วิธีตรวจเช็ครถง่าย ๆ สำหรับสาว ๆ ก่อนเดินทาง
สาว ๆ ส่วนใหญ่อาจจะกังวลกับการตรวจเช็ครถยนต์ของท่านก่อนเดินทาง และหากคุณเป็นสาววัยทำงานประมาณ Working woman และยังขึ้นคาน! (หมายถึงยังโสดอยู่ในโหมด Alone) แต่! วันหยุดฉันก็ไม่พลาดที่จะออกบ้านท่องเที่ยวใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ สิ่งที่คุณไม่ควรมองข้ามคือการตรวจเช็คความผิดปกติของรถคุณ อย่าลืมไปว่ารถมันก็เหนื่อยหรือต้องการการดูแลไม่แพ้เรานะจ๊ะ ครั้งนี้ทีมงานเช็คราคา.คอม เลยขอมาแนะนำวิธีการเช็ครถเบื้องต้นให้กับสาว ๆ ก่อนจะออกเดินทางกัน
1. ตรวจเช็คลมยางก่อนออกเดินทาง
สถานีปั๊มน้ำมันหลายแห่งมีการแยกจุดเติมลมยางเพื่อสะดวกในการเติมหรือตรวจเช็คลมยางได้ด้วยตัวเอง วิธีการง่าย ๆ สำหรับสาว ๆ ที่ยังสงสัยว่าจะต้องเติมลมยางเท่าไหร่ ให้สังเกตุที่ประตูฝั่งคนขับ ตรงขอบประตูรถของท่านจะมีตัวเลขบอกค่าของปริมาณลมทั้งหน้าและหลัง (ซึ่งรถแต่ละคันอาจไม่เท่ากัน)
ตัวอย่างเช่น หน่วยวัดแรงดัน Front 210 kPa (KPa=กิโลปาสคาล) /2.1 bar / 30 psi (คือค่า ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) เท่ากับคุณกดตัวเลขที่หน้าตู้ไปที่ 30 psi แล้วก็ดึงสายมาเสียบที่จุ๊บยางได้เลย (ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขที่ได้มาตรฐานจากโรงงานให้เหมาะกับขนาดของรถและการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ)
2. เช็คน้ำ น้ำมันเบรคในห้องเครื่องให้อยู่ที่ Max เสมอ
พวกน้ำในหม้อน้ำ น้ำมันเบรก หรือน้ำมันเกียร์ สังเกตุง่าย ๆ ว่ามันจะหมดหรือแห้งไปหรือเปล่าให้ดูที่ระดับมวลน้ำในถังแต่ละอัน ซึ่งถ้าเป็นหม้อน้ำสามารถใช้น้ำสะอาด (ไม่ควรใช้น้ำก๊อกหรือน้ำประปา) เติมให้อยู่ในระดับ MAX หรือขีดที่กำหนดไว้ด้านบน (แล้วแต่รุ่นรถว่าจะใช้คำว่าอะไร)
ส่วนน้ำฉีดกระจกก็ไม่ควรมองข้าม เพราะหากมีคราบหรือเจอสิ่งสกปรกที่มาบดบังทัศนวิสัยตอนขับ จะจอดรถลงมาเช็ดก็อาจจะอันตรายเกินไป (หากกำลังขับขึ้นทางด่วนหรือที่ที่จอดรถลำบาก) เพราะฉะนั้นก็เติมไว้หน่อยให้เต็ม เพื่อกรณีฉุกเฉิน เช็คทุกอาทิตย์ก็ดีนะจ๊ะ สาว ๆ
3.สังเกตุความผิดปกติที่มาตรหน้าจอ
สำหรับสาว ๆ ส่วนใหญ่เรื่องเครื่องยนต์อาจเป็นอะไรที่ไกลตัว แต่สิ่งง่าย ๆ ที่ทำได้ คือสังเกตความผิดปกติที่มาตรหน้าจอรถคุณที่ขับทุกวัน เมื่อคุณ Start รถคุณแล้ว แต่สัญลักษณ์ไฟเตือน (บางอัน) ไม่ดับ นั่นแสดงว่าอะไหล่บางตัวเริ่มมีปัญหาซะแล้ว รีบไปตรวจเช็คที่ศูนย์ใกล้บ้าน หรือร้านเซอร์วิสต่าง ๆ ก่อนออกเดินทางเพื่อความปลอดภัย
