BYD E6 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนไม่ง้อน้ำมัน กรุงเทพฯ - อยุธยา แบตฯ ยังเหลือ
BYD E6 รถยนต์ MPV ขนาดครอบครัวใหญ่ที่ใช้พลังขับเคลื่อนด้วย "มอเตอร์ไฟฟ้า" โดยไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน! นั่นหมายความว่าชาร์จไฟให้เต็มแล้วขับไปได้เลย แล้วในสภาพการจราจรหรือการใช้งานจริงนั้น จะสามารถตอบสนองได้จริงหรือไม่ ทีมงานเช็คราคา.คอมได้ไปทดลองขับมาแล้ว โดยใช้ระยะทางไป-กลับ จากกรงุเทพฯ - อยุธยา ด้วยระยะทางรวม 173.2 กม. จะเป็นอย่างไรบ้างเชิญชมได้เลย
BYD E6 Battery Lithium-ion Fe 80kWh Motor 100kW กำลังสูงสุด 121 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ไม่มีเกียร์หรือเป็นแบบ 1 จังหวะ ใช้รอบของมอเตอร์ไฟฟ้าและผ่านชุดเฟืองขับเคลื่อนไปยังล้อเท่านั้น วิ่งได้กว่า 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ระยะเวลาชาร์จมี 2 ขนาด คือ 7kW ซึ่งใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ประมาณ 11 ชั่วโมง และ 40 kW ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง รับประกัน Battery 5 ปี 500,000 กิโลเมตร
BYD E6 สามารถซื้อชุดระบบการชาร์จไฟที่บ้านเพิ่มได้ในราคาโดยประมาณ 40,000 บาท ซึ่งจะมีการเดินระบบสายไฟให้ใช้เฉพาะการชาร์จโดยตรง (โปรดสอบถามโชว์รูม BYD วิภาวดี) ซึ่งพร้อมติดตั้งเส้นสายไฟใหม่จากหม้อแปลงที่ขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการใช้กำลังไฟฟ้าสูงๆ ทำให้ปลอดภัย สำหรับชุดชาร์จนี้จะใช้เวลานานกว่าที่ชาร์จในโชว์รูม BYD ประมาณ 2 เท่านั่นคือราว 4 ชม. ต่อการชาร์จเต็มจาก 0 - 100%
นอกจากนี้สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น EV Anywhere ที่บอกตำแหน่งจุดแท่นชาร์จที่มีอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยการสแกน QR Code และชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ 8 - 10 บาทต่อ KW
ข้อมูลเพิ่มเติม - เมื่อเสียบสายชาร์จค้างไว้รถจะมีการเตือน และจะไม่สามารถใช้งานได้ และเมื่อมีการเสียบชาร์จระบบก็จะแสดงสถานะการชาร์จบนจอทันทีพร้อมบอกรายละเอียดระยะเวลา และปริมาณการชาร์จครบถ้วน
*ไม่ควรชาร์จไฟโดยตรงกับปลั๊กไฟบ้านทั่วไป เพราะอาจเกิดความร้อนสะสมและสายไฟละลายช็อตได้
การทดสอบขับจริงของรถยนต์ไฟฟ้า BYD จากประเทศจีนที่ทางบริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จํากัด ผู้นําเข้าและจัดจําหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ BYD (บีวายดี) หรือ Build Your Dream อย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยเป็นการถือหุ้นร่วมกันระหว่าง บริษัท ชาริช โฮลดิ้ง จํากัด และ บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จํากัด (มหาชน) โดยมุ่งเน้นทางทดลองใช้กับรถยนต์สาธารณะ หรือแท็กซี่
ดังนั้น BYD E6 รุ่นที่นำมาทดสอบเป็นรุ่นที่ถูกปรับออปชั่นออกไปตามความเหมาะสม เช่น ระบบเครื่องเสียงจอสัมผัส, USB, ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ และลำโพงที่มีเพียงด้านหน้าเท่านั้น รวมถึงเบาะหลังพับไม่ได้ สวิตช์กระจกด้านคนขับเลื่อนลงอัตโนมัติเท่านั้นเลื่อนขึ้นต้องดึงค้างไว้ เป็นต้น
รูปทรงของเจ้า BYD E6 เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ MPV ขนาดค่อนข้างใหญ่ พอๆ กับรถโตโยต้าอินโนว่า, CR-V/HR-V หรือรถเซ็กเมนต์ SUV ทั่วไป (ที่ไม่ใช่ PPV นะจ๊ะ)
ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบหลอดฮาโลเจน ไฟ LED Daytime Running Light ที่กันชน ไฟเลี้ยวที่กระจกข้างและไฟท้ายแบบ LED ล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว ยางจาก Maxxis
ภายในดูโปร่งโล่งสบายด้วยหลังคาที่สูง คอนโซลหน้าขนาดใหญ่มาตรวัดอยู่กึ่งกลาง บอกรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของรถทุกอย่าง เช่น ระบบแบตเตอรี่, ระดับการใช้พลังงาน, ความเร็ว, ระยะทางที่วิ่งได้ ระยะทางที่ใช้ไปโดยตั้งได้ 2 ทริป, ไฟบอกตำแหน่งเกียร์, ไฟบอกระบบเบรกมือไฟฟ้า เป็นต้น
วิทยุแบบโมดุลพอใช้งานได้ ระบบแอร์อัตโนมัติ
พวงมาลัยเรียบง่ายแบบ 4 ก้านที่อาจดูไม่ค่อยจะทันสมัยนัก แต่กลับให้ระบบครุซคอนโทรลมาด้วย นับว่าใจป้ำไม่น้อย ระบบเครื่องเสียงแบบธรรดาสมัยย้อนยุคไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ลำโพงมีเฉพาะด้านหน้า 3 จุด
หัวเกียร์นี้คล้ายๆ อะไรน้า ส่วนปุ่ม "P" กดเมื่อจะจอดได้เลยแม้จะค้างตำแหน่ง "D" ก็ตาม
คอนโซลกลางนับว่าใช้งานได้ดีมีขนาดใหญ่และเก็บของได้เยอะ ช่องวางแก้วน้ำอยู่ในระดับใช้งานได้สะดวก พร้อมปุ่มกดระบบเบรกมือไฟฟ้า
ตรงคอนโซลกลางมีปุ่มต่างๆ มากมายและมีช่อง CD/MP3 แก้เบื่อฟังวิทยุมาให้ด้วย
ช่องวางกุญแจที่เป็นระบบ Smart Key และไฟหน้าปรับระดับ
ระบบแอร์อัตโนมัติหน้าปัดดิจิทัล ชุดคันเกียร์ติดตั้งใกล้กับชุดควบคุมเครื่องเสียง ถัดมาจากแผงควบคุมระบบแอร์ มีเพียงตำแหน่ง "R" และ "N" และ "D"
เบาะคู่หน้าขนาดใหญ่รองรับคนตัวใหญ่ได้สบาย เบาะหลังก็สามารถนั่งได้เต็มๆ แม้ต้องนั่ง 3 คนก็ไม่อึดอัด ช่างเหมาะกับการเป็นแท็กซี่จริงๆ และพื้นที่วางสัมภาระท้ายก็กว้างขวาง แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถพับเบาะหลังได้
ด้านหน้านั่งสบายพื้นที่เหลือเยอะ
ด้านหล้งโปร่งกว้างขวาง แต่เบาะพับไม่ได้
ท้ายกว้างมากๆ
นับเป็นครั้งแรกๆ ที่มีการทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าล้วนๆ เพราะเพิ่งมีรถให้สื่อได้ลองขับเพียงเจ้านี้เจ้าแรกและเจ้าเดียวในปัจจุบัน ดังนั้น จึงมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ
การขับขี่ก็เหมือนกับ MPV ทั่วไป
อัตราเร่งให้ความรู้สึกเหมือนขับรถไฟฟ้ากอล์ฟแต่มีกำลังมากกว่า เสียงมอเตอร์ไฟฟ้าคล้ายๆ เวลาเราขึ้นรถไฟฟ้า จะได้ยินเสียงรอบของมอเตอร์ไฟฟ้าดัง "วี้ด" จากเสียงต่ำไปสูง อัตราเร่งของรถจะมาแบบค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป โดยไม่มีอาการกระชากหรือสะท้านใดๆ ให้รู้สึกขณะเร่งสุด แต่ว่าความเร็วนั้นกลับขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง 0-100 กม./ชม.ใช้เวลาไม่นานนัก หากเทียบความเร็วในการออกตัวก็จะคล้ายๆ รถเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร CVT
แม้ตัวรถดูโปราณแต่หน้าปัดอนาคตเลยเชียว
การเก็บเสียงทำได้ดีมากๆ ระดับเดียวกับรถในเซ็กเมนต์ SUV ทั่วไป แต่ยังพอได้ยินเสียงยางที่วิ่งบนถนนและผ่านรอยต่อถนน เสียงลมเบามากๆ แม้จะวิ่งที่ความเร็ว 120 กม./ชม.
การใช้งานช่วงรถติดๆ สบายๆ เหมือนรถที่มีเครื่องยนต์ทั่วไป
ระบบช่วงล่างเมื่อขับขี่ในทางเรียบๆ นับว่านุ่มนวลดี แต่บางครั้งอาจนุ่มเกินไป เมื่อกระโดดคอสะพานหรือตกหลุม รู้สึกถึงจังหวะโช้กอัพที่ยุบจนสุด และกระเด้งพอสมควร อาจเป็นเพราะน้ำหนักแบตเตอรี่ก็เป็นได้ จึงเหมาะกับการเป็นรถเพื่อการเดินทางระยะสั้นๆ ความเร็วต่ำๆ เพราะจะให้ความนุ่มนวลมากกว่า ในความเร็วสูงเริ่มมีอาการโยนตัวเมื่อสภาพถนนไม่เรียบ แต่กลับกันการทรงตัวและเมื่อวิ่งผ่านถนนเรียบๆ กลับให้ความนิ่งมั่นคงและมั่นใจในการควบคุมพอสมควร นับว่าช่วงล่างทำได้ดีหากวิ่งบนสภาพถนนเรียบๆ ซึ่งในประเทศไทย... ก็อย่างที่รู้กัน...
แม้จะเป็นรถไฟฟ้าแต่ก็มีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้งานได้ 2 แบบคือ Eco และ Sport ซึ่งโหมด Eco นั้นเน้นไหลเรื่อยๆ แบบเอื่อยๆ ไม่รีบไม่แซง เพื่อประหยัดพลังงานจริงๆ ส่วนโหมด Sport นั้นก็คือปกติทั่วไปและตลอดทริปนี้ก็ใช้ Sport รู้สึกขับสบายใจกว่า
กลับถึงกรุงเทพฯ ยังสามารถวิ่งได้อีก 163 กิโลเมตร โอ้ว แม่เจ้า!!!
สำหรับรถยนต์ BYD E6 สัญชาติจีนคันนี้นับว่าไม่มีความโดดเด่นในเรื่องออปชั่นในการใช้งานที่มีน้อยเมื่อเทียบกับความเป็นจริงในปัจจุบันที่รถยนต์ราคาระดับนี้ต้องมีครบๆ เช่น เครื่องเสียงที่ไม่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์ได้ ไม่มี USB ไม่มีลำโพงด้านหลัง เบาะหลังพับไม่ได้ กระจกไฟฟ้าฝั่งคนขับไม่มีขึ้นอัตโนมัติ เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามความต้องการของผู้จำหน่ายที่ต้องการเน้นนำมาทำเป็นรถเพื่อการพาณิชย์ หรือรถยนต์สาธารณะ เช่น แท็กซี่, รถของโรงแรม จึงไม่ได้ติดตั้งออปชั่นที่จำเป็นออกไปบ้าง เพื่อให้ราคาและการดูแลรักษาไม่จุกจิกและประหยัดกระแสไฟของระบบในรถมากขึ้น เพื่อให้วิ่งได้ระยะทางยาวขึ้น
การขับขี่นับว่าไม่รู้สึกแตกต่างมากนักคล้ายๆ รถ MPV ทั่วไป พวงมาลัยน้ำหนักเบาแต่ไม่หวิว มาตรวัดที่บอกสถานะต่างๆ ให้ความมั่นใจตลอดการขับขี่ แต่จะมีก็แต่ระบบช่วงล่างที่นุ่มจนโยนตัวมากไปเมื่อเจอถนนขรุขระ เมื่อลองนั่งเป็นผู้โดยสารจะเริ่มมีอาการมึนๆ เล็กน้อย เพราะรถมีอาการเต้นโยนไป-มาหน้า-หลัง จึงน่าจะต้องปรับระบบช่วงล่างใหม่ให้ตอบสนองกับถนนในเมื่องไทยมากขึ้น
แต่ก็ยังมีจุดเด่นที่ไม่ธรรมดาของ BYD รุ่นนี้คือ ครุซคอนโทรลที่ใช้งานได้ แต่อาจไม่นิ่งมากความเร็วจะขยับขึ้น-ลงบวกลบนิดหน่อย, ภายในกว้างขวางมากๆ และนั่งได้สบาย ระบบเบรกมือไฟฟ้า ระบบความปลอดภัยต่างๆ ในการใช้งานและการเก็บเสียงที่นับว่าดีเยี่ยม
ความเร็วสูงสุดที่ทำได้นั่งกัน 3 คน
คำเตือน* เป็นการทดสอบช่วงถนนโล่งๆ และดูจนแน่ใจว่าปลอดภัยมากที่สุด
ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
BYD E6 รถยนต์อเนกประสงค์แบบใช้พลังมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ที่ใช้งานยาวๆ โดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงใดๆ ไม่ต้องคอยเปลี่ยนถ่ายของเหลวที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องยนต์ มีเพียงระบบหล่อเย็นการชุดแปลงระบบไฟฟ้าและระบบเบรกเท่านั้น หากซื้อมาเพื่อใช้งานทุกวันหรือบ่อยๆ เฉลี่ย 50 กม.ต่อวันขึ้นไป นับว่าคุ้มมากๆ แม้ราคาจะโดดไปสูงลิ่วแต่หากเทียบกับการที่ไม่ต้องบำรุงรักษาระบบอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์และชุดเกียร์ก็นับว่าประหยัดได้ปีละหลายหมื่นบาทแล้ว และการใช้งานได้จริงจากระยะทางที่วิ่งได้ถึงกว่า 350 กม.ต่อชาร์จ 1 ครั้ง นับว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในแบบอเนกประสงค์รุ่นหนึ่งที่น่าสนใจในราคาต่ำกว่า 2 ล้าน
นอกจากนี้ยังเพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกัน 5 ปี 500,000 กม. จากโรงงาน นับเป็นทางเลือกให้ผู้ที่ประกอบธุรกิจบริการรถยนต์สาธารณะและองค์กรต่างๆ นอกจากนี้ยังตอบสนองครอบครัวที่ต้องการความประหยัดรักษ์โลกได้อีกด้วย โดยค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เต็ม 100% เพียง 400-500 บาท เท่านั้น