NISSAN JUKE 1.6V - Sport Crossover
VIDEO ชม VDO รีวิว ทดสอบ Nissan Juke 1.6V
Nissan Juke 1.6V (นิสสัน จู๊ค 1.6 วี) สปอร์ต ครอสโอเวอร์ ขนาดเล็กคล่องตัวในเมือง-พร้อมลุยนอกเมือง ด้วยการออกแบบที่แปลกตา แต่โดนใจใครหลายคนจนยอดจองถล่มทลาย รูปทรงถอดแบบจากรถสปอร์ตรุ่นพี่อย่างนิสสัน 370Z ภายในยิ่งให้อารมณ์เร้าใจจากการตกแต่งด้วยเบาะหนังดำตะเข็บด้ายแดง หน้าปัดทรงกลมแบบสปอร์ต พวงมาลัยไซส์เล็กเหมาะมือ เครื่องเสียงจอสัมผัสครบทุกการเชื่อมต่อ พร้อมฟังก์ชัน I-CON (Integrated-Control-System) ปรับโหมดตามพฤติกรรมการขับขี่ได้ดั่งใจ และสะดวกด้วย Smart entry เพียงกดปุ่มตรงมือจับประตู และมีปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์มาให้ทุกรุ่น
นิสสัน จู๊ค มาพร้อมเครื่องยนต์ HR16 เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว Twin C-VTC หัวฉีด ECCS 32 bit ขนาด 1,598 ซีซี 116 แรงม้า เกียร์ XTRONIC CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า มีความสูงใต้ท้องรถ 180 มม. เตรียมลุยทุกสภาพถนน มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ ดำ-Black Solid, ขาว-White Solid, แดง-Burning Red, น้ำเงิน-Pacific Blue (1.6E), เงิน-Brilliant Silver, เทา-Twilight Grey และมี 3 รุ่นย่อยให้เลือกคือ
ทีมงานเช็คราคา.คอม ได้รับความอนุเคราะห์จาก
บริษัท นิสสัน ทีเอสเอส-เอ็นเอส จำกัด (Nissan TSS-NS) สาขารามคำแหง เพื่อนำรถนิสสัน จู๊ค สีแดง รุ่น 1.6V XTRONIC CVT ราคา 858,000 บาท มาทดสอบในครั้งนี้
เริ่มต้นจากโชว์รูมนิสสัน ทีเอสเอส-เอ็นเอส รามคำแหง กลับรถใช้เส้นทางถนนสุขุมวิท 71 เข้าถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าสมุทรปราการ (ช่วงพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ 3 เศียร) และขึ้นทางด่วนกาญจนาภิเษกและลงทางออกถนนบางนา-ตราด เข้าศูนย์การค้าเมกาบางนา เพื่อบันทึกภาพรถนิสสัน จู๊ค
จากนั้นก็เดินทางต่อโดยใช้ถนนบางนา-ตราดมุ่งหน้าถนนวงแหวนกรุงเทพฯ รอบนอกฝั่งตะวันออก เชื่อมถนนกาญจนาภิเษกจนสุดทางที่บางปะอิน และใช้เส้นทางพหลโยธินขาออกจนถึงจุดหมาย The Palazzetto (เดอะ พาลาซเซตโต้) พหลโยธิน กม.64 เพื่อบันทึกภาพนิสสัน จู๊ค มุมสวยๆ
ขากลับวิ่งย้อนเส้นทางเดิมจาก The Palazzetto พหลโยธิน กม.64 เข้าถนนวงแหวนรอบนอก-กาญจนาภิเษก มุ่งหน้าทางออกถนนเสรีไทยขาเข้าเลี้ยวลัดเข้าซอยศรีบูรพา เพื่อออกถนนนวมิทร์ จากถนนนวมินทร์ขับไปตามทางจนเลี้ยวซ้ายเข้าถนนประเสริฐมนูกิจ มุ่งหน้าศูนย์การค้า The Walk เกษตรนวมินทร์ เพื่อบันทึกภาพ
หลังจากนั้นเดินทางกลับโชว์รูมนิสสัน TSS-NS สาขารามคำแหง โดยใช้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ลงทางออกถนนพัฒนาการ เลี้ยวขวาผ่าน 4 แยกคลองตันกลับเข้าโชว์รูมนิสสันรามคำแหงเป็นอันสิ้นสุดเส้นทางทดสอบในครั้งนี้
สภาพการจราจรในช่วงในเมืองถนนสุขุมวิท, บางนา-ตราด, ถนนกาญจนาภิเษกก่อนลงถนนบางนารถค่อนข้างหนาแน่น ใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ 40 - 60 กม./ชม. ส่วนในช่วงวงแหวนกาญจนาภิเษก ช่วงบางปะอิน รถคล่องตัวในความเร็วเฉลี่ย 90 - 120 กม./ชม. และช่วงก่อนกลับเข้าโชว์รูม บนทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์รถโล่ง ทำความเร็วได้เฉลี่ย 120 - 130 กม./ชม.