สัญญาณไฟเตือนสีแดง = ถ้าสัญญาณเตือนสีแดงแสดงขึ้นมาตอนที่เราสตาร์ทเครื่องแล้วดับไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเมื่อไหร่สัญญาณนี้ยังค้างอยู่ ควรเอารถไปเข้าซ่อมทันทีเพราะถ้าเรายังฝืนใช้งานอยู่จะเกิดอันตรายขึ้นได้
สัญญาณเตือนไฟสีเหลือง = จะเป็นสัญญาณเตือนว่ารถเรายังสามารถขับได้อยู่ เพียงแค่เตรียมจัดตารางเอารถเข้าตรวจสอบเพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของรถ
สัญญาณไฟเตือน สีเขียว/น้ำเงิน = สัญญาณสุดท้ายเป็นการบอกว่าเรากำลังใช้งานระบบนั้น ๆ อยู่ ไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนอันตรายแต่อย่างใด อันนี้สบายใจได้
ขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจาก :
www.frank.co.th
4. เช็ดทำความสะอาดห้องโดยสารและอย่าให้มีสิ่งกีดขวางภายในรถ
ภายในห้องโดยสารควรหลีกเลี่ยงการวางสิ่งของที่อาจมีผลเมื่อถูกความร้อนและเป็นอันตรายหากสาว ๆ ต้องเดินทางเพียงลำพัง เช่น ของเหลวต่าง ๆ, วัตถุไวไฟ, ขนมที่ละลายได้ เป็นต้น นอกจากนี้ไม่ควรวางสิ่งของ เอกสาร หรือกระดาษไว้บริเวณด้านบนคอนโซลหน้ารถ เพราะแสงแดดแรง ๆ อาจสะท้อนเข้าตาผู้ขับขี่ทำให้วิสัยทัศน์ลดน้อยลง และหากสาว ๆ ไม่มีเวลาเข้า คาร์แคร์ ก็อาจหาผ้าเปียกที่ใช้สำหรับเช็คคอนโซลรถ มาทำความสะอาดเบื้องต้นบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี
5. สังเกตุของเหลวหรือมีคราบน้ำมันหยดใต้รถหรือไม่
หากจาอดรถอยู่ดี ๆ แล้วมีของเหลวหรือคราบน้ำอะไรแปลกปลอมหยดลงตามพื้น หากเป็นน้ำที่มีสีเข้ม ๆ เช่น แดงเข้ม (น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ), ดำหรือน้ำตาล (น้ำมันเครื่อง-เฟืองท้าย), เขียวหรือฟ้า (น้ำมันเบรก-น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ) เป็นต้น ให้รีบนำรถเข้าศูนย์บริการทันที ส่วนคราบน้ำใส ๆ อาจเป็นน้ำทิ้งจากระบบปรับอากาศซึ่งมักจะหยดบริเวณใต้ท้องตำแหน่งเดียวกับระบบปรับอากาศในรถ
ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ
สุดท้ายเรื่องความปลอดภัยและการตรวจเช็ครถหรือนำรถเข้าศูนย์อย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งถ้าหากเป็นสาว ๆ ที่ใช้รถคนเดียวก็ควรที่จะหมั่นตรวจเช็ครถให้เป็นนิสัย หรือควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อตัวคุณเองและผู้ร่วมทาง
ขอบคุณบริษัท เอ็มจี ประเทศไทย ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์ MG3 สำหรับการถ่ายภาพข้อมูลความรู้ในครั้งนี้