รีวิว - ทดลองขับ MG HS PHEV รถ SUV Plug-in Hybrid วิ่งไฟฟ้าล้วนกว่า 60 กม.กับความแรงแบบ EV จริง!
ทดลองขับรถยนต์
MG HS PHEV ที่โดดเด่นด้วยรูปทรงสปอร์ตเอสยูวี ดีไซน์โดนใจ สมรรถนะจัดจ้านในโหมด Normal หรือ Hybrid กำลังของทั้งเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์
EDU II -10 SPEEDS ซึ่งแบ่งเป็นเครื่องยนต์ 6 สปีด และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 4 สปีด ที่ทำงานร่วมกันต่อเนื่องกันและเพื่อทดรอบของมอเตอร์ไฟฟ้าให้ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยลงที่ความเร็วสูง
ส่วนของเครื่องยนต์ให้พละกำลังสูงสุดถึง 162 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตร ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร รวมทั้ง 2 ระบบ 284 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร สามารถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนได้ 67 กม. ด้วยความจุแบตเตอรี่ลิเธียมไออน 6 โมดูล 16.6 Kwh ชาร์จด้วยไฟบ้านด้วย Home charger 4 ชม. และสายชาร์จธรรมดาด้วยปลั๊ก 5.5 ชม. รองรับไฟฟ้าแบบ AC หัวปลั๊ก Type2
เทคโนโลยี i-Smart กล้องมองรอบคัน 360 องศา หลังคาพาโนรามิกรูฟ ช่วงอิสระ 4 ล้อ และสิ่งที่แตกต่างกันหรือปรับเพิ่มขึ้นมาได้แก่ มาตรวัดแบบจอสี TFT ที่แสดงผลการทำงานระบบไฮบริด และส่วนของเครื่องเสียงที่ให้ลำโพง BOSE ทั้งคัน และมีทั้งภายในสีทูโทนขาว-น้ำเงิน และดำ แดง
ขับในสภาพการใช้งานจริงจากจุดเริ่มต้น CDC ถนนเลียนทางด่วน - ผ่านถนนพระราม 3 - อนุเสาวรีย์ - ถนนสิรินธร - พุทธมณฑลสาย 1 - ถนนราชพฤกษ์ - ถนนกรุงธนบุรี - สาทร - และกลับ CDC รวมระยะทาง 63 กม.
3 ช่วงทดสอบสุดแบบใช้งานจริง
แบ่งเป็น 3 ช่วงทดสอบแต่ช่วงที่น่าสนใจคือ ช่วงแรกทดลองใช้โหมด EV วื่งยาว ๆ กว่า 30 กม. ซึ่งโหมด EV นี้สามารถขับได้สมรรถนะที่ดีไม่แพ้รถยนต์ EV ล้วน ๆ ทั้งอัตราเร่ง การออกตัว และการเร่งแซง โดยที่เครื่องยนต์ไม่ติดขึ้นเลยแม้จะคิกดาว์นก็ตาม นับว่าได้ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน ๆ เต็มประสิทธิภาพ และมอเตอร์ไฟฟ้านั้นเป็นขดลวดแบบ Hairpin อัดแท่งขึ้นรูป ขนาดเล็กลงแต่จ่ายกระแสไฟดีกว่าแบบธรรมดา ระบายความร้อนได้ดี
ตัวแบตเตอรี่มีระบบป้องกันมากมายมาตรฐานโลก ป้องกันฝุ่น น้ำ การเผาไหม้ การบิดตัว และเป็นโรงานผลิตแบตเตอรี่เดียวกันกับรถยนต์ชั้นนำของโลกอย่างเทสล่า ฯลฯ
การชาร์จพลังงานกลับในขณะขับขี่ก็สามารถทำได้ 2 รูปแบบหลักคือ การเลือกในเมนูชาร์จไฟจากเครื่องยนต์ปั่นไฟเข้าได้ 3 ระดับแบบปกติ แบบ 50 และ 75 เปฮร์เซ็นต์ ส่วนอีกวิธีคือการเจนเนอเรตไฟกลับด้วยแรงเฉี่อยหรือ KERS จากการชะลอความเร็วโดยปรับระดับได้อีก 3 ระดับ หน่วงน้อย-ปานกลาง-มาก แต่การปรับในสเต็ปหน่วงมากก็ไม่ทำให้หยุดจนหัวทิ่ม เพียงแค่ชะลอเยอะกว่าระดับอื่น ๆ และยังไม่ดึงเท่ารถยนต์ไฟฟ้า
ระดับแบตเตอรี่ 84 เปอร์เซ็นต์ วิ่งได้อีกตั้ง 56 กม.
จะเห็นว่ารถยนต์ใช้ไฟต่ำมากเพียง 4 - 5 แอมป์ ในการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเล็ก ๆ ปั่นคอมเรพสเซอร์แอร์และระบบไฟทั่วไป
แบตเตอรี่หมดเลี้ยงแต่ยังใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการเริ่มออกตัวเสมอ
ในช่วงที่ 2 และ 3 เป็นการใช้โหมดปกตินั่นคือ ขับแบบไฮบริดทั่วไป นับว่ามันสุด ๆ เร่งทันใจมากขึ้น และสั่งได้จริง และการขับโหมดนี้จะเน้นการออกตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักก่อน และจึงใช้เครื่องยนต์ช่วยเสริมกำลัง ในบางช่วงอาจใช้กำลังทั้ง 2 ระบบควบคู่กันหรือใช้เครื่องยนต์ปั่นไฟเก็บเข้าแบเตอรี่และส่งตรงไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าไปพร้อมกันอีกด้วย แต่ความพิเศษคือ ระบบเกียร์ 10 สปีด!!