ลักษณะการขับแบบคิกดาวน์ทดสอบอัตราเร่ง ปรับโหมดใช้งานแบบสปอร์ตมากกว่าโหมดธรรมดา มีผู้ร่วมเดินทางรวมผู้ขับเป็น 2 คน น้ำมันเต็มถัง รวมระยะทางทั้งหมด 212.8 กม.
Nissan Juke 1.6V มีความโดดเด่นในเรื่องของรูปทรงที่แปลกตามากๆ โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจาก "กบ" บวกกับช่วงท้ายที่ยึดรูปลักษณ์แนวสปอร์ตจากนิสสัน 370Z
จู๊คมีความสูงของใต้ท้องรถมากถึง 180 มม. จึงทำให้เข้าไปอยู่ในกลุ่มรถครอสโอเวอร์ไปโดยปริยาย ตัวรถเป็นแบบแฮตช์แบ็ก 5 ประตู มีลูกเล่นที่มือจับประตูคู่หลังซ้อนแนบกับเสา-ซี (เสาหลัง) ทำให้เมื่อมองผ่านๆ หลายคนคิดว่าเป็นรถแบบ 3 ประตู การออกแบบคู่ไฟหน้าทรงกลมที่เป็นเอกลักษณ์พร้อมไฟซีนอน และชุดไฟหรี่ และไฟเลี้ยวอยู่เหนือขึ้นไปบริเวณซุ้มล้อหน้าติดกับฝากระโปรง
ด้านข้างเห็นเส้นสายโค้งมนได้ชัดเจนพร้อมติดตั้งคิ้ว และกาบชายด้านล่างรอบคันเป็นสีดำด้านตามแบบรถครอสโอเวอร์ ช่วงท้าย นอกจากจะคล้ายรุ่น 370Z แล้วยังได้ติดตั้งสปอยเลอร์เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น ด้านล่างของกันชนหลังตกแต่งวัสดุสีดำหรือ "ดิฟฟิวเซอร์" บ่งบอกว่าพร้อมลุยทุกสภาพถนน และตกแต่งปลายท่อไอเสียแบบโครเมียม ไฟท้ายทรงตัว "แอล" เข้ารูปตามเสาหลังคาคู่หลังอย่างลงตัว
นิสสัน จู๊ค เลือกสนุกกับฟังก์ชัน I-CON (Integrated-Control-System) สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการ เช่น Normal กรณีขับขี่ใช้งานทั่วไป, Sport กรณีต้องการอัตราเร่งให้กระฉับกระเฉง และ Eco โหมดนี้เป็นการขับประหยัด ซึ่งเหมาะกับผู้ไม่เร่งรีบแต่ช่วยประหยัดได้มากขึ้น จอแสดงผลจาก I-CON (Integrated-Control-System) นี้สามารถควบคุมระบบปรับอากาศได้ด้วย
ระบบความบันเทิงหน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ AUX/Bluetooth/iPod/mp3/USB/Wi-Fi รวมทั้งอินเทอร์เน็ต และสามารถถอดหน้าจอออกมาใช้งานได้ (โดยต้องใช้ชุดสำรองไฟต่อกับช่องรับไฟด้านล่างของจอ)
เครื่องเสียงมีฟังก์ชันให้เลือกใช้งานหลากหลาย คอนโซลหน้าสีดำแบบสปอร์ต มาตรวัดทรงกลม 2 วง พร้อมจอแสดงผลดิจิตอลบอกระยะทาง, อัตราสิ้นเปลือง, ระดับน้ำมัน และวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์ ด้านล่างฝั่งซ้ายมีปุ่ม Start/Stop Engine แบบเรืองแสงมาให้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบ 3 ก้านหุ้มหนังแท้ขนาดกระชับมือแบบรถสปอร์ต แผงควบคุมเครื่องเสียง และแอร์อยู่ในกรอบเดียวกัน หัวเกียร์ทรงกลมมนพร้อมปุ่มโอเวอร์ไดร์ฟ ที่วางแก้วน้ำ 2 ช่องตรงคอนโซลกลาง และแผงประตูสลับตกแต่งด้วยสีแดง ช่องลมแอร์ด้านข้างทรงกลมสไตล์สปอร์ต
เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ตหุ้มหนังแท้เย็บด้วยตะเข็บสีแดง นั่งสบายแม้ขับทางยาวๆ
เบาะตอนหลังพับได้หลายรูปแบบ
เมื่อพับเบาะแบนราบขนของได้จุใจขึ้น
เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ตมีความกระชับ และเบาะตอนหลังโอบรับกับลำตัวได้ดี หุ้มด้วยวัสดุหนังแท้สีดำเย็บขอบด้วยด้ายแดงให้อารมณ์ดุดัน สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบเบาะตอนหลังได้ 60/40 และพับแบนราบเพื่อบรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น
นิสสัน จู๊ค ใช้เครื่องยนต์ HR16 เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว Twin C-VTC หัวฉีดคู่ ควบคุมด้วยหน่วยประมวลผลขนาด 32bit ความจุ 1,598 ซีซี 116 แรงม้า รองรับน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล E20 เกียร์ CVT ที่ตอบสนองได้ราบรื่น และฉลาดมากๆ พร้อมโหมดเลือกปรับเปลี่ยนสไตล์การขับได้แบบคือ Normal Sport และ Eco ล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว ยางขนาด 215/55R17 จาก Bridgestone รุ่น Turanza GR-90
หัวฉีดคู่แยกฝังในพอร์ตไอดี 2 ช่องต่อ 1 ลูกสูบ ฉีดเป็นละอองฝอยคลุกเคล้าส่วนผสมกับอากาศได้ดีขึ้น แม็ก 17 นิ้ว ยาง Bridgestone รุ่น Turanza GR-90 215/55R17 เกาะถนนดีเยี่ยม นิสสัน จู๊ค มีขนาดตัวรถและเครื่องยนต์ที่เหมาะสมและลงตัว ใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร พัฒนาใหม่ใส่หัวฉีดคู่ ยิ่งประหยัด และตอบสนองอัตราเร่งได้เกินคาด แม้มีแรงม้าไม่มากมายเพียง 116 ต้ว แต่เมื่อได้ลองขับจะรู้สึกถึงความกระฉับกระเฉง คล้ายรถสปอร์ตขนาดย่อมๆ แม้ระบบเกียร์จะไม่มีอารมณ์กระตุกเมื่อเปลี่ยนจังหวะ แต่ความเร็วที่เข็มวัดรอบนั้นขึ้นตามเท้าอย่างไม่ยากเย็นนัก เมื่อลองทดสอบอัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ทั้ง 3 โหมดคือ Normal sport และ Eco ในแบบคิกดาวน์สุดผลออกมาคืออัตราเร่งแทบไม่แตกต่างกัน โดยใช้เวลาประมาณ 12 วินาที นั่นแสดงว่าการออกตัวด้วยการคิกดาวน์ในแต่ละโหมดนั้นเครื่องยนต์และเกียร์จะตอบสนองได้เหมือนๆ กัน
ความเร็วของนิสสัน จู๊ค ในระดับต่างๆ นั้นนับว่ารอบไม่สูงมากจึงช่วยให้ประหยัดน้ำมัน และเมื่อทดสอบอัตราเร่งแซงจาก 80 กม. ขึ้นไปในแต่ละโหมดจะให้ความรู้สึกที่ต่างกันเล็กน้อย เช่น ในโหมดธรรมดา (Normal) จะตอบสนองการเร่งแซงหรือเปลี่ยนเกียร์แบบทั่วไป กดคันเร่งลงไม่ลึกมากนักเมื่อต้องการเร่งเครื่อง ระบบเกียร์และเครื่องยนต์จะตอบสนองตามระดับคันเร่งที่เราเหยียบ (มีการรอรอบเครื่องยนต์เล็กน้อย) คล้ายการขับขี่แบบปกติ
ในส่วนของโหมดสปอร์ต (Sport) นับเป็นโหมดที่ขับสนุกที่สุด เมื่อกดคันเร่งลงไป (ไม่ต้องลึกเท่าแบบโหมดธรรมดา) เครื่องยนต์และระบบเกียร์ตอบสนองทันที สังเกตได้จากรอบเครื่องยนต์ที่เด้งขึ่นทันทีที่กดคันเร่ง และเกียร์จะปรับอัตราทดให้มีรอบเครื่องที่สัมพันธ์กัน ทำให้อัตราเร่งดีเรียกสมรรถนะได้มากที่สุด
โหมด Sport ขับสนุก บวกกับเบาะนั่ง, พวงมาลัย และมาตรวัดทรงกลม ยิ่งได้อารมณ์สปอร์ตคาร์มากๆ โหมด ECO เหมาะกับผู้ไม่เร่งรีบ หากใจร้อนไม่ควรยุ่งกับโหมดนี้
และในโหมดประหยัด (Eco) นับว่า เน้น "ประหยัด" ตามชื่อ นั่นคือ แม้จะกดคันเร่งให้เท่าแบบโหมดธรรมดา เครื่องยนต์และเกียร์ยังไม่ตอบสนองมากนัก จะคงรอบเครื่องยนต์และอัตราทดเกียร์เท่าเดิมอยู่และรอให้เครื่องยนต์ค่อยๆ เร่งขึ้นไปช้าๆ ซึ่งกล่องควบคุม (ECU) จะสั่งให้จ่ายน้ำมันน้อย และปรับอัตราทดเกียร์ในแบบประหยัดไปแบบเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ
สำหรับนิสสัน จู๊ค นับว่ามีคู่แข่งไม่มากในท้องตลาดบ้านเรา และก็มักจะไปกันคนละแนว โดยนิสสัน จู๊ค เน้นสไตล์ที่แตกต่าง รูปทรงมีแนวทางเป็นของตัวเอง บนพื้นฐานรถอเนกประสงค์ขนาดย่อมที่ไม่เทอะทะ มีความคล่องตัวและเครื่องยนต์ไม่ใหญ่เกินความจำเป็น และตอบสนองการใช้งานได้หลากหลาย
ความเร็ว 80 กม./ชม. ที่ 1,400 รอบ/นาที ความเร็ว 120 กม./ชม. ที่ 2,100 รอบ/นาที นิสสัน จู๊ค มีน้ำหนักตัว 1,193 กิโลกรัม และใส่ล้อขนาด 17 นิ้ว จึงทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองที่นับว่าอยู่ในระดับกลางๆ คือ จะประหยัดเมื่อขับแบบใช้ความเร็วตามจังหวะเครื่องยนต์และเกียร์ไปเรื่อยๆ ไม่กดคันเร่งมาก แต่บางครั้ง ถ้าขับในลักษณะต้องการเร่งบ่อยๆ ก็จะประหยัดน้อยลง ซึ่งหากลองเทียบดูก็จะมีอัตรากินน้ำมันใกล้เคียงรถระดับ 1.6 ลิตรทั่วๆ ไป สำหรับจู๊ค คันนี้ในวันทดสอบ ในลักษณะที่คิกดาวน์บ่อยเพื่อให้สัมผัสความรู้สึกเมื่อต้องการแซง และใช้ความเร็วสูงๆ ในหลายช่วง โดยใช้โหมดสปอร์ตเกือบตลอดทริป และในเขตตัวเมืองก็มีการจราจรที่ติดขัดมากๆ แม้จะเป็นช่วงกลางวันของวันธรรมดา ผลคือ มีอัตราสิ้นเปลืองจากมาตรวัดบนหน้าปัดเฉลี่ย 12.6 ลิตร / 100 กม. หรือ 7.93 กม./ลิตร! ซึ่งนับว่ากินจุกว่าที่คิด แต่หากเทียบกับเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรด้วยกัน และลักษณะการขับขี่คล้ายๆ กันก็ไม่แตกต่างกันมากนัก
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 12.6 ลิตร/100 กม. หรือ 7.93 กม./ลิตร ระดับน้ำมันในถังที่เหลือหลังจากวิ่งไป 212.8 กม.และยังวิ่งได้อีก 352 กม. แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งคิดว่านิสสัน จู๊ค เปลืองน้ำมันนะครับ เพราะหลังจากการทดสอบเป็นระยะทาง 212.8 กิโลเมตร จากน้ำมันเต็มถังมาตรวัดระดับน้ำมันลดมาเพียง 1 ช่องเท่านั้น หรือประมาณ 3 ใน 4 ส่วน และน้ำมันในถังที่เหลือสามารถวิ่งได้อีก 300 กว่ากิโลเมตร สถานการณ์พลิกครับ กลายเป็นว่าตัวเลขอัตราเฉลี่ยกับระดับน้ำมันที่ใช้ไปนั้นโดยรวมแล้วนับว่าน่าพอใจมากๆ ทางทีมงานเช็คราคา.คอมเคยทดสอบรถระดับ 1.6 ลิตรรุ่นอื่นๆ บางคันในระยะทางใกล้เคียงกันแต่ระดับน้ำมันลดลงมาที่ครึ่งถัง ดังนั้นนิสสัน จู๊ค มีอัตราที่ "ไม่กินจนน่าใจหาย ไม่ประหยัดในแบบอีโคคาร์ มันคือรถ 1,600 ที่มาในสไตล์สปอร์ต-ครอสโอเวอร์"
ที่นั่งผู้ขับ/ผู้โดยสาร เบาะคู่หน้าของจู๊คออกแบบได้ใกล้เคียงรถสปอร์ตมาก กระชับโอบรัดลำตัวและช่วงสะโพก ทำให้ได้อรรถรสในแบบรถสปอร์ต และวัสดุหนังแท้ที่นุ่มไม่กระด้างยิ่งทำให้การขับระยะทางยาวๆ ไม่เมื่อยล้า ซึ่งนิสสันมีความเก่งในด้านการออกแบบเบาะนั่งในรถของตัวเองอยู่แล้ว ตำแหน่งของพวงมาลัยสามารถปรับให้พอเหมาะกับตัวเบาะ หรือจะปรับระดับความสูง-ต่ำของเบาะคนขับให้เหมาะก็ย่อมได้ และความสะดวกสบายอีกอย่างคือ เมื่อจอดรถและกดล็อคกระจกมองข้างจะพับเก็บอัตโนมัติ และกางออกเองได้เมื่อเราสตาร์ตเครื่อง
ส่วนในตัวเบาะที่นั่งตอนหลังนั้น ก็นั่งได้สบายไม่แพ้ตอนหน้าทั้งเบาะรองนั่งและพนักพิงที่ใช้วัสดุหนังแท้และขึ้นรูปเป็นทรงกึ่งสปอร์ต แต่เสียดายที่มีเนื้อที่วางช่องขาที่เล็กและแคบมากไปหน่อย อาจจะดูแคบกว่านิสสัน มาร์ชเล็กน้อย เมื่อคนขับเลื่อนเบาะถอยหลังสุด คนนั่งหลังแทบวางขาไม่ได้ และส่วนพื้นที่เหนือศีรษะก็เหลือพอดีกับคนที่มีความสูงประมาณ 175 ซม. หากสูงกว่านั้นอาจเริ่มอึดอัดเมื่อต้องนั่งนานๆ
ผู้ที่หลงใหลเจ้าจู๊คอาจต้องทำใจ เรื่องที่นั่งตอนหลัง เพราะการออกแบบเน้นเป็นรถกึ่งสปอร์ต-ครอสโอเวอร์ ขับคนเดียว หรือแค่มีคนนั่งข้าง ถ้าจะขนเพื่อนๆ ก็ต้องเลื่อนเบาะคู่หน้าให้มีพื้นที่พอที่จะผู้โดยสารตอนหลังนั่งวางขาได้
นิสสัน จู๊ค หากมองผ่านๆ คล้ายรถสปอร์ตแบบ 3 ประตู แต่ก็มีจุดเด่นที่เบาะหลังพับเก็บแบบ 60/40 และ 100% เพิ่มพื้นที่เก็บของได้ และมีความสูงใต้ท้องรถถึง 180 ซม. สามารถผ่านน้ำท่วมขังหรือเนินสูงได้สบายๆ
กระจกพับอัตโนมัติเมื่อล็อครถ กระจกกางให้อีกครั้งเมื่อสตาร์ตเครื่องยนต์ ห้องเก็บของส่วนท้ายมีช่องลับเก็บของได้อีกและเมื่อยกออกมาจะพบกับยางอะไหล่ มุมมองในตำแหน่งคนขับนิสสัน จู๊คนับว่าออกแบบได้ดีมาก เพราะความสูงของตัวรถและเบาะที่ปรับระดับได้ ทำให้มองเห็นได้รอบตัวรถ ตั้งแต่ไฟหรี่มุมทั้ง 2 ข้างเหนือซุ้มล้อ รวมถึงฝากระโปรงหน้าด้วย และในส่วนของเสาหลังคาทั้ง 4 มุม ได้แก่ A-pillar กระจกบังลมหน้าไม่บดบังสายตาขณะเลี้ยว หรือจะเป็นเสาด้านหลัง c-pillar ก็ไม่เป็นปัญหา เนื่องจากตัวรถมีความยาวไม่มาก จึงทำให้สามารถมองเห็นในจุดบอดจุดอับสายตาได้ดี ส่วนด้านท้ายรถไม่ใช่ปัญหาเมื่อมีกล้องมองหลังขณะถอย นอกจากมุมมองกระจกหลังจะเห็นได้ง่ายแล้ว ก็ยังมีกล้องมองภาพบนวิทยุเพิ่มเป็นตัวช่วยอีกขั้น สะดวกสบายจริงๆ
นิสสัน จู๊ค ออกแบบให้เป็นรถสไตล์ครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก เครื่องยนต์ขนาดกำลังเหมาะ ไม่แรงเกินตัว แต่ไม่อืดจนน่าเบื่อ ที่สำคัญมีความคล่องตัวมาก เมื่อใช้งานในตัวเมืองหรือการจราจรคับคั่ง น้ำหนักพวงมาลัยเบาหมุนง่าย วงเลี้ยวแคบเทียบเท่ารถระดับ 1.5 ลิตรทั่วไป อัตราเร่งขณะใช้งานนับว่าดี ทัศนวิสัยจากตัวรถที่สูงกว่าระดับรถเก๋งปกติ สามารถมองเห็นเลยรถคันด้านหน้าได้ เครื่องยนต์ขนาด 1,600 ซีซี 116 แรงม้า แรงบิดที่ 154 นิวตันเมตร (15.7 กิโลกรัมเมตร) ขับสุนกไหลลื่น โดยเฉพาะเมื่อปรับมาใช้โหมด Sport ยิ่งได้อัตราเร่งที่ฉับไวเพิ่มขึ้น
ความรู้สึกจากการตอบสนองของโหมดขับขี่ในแบบต่างๆ นั้น ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ สำหรับโหมด Normal จะ เป็นการขับขี่แบบทั่วไปตามสมรรถนะที่เครื่องยนต์มีให้ ตอบสนองในระดับกลางๆ มีการหน่วงเล็กน้อยเมื่อต้องการเร่งแซง ระบบเกียร์ CVT ก็จะปรับอัตราทดตามน้ำหนักเท้าที่เรากดลงไป หากกดคันเร่งไม่ลึกมาก บางจังหวะระบบเกียร์จะคงอัตราทดเดิม จะรู้สึกแค่รอบเครื่องยนต์ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่สักครู่ก็ไต่ระดับความเร็วตามที่เราต้องการได้ ในโหมดนี้เหมือนเราขับใช้งานทั่วไปไม่เร่งรีบมาก และไม่เน้นประหยัด
ส่วนโหมด Sport เป็นโหมดที่ใช้ขับทดสอบในครั้งนี้มากที่สุด เนื่องจากขับสนุก ตื่นเต้น และตามเท้ามากที่สุด โหมดนี้เพียงเราเพิ่มแรงกดคันเร่งลงไปไม่นาน จะรู้สึกถึงการตอบสนองของเครื่องยนต์ และเกียร์จะปรับอัตราทดให้สูงขึ้นเพื่อให้มีกำลังเร่งแซงได้ทันที เรียกว่า โหมด Sport "กดปุ๊บมาปั๊บ"
ต่อไปเป็นโหมดเรียบร้อยของคนรักความประหยัด ไม่เร่งรีบ ไปเรื่อยๆ นั้นคือ Eco ในโหมดนี้ หากกดคันเร่งไม่ลึกมากถึงลึกปานกลาง เครื่องยนต์และระบบเกียร์จะไม่ตอบสนองทันที จะต้องรอรอบของเครื่องยนต์ให้ไต่ระดับความเร็วไปเรื่อยๆ หากต้องการเร่งแซงจริงๆ จะต้องเหยียบคันเร่งเกือบมิดจึงจะเริ่มมีการตอบสนอง สำหรับโหมดนี้ต้องขับแบบใจเย็นจริงๆ แต่ก็แลกกับความประหยัดเพิ่มขึ้นอีก 5-10%
ใต้ท้องด้านหน้ามีแผ่นปิดเรียบร้อย ใต้ท้องด้านปล่อยโล่ง ระบบช่วงล่างของนิสสัน จู๊คนั้น ด้านหน้าแม็กเฟอร์สัน ด้านหลังทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วระบบช่วงล่างแบบนี้นับว่าเกาะถนนและรักษาหน้ายางให้สัมผัสกับถนนอย่างสม่ำเสมอ แต่สำหรับจู๊คต้องย้ำว่าเป็นรถที่มีความสูงจากพื้นพอควร และมีน้ำหนักตัวไม่มาก เมื่อขับความเร็วต่ำๆ นับว่ามีความเกาะถนนในระดับที่ดี แต่เมื่อใช้ความเร็วเกิน 110 กม./ชม. จะเริ่มมีอาการร่อนพอให้รู้สึกบ้าง โดยเฉพาะในขณะเข้าโค้งความเร็วสูงๆ หรือเปลี่ยนเลนเพื่อแซง จะมีอาการท้ายโยนเล็กน้อย แต่ก็ยังควบคุมได้ไม่ยากนักเนื่องจากจู๊คใส่ล้อโตขนาด 17 นิ้ว และยางหน้ากว้างถึง 215 มาให้ จึงพอที่จะชดเชยกันได้ และหากต้องการความซิ่งมากกว่านี้ก็สามารถเปลี่ยนโช้กซิ่งจากสำนักแต่งต่างๆ ที่มีในท้องตลาดมากมายได้ จะช่วยให้ขับสนุกยิ่งขึ้น
การประกอบชิ้นส่วนทั้งภายนอกและภายในจากโรงงานที่ประเทศอินโดนิเซียนับว่าผ่านเกินมาตรฐาน ซึ่งทางนิสสันญี่ปุ่นดูแลการผลิตได้ดี จุดเชื่อมต่อตามคอนโซลต่างๆ เรียบร้อย แน่นหนาเลือกใช้วัสดุที่ดี สวิตช์ควบคุมต่างๆ ทั้งเปิด-ปิดกระจก สวิตช์กระจกมองข้าง แผงควบคุมแอร์ รวมถึงวิทยุ ประกอบได้เรียบร้อยง่ายต่อการใช้งาน
ช่องเก็บของคอนโซลหน้าลึกมาก เก็บของได้เยอะ ระบบแอร์ของนิสสัน จู๊ค เป็นแบบอัตโนมัติ จอแสดงผลดิจิตอล ซึ่งใช้ร่วมกับจอแสดงผลในโหมดการขับขี่ โดยมีปุ่มกดเลือกฟังก์ชันใช้งานได้ที่ด้านบน คือ เมื่อต้องการปรับระบบแอร์ ให้กดที่ "CLIMATE" และถ้าต้องการโหมดขับขี่ กดที่ "D-MODE" ที่หน้าจอจะแสดงการทำงานตามที่เราเลือกเอาไว้
แอร์ของจู๊ค เย็นสบายและใช้เวลาเร็วมาก แม้จอดตากแดดเอาไว้นาน อย่างวันที่ทดสอบ ขณะจอดกลางแดดนานเกือบ 1 ชม. เพื่อบันทึกภาพ และเมื่อขับออกไปเปิดแอร์ไว้ไม่เกิน 5 นาที ก็เริ่มสัมผัสถึงความเย็นได้ทั่วทั้งรถ
