้อม Honda Smart Key Card ดีไซน์เรียบหรู พกพาสะดวก ให้คุณล็อกและปลดล็อกรถได้อย่างสะดวกสบาย เพียงแค่พกการ์ดไว้กับตัว มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สาย และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา และ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อรถยนต์ที่ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน
หลังจากได้พรีวิวฮอนด้าซีวิคใหม่คันจริงไปก่อนหน้านี้แล้ว ล่าสุดทีมงานฯ ได้รับเชิญอีกครั้งจาก
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ให้เข้าร่วมทดสอบสมรรถนะ
ฮอนด้า ซีวิค ใหม่ ในแบบฟรีรัน 1 วัน ดังนั้นผู้เขียนจะขอเน้นที่เนื้อหาด้านการขับทดสอบเป็นหลัก โดยคันทดสอบเป็นรุ่น RS สีเงินลูนาร์ ตกแต่งพิเศษด้วยโทนสีดำรอบคัน พร้อมปลอกท่อไอเสียคู่ ด้านขุมพลังเหมือนกันหมดทุกรุ่นย่อยกับ
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO ใหม่ 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 - 4,500 รอบต่อนาที ระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT
การขับทดสอบหลังผู้เขียนกับทีมงานฯ ผ่านการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิดเรียบร้อย ก็รับรถไปทดสอบโดยมีเวลาขับและบันทึกภาพตั้งแต่ 9.00 - 16.00 น. หลังจากที่เคยพรีวิวทำความคุ้นเคยกับตัวรถไปวันเปิดตัว คร้้งนี้ยังได้รุ่นทดสอบเป็น RS ที่จัดเต็มทุกสิ่งอย่างทั้งฟีเจอร์และของเติมแต่ง ทำให้คุ้นมืออยู่ ลำดับแรกก่อนขับเดินทางได้ปรับท่านั่งพร้อมเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว ก็เชื่อมได้เร็ว เล่นเพลงผ่านแอพฯ อย่าง Spotify ฟังเพลินๆ พร้อมรับสายได้โทรเข้าได้ตลอด เส้นทางแรกที่ใช้คือ ถนนกาญจนาภิเษกมุ่งหน้าบางปะอิน เป็นการขับยาวใช้ความเร็วได้ต่อเนื่อง เพื่อมีสมาธิในการจับอาการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ข้อสังเกตุแรกเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสารจัดว่าทำได้ดี ยางที่ให้ขนาด 17 นิ้วก็เป็นรุ่นเน้นลดเสียงรบกวนด้วย มีแค่เสียงตอนเร่งเครื่องยนต์เพื่อเร่งแซงกระตุ้นความรู้สึกมาหน่อย ยิ่งถ้าปรับเป็นโหมดสปอร์ตก็จะยิ่งชัดเจนขึ้น การขับทางตรงยาวๆ ช่วงล่างให้ความนุ่มนวลในระดับพอดีกับการใช้ปกติทั่วไป รวมถึงคนส่วนใหญ่ มีแต่ผู้เขียนที่อยากให้หนึบแน่นมากกว่านี้หน่อย มุมมองด้านหน้านับว่ากว้างและชัดเจนจากการออกแบบคอนโซลที่วางตัวในระดับต่ำ เสาเอก็ทำไม่ใหญ่และทำมุมกำลังดี ผู้เขียนขับแบบเสมือนการเดินทางไกลจริง พยายามทำความเร็วให้อยู่ระหว่าง 100-110 กม./ชม. ซึ่งค่อนข้างลำบากพอสมควรบนทางเปิดโล่งแบบนี้ ด้วยขุมพลังวีเทคเทอร์โบและการตอบสนองของแป้นคันเร่งนั้น ชวนให้กดไหลผ่าน 120 กม./ชม. ไปแบบไม่รู้ตัว ทำให้ต้องหันไปใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผัน ระหว่างทางได้ลองเล่นหน้าจอสัมผัส รวมทั้งหน้าจอข้อมูลก็พบว่าขนาดที่ใหญ่ช่วยให้เห็นง่ายและชัดเจน โดยเฉพาะผู้เขียนที่สายตายาวอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามถ้าได้ปุ่มสั่งงานบางส่วนแยกมาไว้ตรงคอนโซลกลาง หรือทำเป็นปุ่มหมุนคอนโทรลเลอร์เมนูหน้าจอก็น่าจะช่วยให้สะดวกกว่านี้เพราะตำแหน่งท้าวแขนที่ให้มากำลังสบายลงตัว ถ้าได้คอนโทรลเลอร์ตรงกลางโดยไม่ต้องเอื้อมมือไปแตะหน้าจอก็จะดีมาก ส่วนการสั่งงานด้วยเสียงจากการกดเลือกที่พวงมาลัยก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง มักเป็นการสั่งโทรออกมากกว่า สุดทางตรงผู้เขียนตัดเข้าไปทางเส้นเข้าปทุมธานีเพื่อเลี่ยงไปวิ่งเข้าอยุธยาผ่านถนนหมายเลข 347 แวะวิ่งรอบคูเมืองเพื่อบันทึกภาพและพักรับประทานอาหารกลางวันแบบเปิดท้ายรถก็ใช้อาศัยนั่งได้สบาย การเปิดท้ายรถของซีวิคใหม่ปุ่มเปิดท้ายย้ายมาวางไว้ที่แผงข้างประตูคนขับนับเป็นความสะดวกที่ไม่ต้องก้มแบบที่คุ้นเคยในรถหลายรุ่น จนได้เวลาพอสมควรก็ขับกลับเข้ากรุงเทพฯ
