รีวิว Nissan Kicks สมรรถนะ EV หมดห่วงเรื่องชาร์จไฟไปได้ไกลเท่าที่ใจต้องการ ค่าดูแลเทียบเท่าอีโค่คาร์
Nissan Kicks ePower รถยนต์ที่มาในคอนเซ็ปต์ของรถไฟฟ้าล้วน ราคาประหยัด ไม่ต้องชาร์จไฟให้วุ่นวาย และขับไปไหนก็ได้ตามความต้องการ เหมือนใช้งานรถยนต์ทั่วไป แต่สมรรถนะที่ได้นั้นเทียบเท่ารถยนต์ EV นั่นคือ ประหยัดกว่า แรงกว่า และขับสนุกกว่า แต่ราคาและค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า รถระดับเดียวกัน
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า
Nissan Kicks นั้นถูกวางตัวไว้ในระดับเดียวกับรถ B-SUV เช่น
MG ZS,
Honda HR-V,
Toyota C-HR/
Corolla Cross,
Mazda CX-30/
CX-3 และ
Subaru XV เป็นต้น ซึ่งนิสสัน คิกส์นับเป็นรุ่นเดียวที่ใช้ระบบไฮบริด และไม่ใช้ไฮบริดทั่วไป เพราะระบบ ePower ในนิสสัน คิกส์นั้น เปรียบได้เท่ากับรถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน 100%
นั่นคือ
นิสสัน คิกส์ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเจ้าเดียวในไทยที่เป็นค่ายญี่ปุ่น แบบเดียวกับรุ่นพี่อย่าง
นิสสัน ลีฟ หรือหากเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าค่ายอื่น ๆ ในไทยส่วนใหญ่ก็ไปทางฝั่งแบรนด์ยุโรป เช่น
MG ZS EV,
BMW i3,
Porsche Taycan,
Audi e-Tron ซึ่งรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่เขียนมาเกือบทั้งหมดนั้น ส่วนใหญ่ต้องเสียบปลั๊คไฟเพื่อชาร์จ หรือเมื่อเดินทางไปไหนไกล ๆ ต้องคอยหาจุดแวะชาร์จแบตเตอรี่ ทำให้ไม่สะดวกมากนัก
นิสสัน คิกส์ จึงคิดค้นเทคโนโลยี
ePower ขึ้นมาโดยหลักการง่ายนิดเดียวแต่การทำระบบนั้นอาจไม่ง่ายนั่นคือ ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ไปด้วยในตัวรถเลย ไม่ต้องกังวลหาปลั๊คชาร์จอีกต่อไป เพราะระบบจะทำการ
"ขับไปชาร์จไป" ใช้น้ำมันเท่าอีโค่คาร์หรืออาจประหยัดกว่านิดนึง โดยที่คุณยังได้สมรรถนะเทียบเท่ารถยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร ทั้งการออกตัวที่ไม่รอบรอบ เร่งแซงได้ทันที และยังมีค่าบำรุงรักษต่ำกว่ารถระดับเดียวกันอีกด้วย นี่คือ
คอนเซ็ปต์ของ "นิสสัน คิกส์" ในมุมมองของผมเองครับ
นอกจากนี้หากคุณต้องการรถ B-SUV ที่ให้ทั้งความสะดวกสบาย สมรรถนะที่ดีขับสนุกได้ดั่งใจ ต้องมีงบไม่น้อยกว่า 9 แสนบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นรถยนต์ EV ล้วนล่ะ ต้องมีงบเท่าไหร่ ผมว่าทะลุ 2 ล้าน แถมยังต้องวุ่นวายกับการหาปลั๊กไฟอีก เพราะต้องยอมรับว่าจุดชาร์จไฟในประเทศไทยนั้นยังไม่พร้อมรับมือกับรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในขณะนี้!
ปล.ไม่นับรถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดที่เป็นการขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งระบบนั้นจะชาร์จไฟในตัวเองอยู่แล้ว และราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 9 แสนบาทขึ้นไป
ระบบ Nissan ePower VS Hybrid ทั่วไปต่างกันอย่างไร?