นิสสัน จู๊ค ตากแดดร้อนขนาดนี้แอร์ยังเย็นอย่างรวดเร็ว นิสสัน จู๊ค กันเสียงจากภายนอกเข้ามาได้ดี เพราะขณะขับที่ความเร็วประมาณ 80 - 100 กม./ชม. สามารถบันทึกภาพวิดีโอโดยมีเสียงรบกวนไม่มากนัก และที่น่าประทับใจคือ เสียงของยางที่วิ่งผ่านรอยต่อถนนนั้น เบามากๆ ผิดกับที่คาดไว้ว่ายางแก้มเตี้ยขนาด 215/55 น่าจะมีเสียงดังมากกว่านี้
เครื่องเสียงของนิสสัน จู๊ค ใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ สามารถเชื่อมต่อความบันเทิงได้มากขึ้นทั้งวิทยุ/MP3/USB/iPod/Navi/Wi-Fi/Bluetooth/internet/ไฟล์ภาพนิ่ง และวิดีโอ-DLNA พร้อมระบบจอสัมผ้ส สั่งการด้วยเสียง และมีเกมในตัวให้เล่นแก้เบื่อตอนรถติด เพียงแค่ถอดหน้าปัดออกมาก็ใช้งานได้สะดวก (ต้องเสียบแบตเตอรี่สำรอง)
นิสสัน จู๊ค รูปทรงบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนผู้ขับที่มีรสนิยมไม่เหมือนใคร แฝงความทันสมัย และมีสไตล์ ด้านหน้ารถที่ออกแบบดูสะดุดตา ส่วนท้ายคล้าย 370Z ด้านข้างเป็นทรงครอสโอเวอร์ ทั้งสปอร์ตและลุยในคันเดียว
ภายในคอนโซลใช้โทนสีดำมาตรวัดทรงกลม พวงมาลัย 3 ก้าน เส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกระชับควบคุมง่าย คล่องมือ เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ต นั่งสบาย แผงคอนโซลกลาง และแผงประตูด้านในสลับสีแดง เหมือนนั่งอยู่ในสปอร์ตคาร์
นิสสัน จู๊ค ให้อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น ถุงลมคู่หน้า กุญแจ Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย กล้องมองหลังขณะถอยหลัง ระบบเบรก ABS/ระบบกระจายแรงเบรก EBD/ ระบบเสริมแรงเบรก BA และโครงสร้าง Zone Body Concept แข็งแรงลดแรงกระแทก
กล้องมองหลังแสดงภาพทันทีที่เกียร์เข้าตำแหน่ง "R" ระบบความปลอดภัยมาตรฐานของจู๊ค ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา
นิสสัน จู๊ค เป็นรถสำหรับผู้ต้องการความแตกต่าง ใช้งานได้หลากหลาย เป็นครอสโอเวอร์ขนาดเล็กที่คล่องตัว แรงได้ตามใจสั่งกับโหมดขับแบบ Sport หรือจะขับแบบประหยัดในโหมด ECO ก็สุดคุ้มค่า ทำให้ขับสนุก เลือกได้ตามใจผู้ขับขี่ นอกจากนี้ยังมีรูปทรงสวยงาม มาในแนวสปอร์ตคล้ายรถ 3 ประตู แต่จริงๆ แล้วเป็นแฮตช์แบ็ก 5 ประตู ที่สามารถปรับเบาะ ขนสัมภาระเพื่อเตรียมพร้อมออกไปลุยได้ ซึ่งทั้งหมดนี้มีหมดในรถคันเดียว กับราคาสุดคุ้มค่า เพียง 858,000 บาท พร้อมบริการหลังการขายของนิสสันที่เชื่อใจได้ ด้วยการรับประกันคุณภาพรถ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) อีกด้วย