ผู้เขียนขับมุ่งหน้าเข้านนทบุรี เพื่อบันทึกภาพการขับต่อ ช่วงกลับเข้ากรุงเทพฯก็ได้ใช้เส้นทางด่วนพิเศษขับกลับ ระหว่างทางก็นึกถึงสิ่งที่อยากให้มีเพิ่มก็คือ การรองรับแอปพลิเคชันที่มากขึ้นไม่ว่าระบบ แอนดรอยด์ออโต หรือแอปเปิ้ลคาร์เพลย์ เช่น TomTom GO Navigation ไว้นำทางพร้อมรายละเอียดที่อัพเดท รวมทั้งการเตือนกล้องจับความเร็วด้านหน้า บอกตรงๆ ว่าการได้ขับซีวิคใหม่ที่มีพลัง 178 แรงม้า เทอร์โบบูสต์ให้รู้สึกตั้งแต่ 1,700 รอบต่อนาที มักทำให้ความเร็วไหลเกินที่กำหนดไปง่ายๆ ช่วงที่เส้นทางเปิดโล่งไร้รถด้านหน้า-หลัง ได้ลองเบรกชะลอหยุดจากความเร็ว 100 กม./ชม. น่าเสียดายที่ไม่มีเครื่องมือวัดจับเวลาเป็นตัวเลข แต่จากความรู้สึกเบรกหน่วงชะลอจนหยุดนิ่งให้พลังการจับและความรู้สึกตอบกลับที่ดีเกินคาด ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนหรือรถผู้เขียนที่เบรกเป็นดิสก์ 4 ล้อ ยาง 17 นิ้วเหมือนกัน เมื่อขับมาถึงแจ้งวัฒนะก็มุ่งหน้าต่อไปนนทบุรีเพื่อบันทึกภาพการขับบนสะพานเพิ่มเติมและขับใช้งานในสภาพการจราจรหนาแน่นมากขึ้น พร้อมกันนี้ได้ลองปรับโหมดใช้งานทั้ง แบบประหยัด ปกติ และสปอร์ต สลับไปในหลายๆ ช่วง พบว่าชอบโหมดปกติยืนพื้น ถ้าต้องการเร่งหรือขับแบบสปอร์ตในรุ่น RS ก็มีแพดเดิ้ลชิฟต์ให้เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เอง ลองแล้วก็สะดวกสบายไม่ต้องละมือไปจากพวงมาลัยด้วย อย่างไรก็ตามการทดสอบในแบบวันเดียวก็ยังอาจไม่ได้ลึกซึ้งเสมือนการใช้งานจริงแบบในชีวิตประจำวันมากนัก ทั้งการขับเข้าตึก เลาะเลี้ยวถนนตรอกซอยในเมือง การเดินเบาขยับออกตัวนานๆ ฯลฯ แต่ก็พอได้ข้อสรุปที่น่าพอใจกับการขับเป็นระยะทางกว่า 280 กม. ถ้ามีข้อข้องใจก็น่าเป็นตำแหน่งเบาะที่วางใกล้พื้นรถเน้นความรู้สึกการขับแบบสปอร์ตและได้ค่าซีจีที่ต่ำ แต่นั่นทำให้ผู้เขียนเริ่มรู้สึกเมื่อยก้นหลังขับต่อเนื่องมานานๆ บางคนบอกเป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยระยะทาง 200 กม. ขึ้นไปเทียบกับรถซีดานผู้เขียนกลับไม่เป็นเช่นนั้น น่าจะมาจากความหนาของตัวเบาะรองนั่งที่เน้นความสปอร์ตด้วย จุดนี้จริงๆก็แล้วแต่คนด้วย โดยรวมแล้วก็ประทับใจกับสมรรถนะการขับ รวมทั้งฟีเจอร์ และระบบช่วยเหลือ ความปลอดภัยของฮอนด้าซีวิคใหม่รุ่น RS
ฮอนด้า ซีวิค RS 2022 ใครที่เลือกรถรุ่นนี้ ย่อมต้องการความครบครันในทุกด้านของซีวิคใหม่ ด้วยราคา 1,199,900 บาท
แต่ถ้าต้องการประหยัดไปอีกราว 2 แสนก็หันไปเลือกรุ่น EL+ ที่ราคา 1,009,900 บาท ซึ่งตอบรับการใช้งานได้ไม่ต่างกันเลย ระบบฮอนด้า Sensing ก็มีให้ครบทุกรุ่นย่อยอยู่แล้ว ความต่างๆ หลักภายนอก ขนาดล้อต่างนิ้วเดียว ได้นุ่มสบายกว่า ไฟหน้าเป็นโปรเจคเตอรธรรมดา ไม่ใช่ LED ยังไงก็สว่างพอใช้งาน ภายในได้เบาะหนังเหมือนกัน แต่จอกลางเล็กกว่า 2 นิ้ว จุดนี้ก็คงไม่ได้นั่งจ้องกันตลอดเหมือนดูทีวี แค่เห็นพอเลือกเมนูชัดเจน ส่วนผู้โดยสารร่วมรถยุคนี้ก็ชอบก้มหน้ามองแต่สมาร์ทโฟนตนเอง ลูกเล่นทันสมัยอย่าง ฮอนด้าสมาร์ทคีย์การ์ด ที่ให้ความสะดวกต่อการพกพาแทนรีโมทเฉพาะรุ่น RS แต่ถ้ายังให้พกกุญแจรีโมทแบบเดิมติดตัวก็คงไม่มีใครรู้สึกแย่มั้ง ส่วนตัวผู้เขียนคงเลือก EL+ ประหยัดเงินเกือบสองแสนนับว่ามีผลพอสมควร
แต่ถ้างบคุณถึงแบบจัดเต็มได้ก็ใส่รุ่น RS หล่อครบแบบไม่มีอะไรคาใจภายหลัง อย่างไรไปสัมผัสลองขับจริงได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศครับ