NEW MITSUBISHI OUTLANDER PHEV รถยนต์ SUV ที่ไม่มีเกียร์แต่มี Paddle shift งงเด้..?
NEW MITSUBISHI OUTLANDER PHEV รถยนต์อเนกประสงค์สุดหรูแบบ SUV แท้เป็นโครงสร้างตัวโนโนค็อคไม่ใช่เกาะบนแชสซีส เหมือนอย่างรถ PPV จึงมั่นใจได้ถึงความนุ่มนวล เกาะถนน และสมรรถนะที่ดีจริง แถมด้วยความทรงพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตรให้กำลังสูงสุดที่ 305 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) ที่ดีที่สุดจาก
'มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีโวลูชัน' เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ใหม่ รถเอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของโลก และเป็นรถพีเอชอีวีที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในโลก
มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี ใหม่ มีให้เลือก 2 รุ่น เริ่มต้นที่รุ่น
GT มีราคาจำหน่ายที่ 1,640,000 บาท และรุ่น
GT-Premium มีราคาจำหน่ายที่ 1,749,000 บาท ด้วยความอลังการของระบบขับเคลื่อนขนาดนี้ รวมถึงกำลังมหาศาลจากแรงม้า 305 ตัว และแรงบิดสะท้านถนนที่ 531 นิวตันเมตร แต่มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม.ต่อลิตร หรือ 1.9 ลิตรต่อ 100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำที่ 43 กรัมต่อกม. และที่สำคัญเป็นรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนสุดแปลกแตกต่างกับชาวบ้านเค้านั่นคือ มี Paddle Shift แต่ไม่มีเกียร์!!!
ในบทความนี้อาจไม่เขียนถึงระบบต่าง ๆ ของรถมากนัก เพราะหลายคนคงรับรู้ข่าวสารถึงความสุดล้ำชองเจ้าเอาท์แลนด์เดอร์กันไปพอสมควรแล้ว แต่สิ่งที่น่าสงสัยชวนรำคาญใจหลังจากในวันเปิดตัวที่เมืองทองธานีพร้อมกับให้สื่อได้ทดสอบแบบสั้น ๆ ที่ลานริมทะเลสาบ ก็เลยมีความสงสัยกับเจ้า Paddle Shift นี้แหละครับว่า ทำมีไว้ทำไมในเมื่อไม่มีเกียร์!!
คำตอบคือ...ชุดคลัตช์ Clutch
เอาท์แลนเดอร์ มีชุดขับเคลื่อนของเจ้าขุมพลังที่ผสานเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้า ถูกออกแบบให้เครื่องยนต์ส่งกำลังผ่านชุดคลัตช์ (Clutch) ทำหน้าที่ตัด-ต่อกำลัง พร้อมระบบควบคุมกำลังแปรผันการขับเคลื่อน ที่จะรับกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าชุดหน้าพร้อม ๆ กัน และมีมอเตอร์ไฟฟ้าชุดหลังอีกชุด โดยจะมีหน้าที่คำนวนการแปรผันกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้านี้ให้ทำงานตามสภาวะการขับขี่อย่างอัตโนมัติ ผ่านระบบสุดไฮเทคที่ชื่อว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล (S-AWC) เช่น สภาวะปกติไม่เน้นอัตราเร่งนักก็จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเป็นหลักอาจจะ 60% และเครื่องยนต์ที่ 40%
ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าชุดที่หมุนล้อหลังก็จะถูกคำนวนการออกแรงขับเคลื่อนระหว่างล้อและล้อหลังรวมเป็น 4WD หรือ S-AWC (Super-All Wheel Control) อีกทีหนึ่งนั่นคือ แรงขับเคลื่อนจากล้อหน้า 60% และล้อหลัง 40% เป็นต้น (ตัวเลขเป็นเพียงการยกตัวอย่างง่าย ๆ)
สรุปโดยรวมก็คือ เจ้าเอาท์แลนด์เดอร์แปรผันระบบขับเคลื่อน 4 ล้อในสภาวะนี้ที่ด้านหน้า 60% หลัง 40% (ซึ่งในส่วนของกำลังด้านหน้าถูกแปรผัน 2 กำลังออกมาแล้ว) แต่ที่เป็นไฮไลท์คือ กำลังจากเครื่องยนต์ที่ส่งไปยังล้อโดยผ่านชุดคลัตช์ควบคุมกำลังนั้น ไม่มีอัตราทดหรือการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ใด ๆ เลย
หลักการทำงานของขับเคลื่อนที่ถูกส่งจากเครื่องยนต์นั้นได้รับการยืนยันจากทีมมิตซูบิชิว่า "เป็นกำลังที่ลงล้อจริง ๆ ไม่ใช่แค่ปั่นไฟ" เพียงแต่ว่าผ่านชุดควบคุมตัวนี้และแม้ว่าจะเร่งรอบเครื่องยนต์สูงแค่ไหน เจ้าชุดระบบควบคุมกำลังด้านหน้านี้เอง จะคอยปล่อยให้เครื่องยนต์หมุนน้อยลง และเสริมกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าชดเชยเข้าไป แม้จะไม่มีระบบเกียร์แต่รอบเครื่องยนต์ยังคงไม่สูงมากนัก
Paddle Shift ใช้ในการ Regenerative Braking !!
สำหรับ Paddle shift นั้น ความหมายจริง ๆ ไม่ใช่เป็นสวิตช์สำหรับเปลี่ยนเกียร์อย่างเดียว มันคืออุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ใช้สั่งการทำงานฟังก์ชั่นที่กำหนดมาเท่านั้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "ก้านเปลี่ยน..." แต่จะเปลี่ยนอะไรนั้นขึ้นกับผู้ผลิตรถยนต์จะโปรแกรมเข้าไป ซึ่งส่วนมากแล้วในรถยนต์มักจะเป็นตัวสั่งการ "เปลี่ยนตำแหน่งเกียร์"
แต่สำหรับใน
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV แตกต่างกันออกไป เพราะเป็นรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าร่วมอยู่ จึงออกแบบให้มีฟังก์ชั่นพิเศษขึ้นมานั่นคือ
"Regenerative Braking" หรือการชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ ซึ่งมีอยู่หลายตำแหน่งยิ่งเลขมากยิ่งเบรกหรือหน่วงความเร็วมากเท่านั้น เริ่มตั้งแต่ B0 - B5 ซึ่งยิ่งเลขมากก็ยิ่ง "รีเจนฯ" หรือชาร์จไฟมากตามไปด้วยครับ
เมื่อขับขี่ในตำแหน่งเกียร์หรือจอยสติ๊ก "D" แบบปกติหากถอดคันเร่งออกการ "รีเจนฯ" จะอยู่ตำแหน่ง B2 ซึ่งจะมีอาการหน่วงเบา ๆ เหมือนขับขี่รถยนต์ทั่วไป ซึ่งจอยสติ๊กสามารถขยับไปตำแหน่ง B3/B5 ได้ และถ้ายังหน่วงไม่ทันใจหรือต้องการชะลอแบบลดความเร็วลงอย่างรวดเร็วก็สามารถไปใช้ "Paddle shift" ได้โดยที่ "เมื่อต้องการลดความเร็วช้า ๆ ต้องเปลี่ยนให้เลขน้อย ๆ และถ้าต้องการลดความเร็วลงอย่างรวดเร็วต้องเปลี่ยนไปที่เลขมาก ๆ เป็นต้น ได้แก่ B0-B1-B2-B3-B4-B5
สรุปง่าย ๆ (อีกครั้ง) คือ Paddle shift ของ Outlander PHEV ใช้เมื่อต้องการ "รีเจนฯ" หรือชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีสเต็ปความหนืดต่าง ๆ ให้เลือกตามต้องการนั่นเองครับ
Pre-Test NEW MITSUBISHI OUTLANDER PHEV
จากที่ได้ทดลองขับ NEW MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ในเทร็คสั้น ๆ เครื่อง 2.4 ลิตร มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว หน้าและหลังกำลัง 305 แรงม้า 531 นิวตันเมตร โดยมีช่วงขับทดสอบอัตราเร่ง และเบรกอย่างกระทันหัน การขับเข้าวงกลมหรรษาใข้ความเร็ว 20 กกม./ชม.ขึ้นไป ทดสอบการทำระบบการควบคุม S-AWC ที่พื้นลาดน้ำและลงซันไลให้ลื่นกว่าเดิม ต่อจากนั้นก็สลาลอม เป็นอันจบ
ต้องบอกว่าตัวรถดูหรูหราพรีเมี่ยม ผู้ดีเรียบร้อย แต่สมรรถนะโดยเฉพาะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและการควบคุมการทรงตัว DNA จากตัวแข่ง ทำให้กลายเป็นรถสปอร์ต SUV ที่ควบคุมง่าย แม่นย้ำ พวงมาลัยคม เบาแต่ยังให้ความนุ่มนวล อัตราเร่งออกตัวอาจไม่ได้พุ่งปรู้ดมากนัก เพราะยังคงเป็นรถที่เน้นการขับขี่อย่างนุ่มนวล
เมื่อลองเปลี่ยนตำแหน่งจาก Paddle shift ครั้งแรก งงสิครับ!.. อย่างที่เขียนไว้ด้านบนว่า Paddle shift มีไว้รีเจนฯ เมื่อลองเร่งเครื่องสุด แล้วเปลี่ยนตำแหน่ง "ลบ" ที่แป้นปรากฏว่า รถยังคงไหลลื่นเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด!!
