LEXUS LS460L 386 แรงม้า ยาว 5 เมตร หนัก 2 ตัน 0-100 ใน 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม.ราคา 11.7 ล้านบาท บทความทดสอบยนตรกรรมหรูระดับสูง Lexus LS460L อภิมหายานยนต์คนรวย...
ปี 1989 เป็นช่วงเวลาที่ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นอย่าง Toyota ต้องการส่งรถยนต์ที่จะเข้ามาสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการยนตรกรรมออกสู่ตลาดโลก แนวความคิดที่ต้องการเอาชนะในการสร้างสิ่งที่ดีที่สุด รถรุ่นดังกล่าวจะต้องเป็นรถยนต์ในระดับเดียวกันกับ Mercedes Benz S-Class และ BMW Series-7 จักรกลซาลูนเรือธงของสองค่ายยักษ์จากเยอรมนี ความทะเยอทะยานของผู้บริหาร Toyota ได้ก่อกำเนิดแบรนด์รถยนต์ที่เน้นคุณภาพในระดับสูงนาม Lexus ประเทศญี่ปุ่นในช่วงปลายยุค 1980 ยังคงตามหลังยุโรปในด้านเทคโนโลยีของการผลิตรถยนต์ แต่ยนตรกรรมยี่ห้อ Lexus ได้เข้ามาลบช่องว่างนี้ โดยโมเดล LS นับเป็นรุ่นที่แสดงให้เห็นถึงจุดด้อยของรถยุโรประดับสูงในยุคนั้น ไม่เพียงแต่เรือนร่างรูปลักษณ์ที่สง่างาม คุณภาพของงานประกอบห้องโดยสารที่ดีกว่า สมรรถนะของระบบรองรับ เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังไม่เป็นรองทั้งสองแบรนด์ดังจากเยอรมนี รุ่น LS ในยุคแรกๆ นั้น ยังติดตั้งเครื่องเสียงชั้นเลิศของ Nakamichi เหนือกว่าเครื่องเสียงติดรถ Benz และ BMW แบบเทียบกันไม่ติด
ผ่านมา 24 ปี รถโมเดล LS ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงของ Lexus มีวิวัฒนาการที่ก้าวไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งยนตรกรรม รถ Lexus LS รุ่นล่าสุด (ไมเนอร์เชนจ์) ถูก Lexus Group ซึ่งดูแลโดยกลุ่มบริษัท Toyota Motor Thailand ได้ทำการเปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมของปี 2555 รถรุ่นใหม่ในโมเดล LS ของ Lexus มีการปรับปรุงรายละเอียดมากถึง 3,000 จุด ไล่เรียงตั้งแต่ภายนอก เช่น กระจังหน้า ไฟหน้า สปอยเลอร์ด้านหน้าและด้านหลัง ไฟท้าย ท่อระบายไอเสีย ฯลฯ นับเป็นครั้งแรกของ Lexus LS 460L และ LS 600H ที่มีรุ่น F-Sport ให้ลูกค้าที่ชอบความเฉียบคมของเรือนร่างที่เน้นอารมณ์สปอร์ตเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการทำตลาด
กระจังหน้าแบบใหม่ที่มีชื่อ เรียกว่า Spindel ดีไซน์เฉพาะตัวเป็นเอกลักษณ์ของรถ Lexus รุ่นใหม่ที่ทยอยเปิดตัว (Lexus GS / Lexus RX) กระจังออกแบบในลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมู 2 อัน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มุ่งเข้าสู่ทศวรรษใหม่ของค่ายหัวลูกศรโดยใช้รูปทรง ด้านหน้าที่คล้ายๆ กันเกือบทุกรุ่น การไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ของโมเดล LS ในปี 2012 จะถูกเสริมทั้งความแข็งแกร่งของโครงสร้างและระบบส่งกำลังโดยยังคงเครื่องยนต์ตัวเดิมแบบ V8 เอาไว้ เริ่มแรกวิศวกรของ Lexus ทำการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวถังด้วยเทคโนโลยีล่าสุดที่จะเข้ามาช่วยลดอาการโคลงตัว การเชื่อมโลหะซึ่งใช้เป็นตัวถังในแบบเก่าถูกยกเลิก แล้วทำการเชื่อมด้วยเลเซอร์ทั้งหมดเพื่อความแข็งแรงและแม่นยำ สกูลที่เปิดช่องด้านบนของบานประตูถูกเสริมความแข็งแรงด้วยการเชื่อมจาก เครื่องเชื่อมเลเซอร์ รวมถึงการใช้กาวยึดติดกับโครงสร้างในบางจุด นอกไปจากนี้ระบบขับเคลื่อนของ LS ยังถูกปรับปรุงให้มีความทนทานเพิ่มมากขึ้นอีก 20%
ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ดิสชาร์จ ใช้หลอดไฟ LED จำนวน 3 หลอด รวมถึงแผงไฟหรี่แบบ LED Daytime Running ของ
Lexus LS 460L ซึ่งให้มีแสงสว่างที่คมชัดในเวลากลางวัน ส่วนไฟเลี้ยวใช้หลอด LED ขนาดเล็กมากถึง 12 หลอด นับเป็นการปฏิวัติระบบไฟส่องสว่างในรถยนต์ของค่ายหัวลูกศรที่เน้นในเรื่อง ความปลอดภัยในเวลากลางคืน นับเป็นครั้งแรกที่ Lexus ใส่นวัตกรรมระบบไฟสูงแบบใหม่ Adaptive High Beam System (AHS) เมื่อผู้ขับเปิดไฟสูงระบบกล้องจะจับไปที่รถคันที่แล่นสวนทางมา ระบบจะทำการวิเคราะห์แล้วทำการตัดไฟบางส่วนไม่ให้ไปรบกวนการมองของรถที่แล่นสวนทาง ส่วนกระจังด้านหน้าแบบใหม่ยังทำให้รถ LS ดูดุดันจริงจังมากขึ้น สมรรถนะของโมเดลในระดับ Top-Class จะขาดรูปลักษณ์ที่สื่อให้เห็นถึงความเข้มแข็งไม่ได้ ฝากระโปรงเน้นเส้นสายที่เรียบ มีการยกแนวขอบให้นูนขึ้นเล็กน้อยไล่จากขอบไฟหน้าขึ้นไปจนถึงแนวของเสาด้าน หน้าเพื่อมุมมองที่กลมกลืน
ด้านข้างของ LS 460L รุ่นปรับโฉมมีขนาดความยาว 5,150 มิลลิเมตร สัดส่วนของความสูงตัวรถอยู่ที่ 1,465 มิลลิเมตร ใกล้เคียงกับคู่แข่งจากเยอรมนีเมื่อเทียบกับ BMW Series-7 760 LI ซึ่งยาว 5,219 มิลลิเมตรและสูง 1,481 มิลลิเมตร มิติตัวถังที่ใหญ่โตถูกออกแบบให้รองรับการนั่งโดยสารของผู้บริหารระดับสูง ทั้งการโดยสารไปทำงานในชีวิตประจำวันและการเดินทางไกล ตัวถังของ LS 460L มีระยะฐานล้อหน้า 1,615 มิลลิเมตร กับ 1,621 มิลลิเมตรที่ฐานล้อหลัง ระดับของความสูงถูกปรับลดลง 10 มิลลิเมตร เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนปรับโฉม รวมถึงน้ำหนักตัว 1,940 กิโลกรัม หนักกว่า 740LI ถึง 20 กิโลกรัม แนวด้านข้างของตัวถังเรียบลื่นไร้เส้นตะเข็บรอยต่อ มีเพียงชิ้นงานกันกระแทกติดอยู่ตรงบริเวณชายล่างของบานประตูทั้งสี่ ส่วนด้านหลังมีไฟท้ายขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยม ภายในวางหลอดไฟ LED ทั้งไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟถอย รวมถึงไฟเบรกดวงที่สาม กันชนด้านหลังปรับรูปทรงให้มีความใหญ่โตมากขึ้น สอดรับกับไฟท้ายขนาดใหญ่ ท่อระบายไอเสียผลิตจากโลหะสีเงิน วางตัวอยู่ตรงมุมของชายล่างสปอยเลอร์หลัง