นิสสัน คิกส์ อีเพาเวอร์ (ePower) นับเป็นรถยนต์ที่ถูกผลิตให้เป็นรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นก็จะมีสมรรถนะเช่นเดียวกับรถยนต์ EV ก็คือ ไม่รอรอบ เงียบ ประหยัดพลังงาน และบำรุงรักษาต่ำ และแก้ปัญหาการชาร์จด้วยการติดตั้งเครื่อยนต์เล็ก ๆ เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 12 วาล์ว ขนาด 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 103 นิวตันเมตร ที่ 3,600 - 5,200 รอบ/นาที ความจุน้ำมัน 41 ลิตร ทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator)
พร้อมด้วยชุดอินเวอร์เตอร์ โดยเครื่องยนต์สันดาปภายในกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่แบบลิเธียม ไอออน (Lithium ion) มีขนาดกะทัดรัด และส่งผ่านไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 กำลังสูงสุด 129 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 500 - 3,008 รอบ/นาที เพื่อขับเคลื่อนล้อคู่หน้า และหากในภาวะต้องการกำลังเต็มที่ กระแสไฟที่ได้จากการปั่นก็จะสามารถจ่ายตรงสู่มอเตอร์ได้ทันทีอีกด้วย พร้อมเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ วัน-เพดัล (One-Pedal) ใช้คันเร่งควบคุมการเร่งและชลอหยุดรถได้ในหนึ่งเดียว
e-POWER มาพร้อม 4 โหมดการขับคือ ปกติ (Normal Mode) เอสหรือสมาร์ทโหมด (Smart Mode) อีโค (Eco Mode) และอีวี (EV Mode) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลือภายในแบตเตอรี่ โดยเครื่องยนต์จะไม่ทำงานจนกระทั่งแบตเตอรี่อยู่ในระดับต่ำ ให้ความเงียบและประหยัดสูงสุด
D - ใช้ขับขี่ทั่วไปโหมดนี้จะให้สมรรถนะจัดเต็มมากที่สุด เพราะจะทำงานแบบเต็มระบบนั่นคือ เมื่อต้องการใช้พลังงานสูงสุด เครื่องยนต์จะปั่นไฟเข้าที่มอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรงในกรณีไฟในแบตเตอรี่พอหรือไม่ก็ตาม เมื่อไฟมาเต็มมอเตอร์ไฟฟ้าก็จะมีกำลังเต็มที่ ขับสนุกแน่นอนครับ และเมื่อขับขี่ปกติระบบก็จะคำนวนตามสภาพการขับขี่อย่างแม่นยำและเตรียมพร้อมทุกอัตราเร่ง
D-S เน้นใช้งาน One-pedal ใช้คันเร่งควบคุมการเร่ง ชะลอ หรือหยุดได้ในคันเร่งเดียว โดยไม่ต้องแตะเบรกพร้อมกับไฟเบรกที่ติดขึ้นด้วย นั่นคือเมื่อต้องการเร่งเติมคันเร่งปกติ เมื่อปล่อยคันเร่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะหน่วงความเร็วเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ คล้ายอาการหน่วงของเครื่องยนต์ (Engine Brake) ซึ่งเหมาะกับการจราจรในเมืองหรือเมื่อขับขึ้น-ลงทางลาดชันและเนินเขา
D-ECO ลดการใช้พลังงานให้ประหยัดสุดทั้งระบบไฟฟ้าขับเคลื่อน เครื่องยนต์ และระบบแอร์ ก็ในแบบประหยัดนั่นเอง การตอบสนองคันเร่งจะค่อยๆ มาแบบเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ แต่ถ้าต้องการกำลังเร่งแซงในโหมดนี้ ก็สามารถคิกส์ดาวน์ได้เช่นกัน
EV ใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่โดยเครื่องยนต์จะไม่ติดขึ้น จนกว่าไฟในแบตเตอรี่จะชลอลงในระดับต่ำตามที่กำหนดไว้ เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นมาเอง โดยทางนิสสันแจ้งไว้คร่าวๆ ว่า ในโหมด EV นี้จะวิ่งได้ระยะทางประมาณ 3 - 4 กม. ขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ในขณะนั้นครับ
D-B จะเป็นการเน้นชาร์จไฟฟ้ากลับแบตเตอรี่เมื่อถอนคันเร่ง แต่ว่าความเร็วจะไม่ลดลงเร็วเท่ากับโหมด D-S และจะไม่สามารถหยุดรถจนจอดสนิทได้
จะเห็นว่าแรงม้าดูไม่มากนัก 129 ต้ว แต่ว่าสิ่งสำคัญคือ "แรงบิดครับ" เจ้าแรงบิด 260 นิวตันเมตรนี่แหละตัวทำให้เกิดความแรง ไม่ว่าคุณจะออกตัว เร่งแซง หรือ ขึ้น-ลงเขา ล้วนต้องพึ่งแรงบิดเป็นสำคัญครับ แรงบิดสูง ๆ ทำให้การขับขี่ดีในแทบทุกย่านความเร็ว และมีให้ตั้ง 500 รอบต่อนาทีอีกด้วย ไม่ต้องรอรอบ ไม่มีชิ้นส่วนเป็นภาระเยอะ กำลังถ่ายถอดจากแกนมอเตอร์ไฟฟ้า ไปที่ชุดขับเคลื่อนและลงที่ล้อทันที กระบวนการถ่ายเทกำลังสั้นและไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนมากมาย ทำให้ศูนย์เสีย "โหลด" ของมอเตอร์ไฟฟ้าน้อยลง ส่วนแรงม้านั้นเป็นกำลังที่จะพยุงให้รถวิ่งด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปได้ตามที่กำลังแรงม้ามี
ซึ่งแรงบิดระดับ 260 นิวตันเมตร มีในรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร (ไม่มีเทอร์โบ) ขึ้นไป หรือต้องเป็นเบนซิน 1.5 - 1.6 ลิตร เทอร์โบ จึงจะได้แรงบิดระดับนี้
มาต่อกันที่ "ระบบไฮบริด" ทั่วไปหลักการทำงานคือ การขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยกันโดยผ่านชุดส่งกำลังทำหน้าที่คอย "เลือก" ว่าในการใช้งานในขณะนั้น ต้องใช้กำลังเท่าไหร่ โดยที่มีระบบควบคุมการสั่งการทำงานต่าง ๆ ของเซ็นเซอร์ทุกจุดตั้งแต่ คันเร่ง, ความเร็วอากาศเข้าเครื่องยนต์ กำลังไฟในแบตเตอรี่ ความเร็วในขณะนั้น ฯลฯ รวมเข้าด้วยกันและคำนวนออกมา เพื่อให้ขับเคลื่อนไปได้ตามต้องการ ซึ่งเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนหรือชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ไปด้วย ดังนั้น ระบบไฮบริดแบบนี้ก้จะวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน ๆ ได้ไม่มากนัก
ปลั๊คอินไฮบริด เป็นการเพิ่มช่องทางชาร์จไฟด้วยการมี "หัวเสียบปลั๊ค" เอาไว้ชาร์จไฟจากแหล่งพลังงานภายนอกรถ เช่น แท่นประจุไฟฟ้า, ปลั๊คตามบ้านหรือจุดชาร์จไฟต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลานานเกิน 4 ชม. ขึ้นไปกว่าจะเต็มระบบได้ และขณะเดียวกันหากต้องการขับไปชาร์จไฟไปให้เข้าแบตเตอรี่ บางรุ่นอาจต้องกดปุ่มเลือกโหมด "Charger" เพื่อสั่งให้ชาร์จไฟ และตอนนั้นเองจะเป็นการใช้พลังงานจากเครื่องยนต์และใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียว จนกว่าไฟจะเต็มหรือกดยดเลิก
แม้ว่าระบบไฮบริดนั้นจะมีการรวมกำลังทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถยนต์ แต่ก็ยังมีอาการ "รอ" ไม่ว่าจะรอบเครื่องยนต์ รอการคำนวนการสั่งงาน หรือแม้กระทั่งการรอให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มระบบตั้งแต่ดูดอากาศเข้าเครื่องยนต์ สั่งหัวฉีดจ่ายน้ำมันตามความต้องการเข้าห้องเผาใหม้ กว่าที่ลูกสูบจะเคลื่อยที่ขึ้น-ลง ตามจังหวะ ดูด-อัด-ระเบิด-และคาย แม้จะใช้เวลาเพียงเสี่ยวของเสี่ยววินาทีก็ตาม แต่ก็ยังมีจังหวะที่ต้อง "ชงัก" นอกจากนี้ต้องรอการสั่งการของระบบควบคุมการตัดต่อกำลังระหว่างกำลังจากเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้าว่า "จะให้ใครออกแรงเท่าไหร่" ดังนั้นไม่ว่าระบบไฮบริดจะมีกำลังมากเพียงใด ก็ยังต้องมีอาการ "รอ" อยู่ไม่มากก็น้อย
สรุปคือ EV ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั้น ไม่รอรอบ อัตราเร่งมาตามเท้าตั้งแต่เหยียบคันเร่ง และมีกระบวกการทำงานของชิ้นส่วนน้อยกว่า ทำให้เสียกำลังใช้จากระบบส่งกำลังน้อยและถ่ายทอดกำลังลงพื้นได้เต็มที่กว่านั่นเองครับ
ลบข้อเสียรถยนต์ EV ไฟหมดเร็ว-วิ่งได้น้อย
อย่างบอกไปครับรถยนต์ไฟฟ้า EV ซึ่งหากมองย้อนกลับไปนั้น รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เมื่อไฟหมดก็ต้องหาที่ชาร์จไฟเข้าไป ให้สามารถวิ่งต่อไปได้ เกิดความยุ่งยาก
นิสสัน คิสก์ ก็เลยนำเอาระบบ
ePower มาใช้ขายในไทยซะเลย เพราะตัดปัญหานี้ทิ้งไป นอกจากจะขับได้ไกลเท่าที่ใจต้องการแล้ว ยังไม่ต้องเสียเงินติดตั้งแท่นชาร์จที่บ้าน แปลงสายไฟให้วุ่นวาย หรือขับไปหาที่ชาร์จไป สรุปสุดท้ายต้องกลับมาขับรถยนต์ปกติคันเดิม!
การใช้งานเหมือนรถยนต์ทั่วไปเลยครับ คือ ขับไปปกติ เมื่อน้ำมันหมดก็เติมเท่านั้น ซึ่งน้ำมัน 1 ถังสามารถวิ่งได้กว่า 600 กม. และขนาดความจุเพียง 41 ลิตร และรองรับ E20 จึงประหยัดเงินได้มาก นอกจากนี้ยังทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยแบบใช้งานขริงราว ๆ 16 - 18 กม./ลิตร
รถ EV ทำไมได้แค่ 17 กม./ลิตร?
แม้ตัวเลขประหยัดจากโรงงานเคลมที่ 23.8 กม./ลิตร แต่การใช้งานจริงย่อมแตกต่างกัน สำหรับระบบ ePower ของนิสสัน คิกส์ จะใช้เครื่องยนต์ในการปั่นไฟฟ้าเก็บเข้าแบตเตอรี่ เมื่อขับขี่ปกติคือ ไม่เร่งบ่อย ออกตัวช้า ๆ โดยไม่กดคันเร่งลึกเกินไปและไฟในแบตเตอรี่มีเกินระดับที่ไม่ต้องชาร์จไฟ เครื่องยนต์จะดับไม่ทำงาน การใช้น้ำมันเท่ากับ "0"
เมื่อเพิ่มคันเร่งมากขึ้นจนถึงจุดที่ต้องการกำลังมากขึ้นและถ้ากำลังไฟฟ้ายังพอมีอยู่มากกว่าความต้องการของมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องยนต์ก็ยังไม่ทำงานเช่นกัน และเมื่อกำลังไฟฟ้าหรือเติมคันเร่งมากขึ้นไปอีก ระบบจะคำนวนว่า ไฟในแบตเตอรี่พอหรือไม่ หากไม่พอเครื่องยนต์จะติดขึ้นและชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ให้เพียงพอต่อความต้องการ
สุดท้ายหาก "คิกดาวน์" หรือต้องการอัตราเร่งแบบเต็มที่ เครื่องยนต์จะติดขึ้นเพื่อปั่นไฟฟ้าให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อโดยตรงและเก็บส่วนหนึ่งเข้าแบตเตอรี่ด้วย
ดังนั้น ระบบนี้จะต้องมีการใช้เครื่องยนต์ในบางจังหวะของการขับขี่นั่นเอง และถ้า "คิกดาวน์" หรือใช้อัตราเร่งบ่อย ๆ เครื่องยนต์จะเร่งรอบให้สูงขึ้นตามภาระความต้องการของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าหรือระดับไฟในแบตเตอรี่
สรุปก็คือ หากขับแบบทั่วไป เรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ ก็จะให้ความประหยัตที่ดีขึ้นตามไปด้วย อาจทะลุเกิน 18 กม./ลิตร ส่วนถ้าใครไม่สนอัตราสิ้นเปลืองนักเน้นขับสนุก ใช้อัตราเร่งแซงบ่อย ๆ ก็จะได้ตัวเลขประหยัดน้อยลองราว ๆ 16 กม./ลิตร
ผมได้มีโอกาสนำนิสสัน คิกส์มาทดสอบพร้อมใช้ไปทำภาระกิจที่จังหวัดนครราชสีมารวมระยะทางไป-กลับราว ๆ 500 กว่า กม. จากน้ำมันเติมถังไปถึงจุดหมายคือ AirPlane Park และขับเข้าโรงแรมในตัวเมืองใกล้กับ The Terminal
จากการใช้งานจริงตั้งแต่วันรับรถจากตึกสำนักงานนิสสันสาทรกลับบ้านย่าน 5 วัชรพล และทำธุระในเมืองอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังโคราชนั้น ก็รวมระยะทางวิ่งไปจริงเท่ากับ 600 กว่า กม. นับว่าเพียงพอต่อการสัมผัสรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ได้เป็นอย่างดีครับ..
ภายนอกและภายในของนิสสัน คิกส์อาจไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นกว่ารถยนต์รุ่นอื่น ๆ นัก เพราะเป็นรถ SUV หรือ 5 ประตูยกสูงเหมือนกัน ส่วนภายในนั้นนับว่าแทบจะยกเอาของ นิสสัน อัลเมร่า เทอร์โบ ใหม่ มาใช้เกือบทุกจุด ในรถทดสอบคันนี้เป็นเบาะสีทูโทน ส้ม-ดำ เบาะคู่หน้าปรับมือฝั่งคนขับมีปรับสูงต่ำ
พวงมาลัยทรง "D-Shape" ท้ายตัดมัลติฟังก์ชั่นปรับได้ 4 ทิศทาง หุ้มหนังแท้แบบแข็งมือไปสักหน่อย แต่จับกระชับกำลังดี มาตรวัดล้ำมาก จอสี TFT 7 นิ้ว รูปแบบการแสดงผลแบบเดียวกับในนิสสัน ลิฟ อาจแตกต่างในรายละเอียดบ้างเล็กน้อย
หัวเกียร์อวกาศ ดูใช้งานยาก แต่มีรูปบธิบายเข้าใจง่ายมาก ไม่สับสน โยกขวา-ลง "D" โยกขวา-ขึ้น "R" โยกขวาค้างไว้ "N" และ "P" กดเมื่อจอด ง่ายมากขอบอก และมีระบบเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold มาให้อีกด้วย
มาตรวัดมีฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ มากมาย หลัก ๆ คือ บอกสถานะการใช้พลังงาน ระดับการใช้กำลังไฟฟ้า และระดับความประหยัด "ECO" นอกจากนี้ก้มีบอกระยะทางทริป A/B ระยะทางใช้งานรวม ระดับน้ำมันในถัง ระยะทางที่วิ่งได้ทั้งหมด และความเร็ว
บนหน้าปัดก็จะแสดงไฟเตือนต่าง ๆ มากมายเมื่อสั่งการทำงาน เช่น ครุซคอนโทรลแปลผัน ระบบเตือนการจอด เตือนมุมอัพสายตา เป็นต้น
มาถึงระบบความบันเทิง 8 นิ้ว พร้อมแสดงภาพรอบทิศทาง ใหญ่สุดในกลุ่ม แอร์อัตโนมัติ ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ กล้องมองรอบคัน กระจกมองหลังปรับเป็นกล้องมองหลังได้พร้อมตัดแสง พวงมาลัยหุ่มหนังแต่ผิวสัมผัสยังแข็ง ไม่ค่อยสบายมือนักสามารถ ปรับ 4 ทิศทาง
ตำแหน่งวางของกระจุกกระจิก วางแก้วน้ำมีน้อยไปสำหรับตอนหน้า มีแค่ตรงคอนโซลกลางและแผงข้างประตูที่วางขวดน้ำเล็ก ๆ จะหลวมและล้มบ่อยหน่อย แต่ชอบช่องเก็บของเล็ก ๆ ใต้แผ่นเท้าแขน สามารถใส่กระเป๋าสตางค์ผู้ชายได้พอดี
ส่วนช่องเก็บของใต้ชุดควบคุมแอร์มีขนาดใหญ่ แต่พื้นเป็นพลาสติดลื่น ๆ หากมีแผ่นยางรองจะดีมากหรืออาจต้องหาซื้อเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ของกลิ้งไปมา
กระจกมองข้างที่มีกล้องนับว่าสะดวกเมื่อมีสัมภาระบดบังด้านหลัง แต่มุมมองของกลองจะไม่คุ้มเคย ระยะการมองเห็นค่อนข้างแตกต่างจากดูในกระจกเอง เพราะตำแหน่งกล้องติดอยู่ที่มุมบนกระจกบานหลัง ทำให้ระยะการมองเปลี่ยนไปบ้าง ต้องใช้งานบ่อย ๆ จึงจะชินครับ
ท่านั่งขับขี่นับว่าดี ให้ความสบายพอสมควร จากท่านั่นคล้ายกับรถแบบ MPV ระดับสูงนั่งแล้วไม่จม ระยะห่างของพวงมาลัยกับเบาะนั่งเมื่อปรับเข้าที่แล้ว พอดี แต่สวิตช์ฉุกเฉินที่อยู่ตรงกลางช่องแอร์นั้น ต้องเอื้อมพอสมควร และระดับของที่เท้าแขนต่ำมาก จึงใช้งานไม่ค่อยถนัดนัก (ขึ้นกับความสูงแต่ละคน)
ผิวสัมผัสเบาะเกือบนุ่ม ยังมีความแข็งเนื่องจากเป็นหนังแท้กึ่งวังเคราะห์ แต่ให้ความกระชับลำตัวดี เวลาเทโค้งยังพอรั้งลำตัวได้บ้าง แต่ยังต้องเกร็งตังช่วยเอาไว้
จากการได้ขับทั้งในเมืองและนอกเมืองกว่า 5 วัน ระยะทางรวมกว่า 600 กม. นิสสัน คิกส์ นับเป็นรถที่ให้สมรรนถะที่ดีเกินตัวทั้งอัตราเร่งที่แรง เมื่อได้ลองเร่งตีคู่กับรถพิกัด 2.0 ลิตร ไปจนถึง ดีเซลเทอร์โบ 2.2 ลิตร อัตราเร่งนับว่าสามารถออกตัวและเร่งแซงได้ใกล้เคียงกันมาก "ไม่ใช่แรงกว่านะครับ แต่ไต่ระดับความเร็วขึ้่นไปได้เร็วกว่าโดยไม่มีรอบรอบ" โดยเฉพาะช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่งนั้น พุ่งทยานออกไปโดยไม่ต้องรอรอบแต่อย่างใด
การขับขึ้นเนินทางลาดชัน ก็ไม่รู้นึกถึงอาการอืดเลย เติมคันเร่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถไต่ระดับความเร็วขึ้นไปได้อย่างสบาย ๆ ครับ โดยที่ความเร็ว 80 กม./ชม. เมื่อต้องการเร่งแซงใช้เวลาสั้นมากก็ทะลุ 140 กม./ชม. โดยที่ไม่ต้องลุ้น (ระดับความบนมารวัดอาจคลาดเคลื่อนไปราว +/- 3 กม./ชม.)
ช่วงล่างบอกเลยว่าดีกว่ารถระดับเดียวกันหลายรุ่น! ไม่นับรุ่นที่เป็นระบบ AWD และที่มีเทคโนโลยีโครงสร้างตัวถังกับแฟลตฟอร์มใหม่แล้ว เพราะนิสสัน คิกส์ยังไม่ได้ใช้แฟลตฟอร์มใหม่ระดับนั้น ถึงแม้จะไม่มีเทคโนโลยีแฟลตใด ๆ มาให้ แต่นับว่าให้ความรู้สึกเกาะพอตัว โดยไม่ถึงกับหนึบมาก แต่มีความแน่นเพราะน้ำหนักของแบตเตอรี่ และในความเร็วสูง ๆ ยังมีอาการหวิวจากพวงมาลัยที่มีความเบาและไว้มาก
การเข้าทางโค้งมั่นใจได้ ระบบเบรกที่ความเร็วต่ำถึงกลาง ๆ เอาอยู่แต่ถ้าความสูงมาก ๆ และต้องเบรกฉุกเฉินอาจต้องออกแรงมากขึ้น แต่อย่างน้อยในรุ่น VL ที่ทดสอบนั้นก็มีระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้ามาให้รู้ตัว และความสะดวกสบายอีกอย่างในรุ่นนี้คือ ระบบควบคุมความอัตโนมัติอัจฉริยะ หรือ แบบแปรผัน
ในส่วนของเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ วัน-เพดัล (One-Pedal) นั้น ต้องเลือกโหมด D-S จึงจะเห็นผลชัดเจนโดยใช้ควบคุมทั้งอัตราเร่งและความเร็วพร้อมกับชะลอหรือเบรกได้จนจอดสนิทด้วย ซึ่งส่วนตัวนั้นไม่เน้นใช้งานระบบนี้ เพราะมันจะหน่วงมาก จนต้องเติมคันเร่งลึกจึงจะได้ความเร็วเท่าระดับเดิม แต่ถ้าหากัขบในเมืองตัวเมืองรถติด ๆ ก็น่าจะเหมาะสมกว่าครับ และไม่ต้องกังวลเพราะเมื่อยกคันเร่งไฟเบรกก็จะสว่างขึ้นให้รถคันหลังได้รู้ด้วย
ประหยัดเท่าอีโค่คาร์แล้วจะซื้อทำไม?
หลายคนอาจยังสงสัยว่า รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV มีอัตราสิ้นเปลืองเท่ากับรถในระดับอีโค่คาร์เลย แล้วมันน่าใช้ตรงไหน? ซื้อ อัลเมร่า หรือ มาร์ชก็ได้?
นิสสัน คิกส์ นั้น เป็นรถที่อยู่ใน SUV ระดับกลาง มีความกว้างขวางและใหญ่โตกว่ารถในระดับอีโค่คาร์พอสมควร ระบบความปลอดภัยในรุ่นที่ให้มากครบ ๆ นั้น นับว่าเยอะมากกว่าอีโค่คาร์ ที่สำคัญสมรรถนะของพละกำลังนั้นเหนือกว่ามาก และช่วงล่างที่ดีกว่า มั่นคงแข็งแรงทนทานและเกาะถนนได้ดีกว่า ยกสูงลุยน้ำได้ดี
สมรรถนะขุมพลัง ePower แม้จะไม่โดดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมันมากนักแบบ EV ทั่วไป แต่อย่าลืมว่ากำลัง 129 แรงม้า แรงยิก 260 นิวตันเมตร อัตราเร่งจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน ๆ ไม่รอรอบรอบ และมีระบบ One Pedle ช่วยขับขี่สะดวกขึ้นเวลารถติด ซึ่งตัวเลขแรงบิด 260 นิวตันเมตรนั้น ซึ่งอีโค่คาร์ทำไม่ได้!! และแรงบิดระดับนี้มักจะมากับรถเครื่องยนต์ใหญ่ ๆ ระดับ 2.4 ลิตร หรือเครื่องเทอร์โบ ที่อาจมีอัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่า 17 กม./ลิตร ด้วยซ่้ำไป!!
จากตัวเลขที่ใช้งานจริง ๆ แบบขับสนุก ทั้งเร่งแซงออกตัวแรงบ่อยนั้น อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 17 กม./ลิตร บวกลบขึ้นกับสถานการณ์แต่ละครั้งที่อยู่หลังพวงมาลัย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่า เมื่อคุณต้องเดินทางขึ้นเขา ทางลาดชัน หรือ เร่งเแซงที่ความเร็วสูง ๆ จาก 90 กม./ชม. ไปถึง 120 กม./ชม. คิดว่ารถยนต์อีโค่คาร์ 1.25 ลิตร ที่มีอัตราประหยัด 18 - 20 กม./ลิตร จะต้องใช้รอบเครื่องยนต์สูงเท่าไหร่ จึงจะเร่งผ่านไปได้ หรือจะต้องเหยียบคันเร่งลึกเท่าไหร่ จึงสามารถมากเรียกกำลังจากเครื่องยนต์ 1.25 ลิตร ให้สามารถเร่งแซงหรือขึ้นเขาชัน ๆ ได้อย่างปลอดภัย
หากต้องการตัวเลขประหยัดเกิน 18 - 20 กม./ลิตร เพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องการสมรรถนะ ก็เนินไปทางอีโค่คาร์น่าจะตรงใจกว่า แต่ถ้าขยับไซต์รถให้กว้างขึ้น ในราคาเพิ่มขึ้นเริ่มต้น 889,000 - 1,049,000 บาท แล้วแต่ความต้องการของออปชั่นและระบบที่เพิ่มขึ้นตามราคารถ พร้อมกับสมรรถนะแบบรถ EV ขับได้ไกลโดยไม่ต้องแวะหาที่ชาร์จไฟ นิสสัน คิกส์น่าจะเหมาะสมกว่า
หากคิดดี ๆ ครับ ว่าระบบ ePower นั้น ใช้เติมน้ำมันแทนการใช้ไฟฟ้าชาร์จเข้าแบตเตอรี่ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแท่นชาร์จไฟที่บ้าน อาจมีค่าเดินระบบสายไฟใหม่ในกรณีสายไฟเป็นขนาดเล็ก หรือต่องขอเปลี่ยนขนาดแอมป์หม้อแปลงให้ใหญ่ขึ้น ก็คงเพิ่มเงินอีกหลายหมื่น (ค่าติดตั้งแท่นชาร์จราว ๆ 3 - 4 หมื่นบาทขึ้นไป) รวมกับค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายเพิ่มตกราว ๆ 200 บาทต่อชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งอาจไม่มากนัก แต่ระยะทางที่วิ่งได้โดยทั่วไปไม่น่าเกิน 220 กม. จึงมีข้อจำกัดมากในการใช้เดินทางไกล ๆ ในขณะที่นิสสัน คิกส์ เพียงแค่เติมน้ำมันเหมือนรถยนต์ทั่วไปเท่านั้น
นอกจากนี้
นิสสัน คิกส์ มีการรับประกันตัวรถ 3 ปี 100,000 กม. แต่ในระบบ ePower รับประกัน 5 ปี พร้อมรับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี และ
ค่าบำรุงรักษายังเหมือนขับอีโค่คาร์อีกด้วย!!
Nissan Kicks ePower ไม่ใช่รถที่สุดแต่คุ้มสุด
นิสสัน คิกส์ อีเพาเวอร์ รถยนต์ที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุดเพราะคุณจะได้รถยนต์ไฟฟ้าแบบเดียวกับแบรนด์หรูราคาหลายล้านบาท คุณจะได้รถขนาดกำลังดีไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปใช้งานสะดวกคล่องตัว ถอยคล่อง จอดง่าย ระบบเตือนภัยรอบคัน และลดภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เรียกว่า ได้สมรรนะเท่ารถใหญ่ แต่ซ่อมราคารถเล็ก อัตราเร่งดีพร้อมความประหยัดน้ำมันตัวจริง ในค่าตัว 1,049,000 บาท ได้ครบแบบนี้ สำหรับผม งบประมาณนี้น่าจะตอบสนองการใช้งานในรถระดับเดียวได้คุ้มค่ากว่าใคร
ส่วนใครที่งบน้อยแต่ต้องการสมรรนถเร้าใจ แรง ประหยัด ดูแลง่าย ซ่อมถูกก็ดูในรุ่นเริ่มต้นราคาเพียง 889,000 บาทเท่านั้น ได้สมรรถนะเดียวกัน ตัดออปชั่นเกินจำเป็นออกไปบ้าง เมื่อเทียบกับราคาระดับนี้มีระดับ B-SUV เพียงไม่กี่รุ่นให้เลือก แต่สุดท้ายถ้าต้องการ "แรงและประหยัด" Nissan Kicks คงพอจะเป็นคำตอบสุดท้ายให้คุณได้อย่างแน่นอนครับ