รีวิว Toyota C-HR ทดลองขับยาวๆ ครั้งแรก กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ (Test Drive Review)
Toyota C-HR (Coupe High Rider) รถยนต์ซับคอมแพกต์เอสยูวี ที่โดดเด่นในเรื่องของดีไซน์ ทั้งภายนอกและภายใน หลังจากเปิดตัวก็มียอดจองสะสมแล้วกว่า 3,000 คัน แต่ในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ และอัตราสิ้นเปลืองนั้นยังคงต้องรอการพิสูจน์ Toyota จึงได้จัดกิจกรรม "Toyota C-HR Night Drive Illumination" เพื่อเป็นการพิสูจน์สมรรถนะของ C-HR โดยทีมงานเช็คราคา.คอม ได้รับเชิญให้ร่วมเดินทางในกลุ่ม "Motoring Media" จาก กรุงเทพฯ-บุรีรัมย์ โดยที่รถที่ใช้ในกิจกรรมครั้งนี้ คือ Toyota C-HR รุ่น HV HI ที่จำหน่ายในราคา 1,159,000 บาท
Toyota C-HR โดดเด่นด้วย 4 เทคโนโลยีใหม่ ประกอบด้วย
- ระบบไฮบริด เจเนอเรชันใหม่ ที่พัฒนาให้แบตเตอรี่มีขนาดเล็กลง สามารถเก็บประจุไฟได้มากขึ้น มีการระบายความร้อนดีขึ้น ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากถึง 24.4 กิโลเมตร/ลิตร โดยมีการรับประกันคุณภาพระบบไฮบริดนาน 5 ปี และรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ไฮบริดนาน 10 ปี
- โครงสร้างมาตรฐานใหม่ TNGA (Toyota Global New Architecture) สมบูรณ์แบบทุกการเคลื่อนไหวด้วยโครงสร้างแข็งแกร่งขึ้น, มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลงเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ, ให้การเกาะถนนที่โดดเด่น, คล่องตัวในทุกจังหวะการขับขี่
- มาตรฐานความปลอดภัย TSS (Toyota Safety Sense) ที่รวมทั้งระบบความปลอดภัยก่อนการชน, ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ และ ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน
- เทคโนโลยีเชื่อมต่อ T-Connect Telematics เชื่อมต่อผู้ขับขี่และรถยนต์ผ่าน Smart Phone พร้อมเครือข่ายศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะ เพื่อรับข้อมูลและความช่วยเหลือตลอดการเดินทาง
รับฟังบรีฟข้อมูลด้านเทคนิค จาก อ.มนัส ดาวมณี
เรื่องของดีไซน์ภายนอกและภายใน เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงได้อ่านรีวิวมาเยอะแล้วเพราะกระแสติดตาม C-HR มีมานานแล้วตั้งแต่ก่อนเปิดตัว ทีมงานเช็คราคา.คอม เลยจะขอนำเสนอในมุมเรื่องการขับขี่เป็นหลักดีกว่า
กิจกรรมทดลองขับ โตโยต้า C-HR ในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 วัน โดยในวันแรกจะเป็นการทดลองขับในระยะทางไกลกว่า 400 กิโลเมตร จาก TDEX (Toyota Driving Experience Park) ไปยัง จ.บุรีรัมย์ แบ่งออกเป็นช่วง Free Run และ Eco Run ส่วนวันที่ 2 เป็นการขับทดสอบสมรรถนะของ C-HR ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต
ทดลองขับ Toyota C-HR ระยะไกล กว่า 400 กม.
สำหรับการทดลองขับระยะไกล ในช่วงฟรีรัน จากกรุงเทพฯ - อ.ปากช่อง ถือเป็นช่วงให้ได้สัมผัสกับการทำงานของเครื่องยนต์ไฮบริด 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ตลอดระยะทาง Free Run ก็ได้ทดลองหลายระบบ เริ่มจากระบบควบคุมความเร็ว และปรับความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) ที่ตัวรถจะตรวจจับด้านหน้ารถด้วยเรดาร์และจะลดความเร็ว เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าและจะเร่งความเร็วกลับระดับที่ตั้งเอาไว้เมื่อไม่มีรถมาขวาง รวมถึงระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert With Steering Assist) เมื่อรถออกนอกเลนอย่างไม่ตั้งใจ ระบบจะเตือนก่อนจะหน่วงพวงมาลัยกลับอัตโนมัติ จากการขับขี่ก็พบว่า เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร กับระบบไฮบริด ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างลื่นไหล จะขับเรื่อยๆ เน้นประหยัดก็ได้ หรือหากต้องการพละกำลังแค่กดคันเร่งก็ตอบสนองได้อย่างทันใจ ส่วนเกียร์ E-CVT ก็ตอบสนองได้เป็นอย่างดี ถ้ามี Paddle Shift มาให้ด้วยน่าจะสนุกขึ้นอีกเยอะเลย ช่วงล่างสร้างความประทับใจได้ดีเกินขาด ทั้งในเมือง และในช่วงความเร็วสูง รวมถึงจังหวะเข้าโค้งด้วยความเร็วก็ยังคงสมรรถนะการขับขี่ที่มั่นใจเอาไว้ได้ ส่วนโหมดการขับขี่ก็มีให้เลือกทั้งแบบ Normal, Eco และ Sport
ในช่วง Eco Run ที่เน้นเรื่องอัตราสิ้นเปลือง การทดสอบในช่วงนี้ มีระยะทาง 103 กิโลเมตร ให้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที โดยใช้เส้นทางจาก สถานีบริการน้ำมันในปากช่อง ไปถึงสถานีบริการน้ำมันปลายทางที่หนองกี่ โดยทีมงานเช็คราคา.คอม และสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางก็สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ที่ 26.4 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยเพราะค่าที่ทาง Toyota แจ้งไว้คือ 24.4 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนค่าสูงสุดในทริปนี้ที่สื่อมวลชนทำได้คือ 35.5 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว
ตามกติกาการทดสอบ Eco Run ต้องมีการซีลไม่ให้ปรับระบบปรับอากาศเป็นเงื่อนไขเดียวกัน
ถึงจุดหมายก็ต้องมีการเช็คอัตราสิ้นเปลืองและเวลาว่าเข้าตามกำหนดหรือเปล่า
ก่อนจะจบการทดลองขับระยะทางไกลๆ ครั้งแรก กับ C-HR ก็ได้ทดลองใช้ T-Connect โดยการกดโทรหา Call center แล้วเราก็แจ้งจุดหมายปลายทางแล้วทางเจ้าหน้าที่ก็ส่งแผนที่จุดหมายปลายทางกลับมาให้เรากดรับเส้นทางได้ทันที โดยระบบ Internet ในรถนั้นจะใช้ได้ 1 ปี หลังรับรถเพราะได้รวมเข้าไปในราคารถแล้ว โดยสามารถใช้ได้ เดือนละ 1 GB จากนั้นจะลดความเร็วอินเทอร์เน็ตนี้ได้ถูกคิดราคาเข้ากับราคารถแล้ว 1 ปี โดยผู้ใช้งานสามารถใช้สปีดสูงสุดได้ 1 กิกกะไบต์ ก่อนที่จะลดสปีดลงมา หลังจากปีแรก จะมีค่าใช้จ่ายปีละ 1,500 บาท สำหรับการใช้งานดังกล่าว หรือลูกค้าจะเลือกไม่จ่ายก็ได้เหมือนกัน ศึกษาความสามารถอื่นๆ ของระบบ T-Connect ได้ที่
www.t-connect.in.th หรือติดต่อ Call Center ที่เบอร์ 02-035-4555 (เวลา 8.00-17.00 น.)
เริ่มใช้งาน T-Connect ด้วยการกดโทรหา Call Center ที่สัญลักษณ์นี้
สะดวกเพียงบอกเป้าหมายที่จะไป ทางเจ้าหน้าที่ก็จะจัดส่งแผนที่มาให้
แผนที่ก็จะถูกส่งมายังระบบนำทางพร้อมถึงจุดหมายได้ทันที
หลังจากขบวน Toyota C-HR เดินทางถึงสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ก็เข้าสู่บรรยากาศงานเลี้ยง มีการรับฟังสรุปการทดลองขับ และชมชิ้นส่วนที่ได้รับการพัฒนาของรถรุ่นนี้ จากนั้นก็เป็นกิจกรรม "Toyota C-HR Night Drive Illumination" ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าผู้ที่จองซื้อ Toyota C-HR ที่เดินทางมาร่วมกิจกรรมได้สัมผัสกับสมรรถนะของ C-HR ภายในสนามช้างฯ ในเวลากลางคืน
แบตเตอรี่ระบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่พัฒนาให้ดีขี้นทั้งในเรื่องของการระบายความร้อน และการเก็บพลังงาน
"Toyota C-HR Night Drive Illumination" ให้ลูกค้าที่จองซื้อรถ C-HR กลุ่มแรกได้ทดลองขับในสนามเวลากลางคืน
ทดสอบสมรรถนะ Toyota C-HR ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต
เช้าวันที่ 2 ก็เป็นคิวของ Motoring Media ที่จะขับ C-HR ในสนามช้างฯ โดยทางทีมงานอินสตรัคเตอร์ได้วางเส้นทางเอาไว้ให้ได้ทดสอบกันหลายสถานีด้วยกัน เริ่มจากออกจากปากทางพิทไปแล้วก็เข้าสู่สถานีสลาลอมที่จะใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นกดเร่งความเร็วเข้าสู่โค้งด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อจะเข้าสถานี Moose Test ที่ความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นเร่งความเร็วไปที่ 100-120 เพื่อเข้าโค้งอีกครั้งก่อนจะไปที่สถานี Lane Change แล้วเลี้ยวโค้งเข้าสู่ สลาลอมด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่หน้า Grand Stand โดยแต่ละท่านจะได้ขับ 2 รอบ ก่อนจะนำรถกลับเข้าพิท ถือเป็นการจบการทดสอบ
สถานีทดสอบวางไว้ตามจุดต่างๆ รอบสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต
พร้อมแล้วไปลองสมรรถนะในสนามกันเลยดีกว่า
สถานี Moose Test
เข้าโค้งด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สถานีสลาลอมหน้า Grand Stand สนามช้างฯ
จากการได้ทดลองขับทั้ง 2 แบบ ทั้งเส้นทางไกลๆ และในสนามช้างฯ ก็ขอสรุปว่า เจ้าโตโยต้า C-HR คันนี้ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มหนุ่ม-สาว ที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัว ไม่ตอบโจทย์ครอบครัวขนาดกลางและขนาดใหญ่ ดีไซน์ภายในก็ดูทันสมัย และสปอร์ตเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ด้านการขับขี่นั้นประทับใจมาก ทั้งเรื่องอัตราสิ้นเปลือง, การตอบสนองต่อการควบคุมที่ไว้วางใจได้ทั้งในย่านความเร็วต่ำจนถึงความเร็วสูง, ช่วงล่างที่นุ่มสบาย แต่ที่อยากจะติงไว้หน่อยก็คือเรื่องเสียงลมและเสียงยางที่เข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างเยอะกว่าที่คาดไว้ จริงๆ ไม่ได้ดังมากแต่ก็คิดว่าน่าจะเงียบกว่านี้อีกสักนิด ส่วนด้านหลังที่แคบนั้นก็พอเข้าใจว่าด้วยดีไซน์ของรถ และกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มสร้างครอบครัวเลยยังไม่ได้ต้องการพื้นที่ใช้สอยอะไรเหมือนอย่างกลุ่มครอบครัว ถ้าคุณต้องการรถขับสนุกเน้นเรื่องประหยัด Toyota C-HR ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในราคา 1,159,000 บาท