แต่เมื่อลองทดสอบอีกครั้งเร่งเครื่องแล้วเปลี่ยนตำแหน่ง "บวก" เพื่อเพิ่มไล่ตัวเลขเป็น B3-B4 และ B5 ปรากฏว่ารถหน่วงความเร็วลงอย่างชัดเจน ดังนั้นหากจะใช้งานเจ้า Paddle shift นี้ต้องเล่นให้คุ้นเคยมาก ๆ เพราะมันจะทำงานตรงข้ามกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ เลยครับ
สรุป Outlander รถ SUV พรีเมื่ยม นุ่มนวล ให้สมรรถนะการควบคุมแบบรถสปอร์ต..และนับเป็นรถ PHEV หนึ่งเดียวในตลาดที่ให้อัตราสื้นเปลืองต่ำมากเพียง 52.6 กม./ลิตรและคาย Co2 แค่ 43 กรัม/กม.
สำหรับ Mitsubishi Outlander PHEV ไม่ควรมองแต่ภายนอก ต้องลองขับก่อนแล้วค่อยมาดูรายละเอียดว่ามีออปชั่นและเทคโนโลยีอะไรบ้าง..!!!!
ข้อมูลระบบไฟฟ้าใน Mitsubishi Outlander PHEV
Mitsubishi Outlander PHEV รถยนต์ที่ใช้ได้ทั้ง 2 ระบบคือ น้ำมันและไฟฟ้า เมื่อชาร์จไฟรถยนต์จนเต็มสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้า 100% ได้ไกลถึง 55 กม. ด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดใหญ่ 13.8 กิโลวัตต์/ชั่วโมง
นอกจากมีระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Active Stability Control (ASC) ยังมีระบบควบคุมการขับเคลื่อนและการเบรกระหว่างล้อซ้ายและล้อขวา Active-Yaw Control (AYC) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ติดตั้งที่เพลาหน้า-หลัง ควบคุมแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ พร้อมเสถียรภาพ เพิ่มสมรรถนะและการควบคุม มั่นใจทุกการเข้าโค้ง
ระบบซูเปอร์-ออลวิลล์คอนโทรล ยังทำงานร่วมกับโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ ประกอบด้วย โหมดล็อค (มอบสมรรถนะเต็มรูปแบบของระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ) โหมดสโนว์ (ให้การควบคุม การยึดเกาะ และการควบคุมที่ดีเยี่ยม เมื่อขับขี่บนพื้นผิวถนนที่เปียกลื่น) โหมดนอร์มอล (ควบคุมแรงบิดของแต่ละล้อให้เหมาะกับสภาพการขับขี่) และโหมดสปอร์ต (เพิ่มความแม่นยำของคันเร่ง การควบคุม และการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้ดีมากขึ้น) ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการยึดเกาะและลุยผ่านทุกสภาพถนน พร้อมช่วยรักษาเสถียรภาพ และเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
และโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมดอีวี (ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ) โหมดซีรีย์ ไฮบริด (ขับเคลื่อนหลักด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีเครื่องยนต์ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าคู่) และ โหมดพาราเรล ไฮบริด (เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถไปพร้อมกัน)
การชาร์จรูปแบบปกติ AC ให้กำลังไฟ 100% ในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง และการชาร์จไฟแบบเร็ว DC ให้กำลังไฟ 80% ในเวลาประมาณ 25 นาทีด้วยหัวชาร์จ CHAdeMO
รับประกันแบตเตอรี่นาน 10 ปี
ระยะเวลาการรับประกันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 10 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน*