Mazda BT-50 PRO ใหม่ เติมเต็ม พร้อมลุยกว่าเดิม
มาสด้า นำเอานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ใน มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ทั้งการออกแบบที่โดดเด่น และการเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานจนเทียบเท่ากับรถยนต์นั่งระดับสูง รวมถึงการเพิ่มความหลากหลายของตัวถัง เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง แบ่งระดับของรุ่นย่อยต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการให้มากที่สุด ทีมงานเช็คราคา.คอม ได้มีโอกาสไปทดลองขับ รู้สึกประทับใจไม่น้อย เพราะราคาน่าคบหา แถมตอบสนองการใช้งานได้ครบถ้วน ส่วนรายละเอียดต่างๆ ที่น่าสนใจมีดังนี้
คงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ดูแข็งแกร่งดุดันมากขึ้น มิติรถยังใหญ่กว่าปิกอัพทั่วไป ด้านหน้ารถดูมั่นคงแข็งแกร่ง กระจังหน้าและไฟหน้าก็ได้รับการออกแบบใหม่ และคงความโดดเด่นที่กระจังหน้า Signature Wing สำหรับการปรับเปลี่ยนทั้งหมดได้ยึดตามแบบรถตระกูลมาสด้า และเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้ออัลลอยแบบและสีใหม่-เทาดำกันเมทัล ทั้ง 16 และ 17 นิ้ว แยกตามรุ่นย่อย ส่วนด้านหลังไฟท้ายก็ปรับใหม่และเปลี่ยนสีไฟท้ายเป็นแดงเข้ม
เน้นอารมณ์สปอร์ตใช้โทนสีดำเป็นสีหลัก ตัดกันด้วยชิ้นงานตกแต่งสีเทาดำกันเมทัล และให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในรถเก๋ง คอนโซลหน้าออกแบบด้วยรูปทรงแบบไม่สมมาตร เปิดกว้างในส่วนของผู้โดยสารเบาะหน้า และโอบกระชับส่วนของผู้ขับ ทำให้ห้องโดยสารด้านหน้ากว้างขวางและมีพื้นที่ใช้สอยรอบตัวเยอะ
ล่าสุดยังใช้ 2 ขนาดเครื่องยนต์แยกตามรุ่นย่อย คือ เครื่องยนต์ดีเซล Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตร คอมมอนเรล ไดเรคอินเจคชั่น 4 สูบ 16 วาล์ว มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ระดับกำลังกำลังสูง และระดับปานกลาง ซึ่งเครื่องยนต์ระดับกำลังสูง ให้กำลังสูงสุดถึง 150 แรงม้า ที่ 3,700 รอบ แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบ และ Di-THUNDER PRO 3.2 ลิตร 5 สูบ พลัง 200 แรงม้า ที่ 3,000 รอบ และแรงบิดสูงสุดถึง 470 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ ส่วนระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขึ้นกับรุ่นย่อย ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อมีฟังก์ชัน Shift on-the-fly ซึ่งควบคุมด้วยไฟฟ้า ช่วยเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก 2 ล้อ ไปเป็น 4 ล้อ ในระหว่างขับได้โดยไม่ต้องหยุดรถ พร้อมมีระบบเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป (Limited Slip Differential) ในรุ่น 2.2 Hi-Racer ขึ้นไป เพิ่มความสามารถการขับแบบออฟโรด ไม่ให้ล้อหมุนฟรีขณะติดอุปสรรค ส่วนรุ่น 3.2 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ มีระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Dynamic Stablility Control - DSC)
การขับทดสอบ
การทดลองขับ BT-50 PRO ใหม่ ขับจากอาคารอินเตอร์เชนจ์ 21 กรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่สนามทดสอบออฟโรด กรังด์ปรีซ์ กอล์ฟคลับ กาญจนบุรี ขับบนทางหลวงเป็นระยะทางกว่า 180 กม. โดยรถที่ใช้เป็นรุ่นดับเบิ้ลแค็บ DBL Hi-Racer ( 773,000 บาท) เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ เพื่อเน้นขับทางเรียบ มีผู้โดยสาร 3 คนรวมคนขับ เส้นทางหลังจากพ้นตัวเมือง สามารถทำความเร็วได้มากขึ้น แต่ก็เริ่มรู้สึกอาการแข็งกระด้าง และโยนตัว โดยเฉพาะตำแหน่งเบาะหลัง ช่วงขึ้นสะพานอาการโยนและกระเด้งชัดเจนมาก จึงแวะปั๊มเพื่อทำการเช็คแรงดันลมยางใหม่ ให้อยู่ในระดับพอดีราว 34 ปอนด์ ทุกล้อ ผลปรากฎว่าอาการแข็งกระด้างลดลงชัดเจน และสามารถนั่งได้อย่างสบายขึ้น และเพลินไปกับระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในรถ โดยเฉพาะชุดเครื่องเสียงที่สามารถเชื่อมต่อผ่านบลูทูธกับสมาร์ทโฟนได้ อัตราเร่งและการบังคับเลี้ยวยังคงเป็นจุดที่น่าประทับใจเหมือนเดิมจากเครื่องยนต์บล็อคเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือ อุปกรณ์ภายในมีมากขึ้น ดีไซน์ภายนอกและภายในดูดีขึ้น
เมื่อถึงสนามออฟโรดก็ได้เปลี่ยนมานั่งรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และลองขับลุยตามสถานีต่างๆ ภายในสนาม พบว่าระบบช่วงล่างด้านหน้าที่เป็นแบบอิสระปีกนกคู่ (Double-wishbone) และคอยล์สปริง ด้านหลังแบบคานแข็งและชุดแหนบ (Leaf-Spring) คงความสบายในการขับแม้ลุยทางออฟโรด การควบคุมรถ ด้วยระบบบังคับเลี้ยวแรคแอนพีเนียน (Rack-and-pinion Steering) สามารถตอบสนองได้ดี อัตราทดพวงมาลัยเร็วขึ้น และองศาการเลี้ยวก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ช่วยให้เลี้ยวได้คล่องแคล่ว และแม่นยำ นอกจากนี้ ยังทราบมาว่า BT-50 PRO ใหม่ สามารถลุยน้ำได้สูงถึงระดับ 80 เซนติเมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อแบบยกสูง Hi-Racer และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และระดับ 60 เซนติเมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ โดยที่เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของรถยังทำงานได้ตามปกติ เพราะตำแหน่งของไดชาร์จอยู่สูงกว่ารถปิกอัพทั่วไป
นับเป็นรถปิกอัพที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์ภายในห้องโดยสารมากที่สุดรุ่นหนึ่ง โดยเฉพาะรุ่นสูง มีเฮดยูนิทดูหนัง ฟังเพลง จากอุปกรณ์และการเชื่อมต่อได้สารพัดรูปแบบ ถ่ายทอดผ่านจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว แบบลดแสงสะท้อนหน้าจอ ให้มุมมองคมชัด พร้อมฟังก์ชั่น Auto-Dimmer ปรับลดความสว่างอัตโนมัติ เมื่อเปิดไฟหน้า นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมเครื่องเสียงได้อย่างสะดวกบนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น (เฉพาะรุ่น leather AT, 4x4) เด่นสุดๆ คือ การจำลองซีดี Virtual discs CDC เก็บบันทึกข้อมูล CD ได้ถึง 6 แผ่น ด้านระบบนำทางจะแยกเสียงดังเฉพาะที่ลำโพงหน้าขวาเพื่อความชัดเจนขณะฟังเพลง ส่วนระบบปรับอากาศภายในรถรุ่นท็อปเป็นแบบอัตโนมัติอย่างในภาพด้านบน สวยงามและชัดเจน
บีที-50 โปร ใหม่ ยังคงอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยไว้อย่างครบครัน ตามสไตล์มาสด้ายุคใหม่ โดยไฟหน้ามีฟังก์ชั่น เปิด-ปิด อัตโนมัติ, ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กระจกมองหลังตัดแสงสะท้อนอัตโนมัติช่วยลดแสงไฟหน้าของรถคันหลัง ด้านสมรรถนะความปลอดภัยเชิงปกป้องก็เน้นความแข็งแกร่งของโครงสร้างห้องโดยสาร ด้วยโครงสร้างแชสซีที่ใช้เหล็กรับแรงได้สูงพิเศษ (High-tensile Steel) และโครงสร้างเหล็กถูกออกแบบให้ดูดซับ-กระจายแรงปะทะจากการชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งโครงสร้างห้องโดยสารและแชสซี ช่วยผู้โดยสารปลอดภัยจากการชนปะทะในทุกทิศทาง ส่วนสมรรถนะความปลอดภัยเชิงปกป้องภายในห้องโดยสารประกอบด้วย เข็มขัดนิรภัย 3 จุด ELR สำหรับผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า และเข็มขัดนิรภัย 3 จุด ELR สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 3 ตำแหน่ง ในรุ่นดับเบิ้ลแค็บ ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น พร้อมถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านนิรภัย ในรุ่นดับเบิ้ลแค็บ 3.2 R 6AT 4WD ให้ความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ส่วนเทคโนโลยีทันสมัยที่ช่วยควบคุมการทำงาน ได้แก่ ระบบเบรก ABS 4 ล้อ (Antilock Braking System, 4W-ABS), ระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction Control System, TCS) และระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (Dynamic Stability Control, DSC) และเสริมด้วยระบบการทำงานเด่นๆ อย่าง ระบบช่วยเพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน Emergency Brake Assist (EBA) เมื่อมีการเบรกฉุกเฉินระบบจะช่วยเพิ่มแรงเบรกให้มากพอในการหยุดรถ, Brake Override System (BOS) ระบบอัตโนมัติที่จะตัดการทำงานของคันเร่งในกรณีที่แป้นเบรกและคันเร่งถูกเหยียบในเวลาเดียวกัน, ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉิน กะพริบเมื่อเบรกฉุกเฉิน Emergency Stop Signal (ESS), ระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อบรรทุก Load Adaptive Control (LAC) เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระระบบจะทำการจับตำแหน่งและน้ำหนักของสัมภาระที่บรรทุกแล้วควบคุมการทำงานของระบบเบรก ABS 4 ล้อ (4W-ABS), ระบบป้องกันการลื่นไถล (Traction Control System, TCS) และระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (Dynamic Stability Control, DSC) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก การป้องกันการลื่นไถล เสถียรภาพและการทรงตัวของรถ รวมถึงการป้องกันรถพลิกคว่ำ, ระบบช่วยการทรงตัวลากจูง (TSM) ขณะลากจูงรถ เมื่อรถลากเริ่มที่จะส่ายออกด้านข้าง ระบบจะทำการปรับความเร็วของล้อทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเพื่อรักษาตำแหน่งของรถลากให้เหมาะสม, ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ Roll-Over Mitigation (ROM) ระบบทำงานเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของรถและควบคุมแรงเบรกในแต่ละล้อเพื่อป้องกันรถพลิกคว่ำ, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Launch Assist (HLA) เมื่อรถต้องออกตัวจากการหยุดนิ่งบนถนนที่ลาดชัน เมื่อผู้ขับถอนเท้าจากแป้นเบรคเพื่อไปเหยียบคันเร่งระบบจะทำการหยุดรถเป็นเวลา 2 วินาที, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (4WD only) ระบบจะสั่งให้เพิ่มแรงเบรกเพื่อรักษาความเร็วที่ใช้อยู่ให้คงที่ แต่ที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดคือ กล้องมองหลังรวมอยู่ในกระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ ให้ความสะดวกและไม่ต้องละสายตาลงมาดูที่จอ อย่างไรก็ตามระบบความปลอดภัยเหล่านี้เป็นออปชั่นที่อาจต่างกันไปในแต่ละรุ่น ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย
ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
สรุป ด้วยรูปลักษณ์ สมรรถนะ และราคาที่ไม่แพง ทำให้
บีที-50 โปร ใหม่ โดดเด่นในด้านความคุ้มค่ามากๆ โดยเฉพาะกับคนที่มองหารถปิกอัพขับเคลื่อน 2 ล้อ สมรรถนะดี ราคาประหยัด ด้วยพลัง 150 แรงม้า แรงบิด 375 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์ Di-THUNDER PRO 2.2 ลิตร คอมมอนเรล ไดเรคอินเจคชั่น 4 สูบ 16 วาล์ว นับว่าเหลือเฟือ และราคารุ่นท็อปจ่ายเพียง 773,000 บาท ก็นับว่าดีกว่าหลายยี่ห้อในตลาดเดียวกัน