e:HEV จากฮอนด้า พร้อมขับสนุกไปกับพลังระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD

ในยุคที่ยานยนต์กำลังรุดหน้าด้วยเทคโนโลยีไฮบริดและ EV การมีความรู้ความเข้าใจหลักการทำงานและประโยชน์ที่จะได้จากการใช้งานเป็นเรื่องที่ควรรู้ไม่น้อย เพราะไม่ใช่แค่เพียงรูปลักษณ์ที่ชอบกับราคาที่พอใจจะช่วยให้เราได้รถที่เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบันถึงอนาคตได้อย่างคุ้มค่าเสมอไป ในเมื่อทิศทางการผลิตรถยนต์มุ่งสู่โลกของยานยนต์พลังไฟฟ้ามากขึ้น การเปลี่ยนถ่ายการใช้รถจากเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมๆ ไปสู่ EV ด้วยรถไฮบริด เป็นทางเลือกที่ลงตัวและสะดวกที่สุด ในยุคที่เกือบทุกแบรนด์มีรุ่นไฮบริดออกจำหน่าย ทำให้ผู้บริโภคหลายคนอาจสับสนและลังเลกับการเลือก ทีมงานคาร์กูรูไทยแลนด์ ของ เช็คราคา.คอม จึงขอแนะนำ e:HEV ชื่อที่ใช้เรียกผลิตภัณฑ์ของฮอนด้าที่เป็น Full Hybrid และนี่คือรายละเอียดที่ควรรู้    

ทราบหรือไม่ว่า ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ในยานยนต์ฮอนด้า ถูกแนะนำครั้งแรกกับฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด เจเนอเรชั่นที่ 9 ซึ่งได้สร้างปรากฎการณ์และได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ล่าสุด เทคโนโลยี full hybrid ของฮอนด้าได้ถูกส่งผ่านจากรถยนต์ระดับพรีเมียม สู่ซิตี้คาร์ในรุ่น ซิตี้ อีเอชอีวี เป็นครั้งแรก  

ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD เป็น Full Hybrid ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของเครื่องยนต์กับ 2 มอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน (Lithium-ion) ที่ทำงานร่วมกันอย่างชาญฉลาด ตั้งแต่ขณะรถหยุดนิ่ง เริ่มออกตัว ใช้ความเร็วต่ำ ขณะเร่งแซง ความเร็วสูง และระหว่างลดความเร็ว โดยระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD สามารถเลือกและปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างหมาะสม เพื่อใช้พลังงานทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยสมรรถนะที่ดีอย่างต่อเนื่อง  

ทีนี้ ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD ช่วยได้อย่างไร เริ่มจากวิเคราะห์สถานะการขับเคลื่อนของตัวรถ เพื่อประสานการทำงานของเครื่องยนต์ และ 2 มอเตอร์ไฟฟ้า โดยมอเตอร์ตัวแรกทำหน้าที่เป็น Generator ปั่นกระแสไฟ มอเตอร์ตัวสองทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ ช่วยเสริมการทำงานให้กับเครื่องยนต์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และมาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน เก็บไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาร์จได้เร็ว และมีน้ำหนักเบา ขนาดกระทัดรัด ทำงานได้อย่างเหมาะสม และครอบคลุมการใช้งานจริงได้ครบถ้วน โดยการทำงานของระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD สามารถปรับโหมดการขับขี่เพื่อให้เหมาะสมกับทุกการขับขี่ ดังนี้

1. ขณะรถหยุดนิ่ง (Engine Stop) - เช่น ตอนรอสัญญานไฟหรือจอดสตาร์ทแบตเตอรี่จะจ่ายพลังงานให้ระบบแอร์ โดยเครื่องยนต์ไม่ต้องทำงาน ตราบใดที่แบตเตอรี่ยังมีไฟพอเพียง

2. ขณะออกตัวและเพิ่มความเร็ว (EV DRIVE / HYBRID DRIVE) เช่น จากจุดหยุดนิ่ง จะออกตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก่อน เครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน เว้นแต่ระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไม่พอ เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานและออกตัวด้วยโหมดไฮบริด ส่วนช่วงเพิ่มความเร็วนั้นการขับเคลื่อนจะเป็นโหมดไฮบริด

3. ขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ-ปานกลางคงที่ (EV DRIVE / HYBRID DRIVE) - เช่น การขับในเมืองที่มีการกำหนดความเร็ว ลักษณะแบบนี้จะเป็นโหมดขับด้วยไฟฟ้า เลือกสลับกับโหมดขับแบบไฮบริด ทั้งนี้ขึ้นกับระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่

4. ขณะเร่งแซง (HYBRID DRIVE) - แน่นอนว่าต้องใช้พลังมากกว่าทั่วไป ระบบจึงใช้โหมดขับแบบไฮบริดเพื่อเพิ่มกำลังอย่างฉับไว

5. ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่ (ENGINE DRIVE / EV DRIVE) - เช่น การขับบนถนนเปิดโล่ง อย่าง ทางด่วนพิเศษ หรือ เส้นทางระหว่างจังหวัด ระบบจะใช้โหมดขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ล้วน แต่จะตัดสลับไปโหมดขับด้วยไฟฟ้า 100% ขึ้นกับระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่

6. ขณะลดความเร็ว จังหวะที่ต้องยกคันเร่ง ระบบจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดขึ้นจากการลดความเร็วให้เป็นพลังงานไฟฟ้าและชาร์จกลับเข้าแบตเตอรี่

มาถึงบทสรุปสำหรับการเลือกรถคู่ใจคันใหม่ แน่นอนว่าต้องพิถีพิถันเพื่อสิ่งดีที่สุด การหารถที่ใช่และเหมาะกับผู้ใช้ตลอดจนคนรอบข้างเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่ในรายละเอียดรอบด้าน ด้วยหลักการทำงานและข้อดีของ e:HEV ที่จะถูกติดตั้งอยู่ในฮอนด้ารุ่นใหม่ๆแล้วนั้น และ นี่คือ 3 เหตุผลสำคัญในการตัดสินใจ

• High Performance ขับสนุกด้วยอัตราเร่งที่ทรงพลัง - มั่นใจทุกการขับเคลื่อนด้วยการทำงานที่ทรงประสิทธิภาพของขุมพลังเครื่องยนต์ ที่ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า
• High Saving ประหยัดเกินคาดด้วยการปรับโหมดการขับขี่ ให้เหมาะกับทุกการเดินทางอย่างมีประสิทธิภาพ - ด้วยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกการขับเคลื่อน ทำให้ประหยัดการใช้เชื้อเพลิงได้อย่างดีเยี่ยม
• High Confidence เพิ่มความมั่นใจไปถึงทุกจุดหมายได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟ

*คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://bit.ly/2TfLM3L