เครื่องยนต์ 6 สปีด และมอเตอร์ไฟฟ้า 4 สปีด รวม 10 สปีด!!
ระบบเกียร์ 10 สปีดจะแบ่งเป็นของเครื่องยนต์ 6 สปีด และมอเตอร์ไฟฟ้า 4 สปีด เพื่อให้ทำงานสอดคล้างกันต่อเนื่องมากที่สุด พร้อมชุดเฟืองตัดต่อกำลัง 2 ระบบเข้าด้วยกันอย่างนุ่มนวล นั่นคือ แม้ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแต่ก็มีอัตราทด 4 สปีด จากรถไฟฟ้าทั่วไปที่มีเพียง 1 หรือ 2 สปีด
ประหยัดเหนือกว่ารถประเภทเดียวกัน
ความประหยัดที่น่าประทับใจ ไม่ได้อวยเอ็มจีแต่งานนี้ต้องยอมรับว่าแม้จะขับแบบไฮบริดผสมผสาน 2 ระบบในการจราจรติดสาหัดมาก ตัวเลขที่แย่สุด ๆ ในทริปนี้จากทั้งหมด 8 คัน ก็ออกมาสวย ๆ คือ 23 กม./ลิตร แต่มีบางคันที่โดดขึ้นไป 27 - 28 ปลาย ๆ เลยทีเดียวครับ
แม้แบตฯ เหลือ 0 แต่ก็ยังใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อน ส่วนเครื่องยนต์ก็ชาร์จไฟไปเลี้ยงทั้งมอเตอร์และเก็บเข้าแบตฯ
ออปชั่นและความปลอดภัยเพียบ!!
แม้จะเป็นขับไม่ยาวนานนักแต่ก็พอจะสัมผัสความประหยัด อัตราเร่ง และการขับขี่ในรูปแบบใช้งานในเมือง ชานเมือง รถติดขัดได้ค่อนข้างเหมือนใช้จริง ๆ และยังมีระบบความปลอดภัยที่เยอะเกินตัวทั้งระบบเตือนเบรกด้านหน้าที่ขยันและเตือนไว้ดี ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางทำงานตลอด สัมผัสได้จากพวงมาลัยจะขยับเองตลอด หรือจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติทั้งความสูงและต่ำพร้อมระบบหยุดและออกตัวอัตโนมัติในเวลาไม่เกิน 3 วินาที เรียกว่า ฟังก์ชั่นที่ให้มาเทียบเท่ารถยุโรปราคาสูง ๆ สบาย ๆ
ระบบ TJA ควบคุมความเร็วต่ำทั้งตามคันหน้าเบรกและออกตัวเอง (สัญลักษณ์รถเหลือหลายคันนั่นแหละครับ)
นอกนั้นก็เป็นกำไรส่วนที่นอกเหนือจากการใช้งานธรรมดาได้แก่ พาโนรามิครูป, เครื่อง BOSE, เบาะไฟฟ้าคู่หน้า, ระบบสั่งการด้วยเสียงที่แม่นยำกว่าเดิม กล้องรอบคัน 360 องศา เป็นต้น
ปุ่ม Super Sport ก็นับเป็นอาวุธเด็ดเวลาจะจัดเต็มทั้งระบบ อัตราเร่งจัดจ้านขึ้นและขับสนุกแรงมากขึ้นด้วยการผสานกำลังทั้ง 2 ระบบให้มีเอาพุตออกมาเต็มที่มากที่สุด หรือจะเรียกว่า Sport Mode ก็ได้ครับ
บอกแล้วว่าไม่ได้อวย เอาเป็นว่ายังพอมีข้อแนะนำเพิ่มเติมบ้าง เช่น เบาะคนขับนั่งนานมีอาการเมื่อยล้าบ้าง เพราะทรงเน้นแบบสปอร์ตมากเกินไป จึงลดความนุ่มนวล ระบบช่วงล่างยังมีโยนและโคลงบ้างในความเร็วสูง ส่วนเสียงเข้าห้องโดยสารยังพอได้ยินจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ เสียงลมมีในช่วงความสูง ๆ นับว่าพอรับได้
สรุปว่า
MG HS PHEV ราคา
1,359,000 บาท มีระบบปลั๊ค-อิน ไฮบริด วิ่งมิอเตอร์ไฟฟ้าล้วน 67 กม. ไม่ต้องใช้น้ำมัน อัตราเร่งดีงานทันใจใน ออปชั่นเยอะ ระบบความปลอดภัยมากเกินตัวคุ้มหรือเปล่าอยู่ที่คุฯตัดสินใจเองครับ นอกจากนี้ยังมีฟรี Home Charger ติดตั้งฟรี รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี ฟรีบำรุงรักษาพร้อมอะไหล่ 5 ปี เป็นต้น
ตารางการบำรุงรักษาที่ไม่แพงอย่างทีคิดสำหรับรถยนต์ไฮบริดชาร์จไฟฟ้าได้จากภายนอก เพียงแค่เสียบปลั๊ค!!!