จุดเด่นของ LS 460L คือห้องโดยสารที่เป็นจุดศูนย์กลางของการใช้งานบนอุปกรณ์ที่ออกแบบและจัดวาง รวมถึงการคัดสรรวัสดุชั้นเลิศมาประดับประดาสร้างบรรยากาศของความหรูหราในระดับสูงสุด จากการพัฒนาวัสดุดูดซับเสียงแบบใหม่ทำให้ LS 460L มีห้องโดยสารที่เงียบมากที่สุดใน Class ทั่วทั้งคันถูกบุด้วยวัสดุซับเสียงทั้งจากเครื่องยนต์ พื้นถนน (เสียงการบดวิ่งไปบนถนนของยาง) รวมถึงเสียงจากกระแสลมที่เข้ามาปะทะกับตัวถัง อุปกรณ์ดูดซับเสียงที่ติดตั้งอยู่บริเวณตอนหน้าของห้องโดยสารช่วยป้องกัน เสียงแปลกปลอมที่อาจเล็ดลอดเข้ามาได้ดี ระบบ Lexus Climate Concierge คือชุดควบคุมอุณหภูมิแบบอัจฉริยะ Multi Zone ซึ่งวางเซ็นเซอร์ตรวจจับไว้ถึง 13 ตัว เพื่อทำการวัดสภาพอากาศภายในห้องโดยสาร หลังจากนั้นเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับจะกระจายความเย็นอย่างสม่ำเสมอตามความต้องการของผู้โดยสารแต่ละคน เบาะนั่งทุกตัวยังมีพัดลมระบายอากาศกับท่อที่เชื่อมต่อกับระบบปรับอากาศส่ง ถ่ายความเย็นมายังตัวเบาะ เหมาะกับสภาพอากาศแบบเมืองร้อนของประเทศไทยหากต้องจอดรถตากแดดเป็นเวลานานๆ
การตกแต่งภายในของ LS 460L เริ่มจากการเปลี่ยนดีไซน์ของแผงคอนโซล รูปทรงของเบาะโดยสารตอนหน้า การใช้ลายไม้เช่นไม้ไผ่นำมาประดับประดาแผงประตูกับกรุรอบๆ คอนโซลเพื่อความสง่างาม ไม้ไผ่ที่นำมาใช้ต้องผ่านขั้นตอนของการคัดเลือก ขึ้นรูป ขัดเงา โดยใช้เวลาในการตกแต่งและอบเนื้อไม้นานถึง 38 วัน เพื่อทำให้ห้องโดยสารสร้างสรรค์อารมณ์กับมุมมองอย่างที่ควรจะเป็น เบาะผู้โดยสารตอนหลังถูกพัฒนาให้นั่งได้อย่างสบายมากยิ่งขึ้น การปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์และนำเอาระบบ Active Vibration Control มาช่วยลดอาการสะเทือน ห้องโดยสารของ LS 460L ยังเชื่อมต่อการทำงานด้วยระบบ Advanced Illumination System (AIS) จาก Welcome Light แบบ LED สี Champagne บริเวณคอนโซลหน้า ที่จะเรืองแสงต้อนรับเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจพบการเข้าใกล้ตัวรถจากลูกกุญแจรีโมต แผงหน้าปัดทั้งหมดของ Lexus LS 460L ถูกแบ่งเป็นโซลแสดงผล Display Zone ประกอบด้วยจอ LCD ขนาดใหญ่ที่สุดของวงการในระดับ 12.3 นิ้ว แบบ Panorama โซลควบคุมหรือ Operation Zone เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ผ่าน Remote Touch Interface RT เจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งออกแบบให้มีการใช้งานได้ง่ายเพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัส นอกจากนั้น แผงหน้าปัดวัดรอบและความเร็วของตัวรถยังใช้จอแสดงผล TFT (คล้ายกับรุ่น LFA) ขนาด 5.8 นิ้ว ซึ่งเป็นจอประมวลผลที่มีขนาดโตที่สุดของวงการรถหรูรวมถึงมีขนาดใหญ่มากที่สุดในกลุ่มรถยนต์ของ Lexus ทุกรุ่น ช่วยให้การอ่านค่าต่างๆ ทำได้อย่างสะดวก
จุดเด่นของห้องโดยสารคือระบบให้ความบังเทิงด้วยชุดเครื่องเสียงระดับสุดยอดของ Mark Levinson และระบบ Rear Seat Entertainment System จัดวางลำโพงครอบคลุมทุกมิติของเสียงเพลง พิเศษด้วยชุด Blu-ray player ที่ให้ความคมชัดทั้งภาพและเสียงผ่านโปรแกรม Surround sound และจอที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มลีมูซีน เมนูภาษาไทยในการเข้าโหมดการปรับตั้งของระบบจอภาพมัลติฟังก์ชั่นทำให้การใช้งานมีความสะดวก การควบคุมคำสั่งทั้งหมดผ่านเม้าส์ทำให้การเข้า-ออกเมนูต่างๆ ค่อนข้างง่ายดายมาก
ระบบพวงมาลัยของ LS 460L ให้ความรู้สึกมั่นคงช่วงล่างแบบ Air Suspension แบบ Mulit link ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบของบู๊ชและเพิ่มความทนทานขึ้นอีก 6% ใช้สปริงแบบใหม่มาใช้ช่วยให้ความรู้สึกในการควบคุมดีขึ้น เพื่อช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของตัวรถจากช่วงล่างและลดอาการโคลง ระบบกันสะเทือนแบบอิสระของ LS 460L ใช้ถุงลมมาช่วยดูดซับแรงสั่นสะเทือน เป็นถุงลมชุดใหม่ที่ใช้แรงดันอากาศเพิ่มขึ้นอีก 20% พร้อมด้วยซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมระบบกันสะเทือน AVS- Adaptive Variable Suspension System ทำหน้าที่เพิ่มหรือลดความหนาแน่นของลมภายในถุงลม รวมถึงคอยควบคุมอาการ Bump และ Rebound ของกระบอกโช้กให้มีความสัมพันธ์กับสภาพถนนและการขับขี่ เมื่อความหนาแน่นของลมในระบบถุงลมกันสะเทือนสูง ช่วงล่างจะแข็งและให้ความรู้สึกถึงการยึดเกาะในระดับสูง ในทางตรงข้าม หากผิวถนนมีสภาพขรุขระ ระบบจะปรับลดลมภายในถุงลมกันสะเทือนและส่งมอบความรู้สึกที่นิ่มนวล เหมาะกับย่านความเร็วต่ำถึงปานกลาง การปรับเปลี่ยนความหนาแน่นของถุงลมรุ่นใหม่เป็นไปในลักษณะแปรผัน และสามารถตอบสนองต่อการขับขี่จากการทำงานที่รวดเร็วของระบบ AVS ด้วยเวลาเพียง 1/1,000 วินาทีเท่านั้น พร้อมปรับรูปแบบของการตอบสนองให้ช่วงล่างมีความสัมพันธ์ไปกับความเร็วแบบอัตโนมัติ รวมถึงการรักษาระดับความสูงของตัวรถ ส่วนความสามารถอีกอย่างหนึ่งของระบบ AVS คือ คุณสมบัติในการปรับสภาพการทำงานของช่วงล่างหรือ Anti Dive Control ระบบจะปรับช่วงล่างด้านหน้ารองรับการเบรกอย่างรุนแรงเพื่อป้องกันอาการหน้าทิ่ม และปรับระดับความแข็งของช่วงล่างด้านหลังเพื่อต่อต้านอาการท้ายยุบขณะผู้ขับขี่ออกตัวแบบเต็มกำลัง คุณสมบัติ Roll Control ปรับสภาพการทำงานของช่วงล่างเพื่อรักษาเสถียรภาพของการทรงตัว
ระบบ Active Stabilizer System ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งไว้ที่กึ่งกลางของเหล็กกันโคลงแบบเดียวกับ Dynamic Drive ของ BMW หรือระบบ PDCC ของ Porsche ระบบของ
Lexus LS 460L นี้ใช้กำลังจากตัวมอเตอร์ที่ทำงานจากคำสั่งของ ECU โดยระดับของแรงที่ใช้บิดจะส่งผลต่อคุณสมบัติในความเป็นสปริงของเหล็กกันโคลง ระบบนี้ถูกออกแบบเพื่อลดอาการโคลงตัวขณะเปลี่ยนทิศทางแบบกะทันหัน หรือผู้ขับขี่ขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงจนเกิดแรง G อีกระบบที่ติดตั้งใน LS 460L คือ VGRS - Variable Gear Ratio Steering ทำหน้าที่แปรผันน้ำหนักของพวงมาลัยตั้งแต่ช่วงจอดนิ่งอยู่กับที่ไปจนถึงย่านความเร็วสูงสุด ใช้ระบบผ่อนแรงพวงมาลัยด้วยไฟฟ้าเต็มระบบ เป็นการนำเอามอเตอร์ไฟฟ้ามาติดตั้งไว้ยังแรคพวงมาลัย โดยระดับของการแปรผันน้ำหนักขึ้นตรงกับความเร็วของรถ มอเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกยึดติดกับชุดเฟืองสะพาน Rack and Pinion ภายในมีกลไกเป็นชุดเฟืองทำหน้าที่เปลี่ยนอัตราทดน้ำหนักของพวงมาลัย แปรผันได้ระหว่าง 11.7:1-18.4:1 ส่วนระยะการหมุนจากซ้ายสุดมาขวาสุดอยู่ที่ 2.3 -3.7 รอบ เมื่อความเร็วต่ำ มอเตอร์จะทำงานมากขึ้นโดยใช้รอบของการหมุนเท่ากับพวงมาลัยแบบปกติที่คุ้นเคย กรณีที่วิ่งด้วยความเร็วสูง มอเตอร์จะลดกำลังลงทำให้ผู้ขับสัมผัสกับน้ำหนักที่แท้จริงของพวงมาลัย ในขณะเดียวกัน VGRS จะทำการปรับอัตราทดของพวงมาลัยให้ไวขึ้น เพื่อให้การควบคุมทำได้อย่างว่องไวและแม่นยำ
LS 460L เครื่องยนต์จ่ายน้ำมัน 2 ระบบอัจฉริยะ
LS 460L เครื่องยนต์เบนซินแบบ V8 ปริมาตรความจุ 4,608 ซีซี รหัส 1UR-FSE ให้กำลัง 386 แรงม้า แรงบิด 498 นิวตัน-เมตร (50.8 กิโลกรัม-เมตร ) ระบบจ่ายเชื้อเพลิง 2 แบบ Direct Injection และ Indirect Injection (Port Injection) ในเครื่องยนต์ตัวเดียวกัน ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ เพื่อไม่ให้น้อยหน้าค่ายรถยุโรป ระบบจ่ายเชื้อเพลิงใช้หัวฉีด 2 หัวต่อ 1 สูบ จัดวางแบบสองตำแหน่ง ทำงานร่วมกันในการคอนโทรลส่วนผสมของไอดีและระยะเวลาของการเผาไหม้ให้มีความสมดุลตามความต้องการของเครื่องยนต์ เพื่อการเผาไหม้ที่สะอาด ระบบนี้มีชื่อเรียกว่า D-4S Fuel Injection ปลายหัวฉีดทั้งสองระบบรวม 16 ตัว มีรูเล็กๆ มากถึง 12 รู สำหรับการฉีดฝอยละอองน้ำมันชื้อเพลิงครอบคลุม 360 องศาแบบรอบทิศทาง วิศวกรของ Lexus ใช้แรงดันภายในระบบหัวฉีดสูงถึง 4 Bar โดยระบบ D-4S จะมีรูปแบบการทำงานดังนี้
ขณะที่เครื่องยนต์เย็น ระบบ D-4S จะใช้ Port Injection ในจังหวะดูดและเสริมด้วย Direct Injection ในจังหวะของการอัด สมองกลไฟฟ้าจะควบคุมอัตราส่วนผสมไอดี - Air/fuel ratio mixture ไว้ที่ตัวเลข 14-15:1 ใช้ส่วนผสมที่หนากว่าค่าทางกลศาสตร์เพียงเล็กน้อย อัตราส่วนผสมของไอดีที่ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์แบบจะอยู่ที่ 14.7:1 เพื่อทำให้เครื่องยนต์สตาร์ตติดง่ายขึ้นและผ่านพ้นช่วงเวลา Warm-up เร็วขึ้น
ในรอบเดินเบานั้นเครื่องยนต์จะทำงานด้วย ระบบ Direct Injection เพียงระบบเดียว แต่ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงทั้งสองระบบจะทำงานร่วมกันอีกครั้งเมื่อ เครื่องยนต์ทำงานภายใต้โหลดต่ำหรือปานกลาง D-4S จะปล่อยให้ระบบ Direct Injection ทำงานเพียงลำพังในรอบเครื่องยนต์สูงๆ การผสมผสานการทำงานของระบบทั้งสองจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการเผาไหม้ที่มีความสมดุลกับทุกสภาพการใช้งานและปล่อยมลพิษต่ำในระดับ EURO-5 ส่วนความแม่นยำในการลำเลียงมวลอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ทั้ง 8 กระบอกสูบ เริ่มต้นที่ระบบ ACIS - Acoustic Control Induction System ทำการปรับเปลี่ยนความยาวของท่อร่วมไอดีเพื่อทำให้ความเร็วในการไหลของอากาศ สอดคล้องกับรอบของเครื่องยนต์ ระบบวาว์ลแปรผัน Dual VVT-i เป็นการนำเอากลไกของวาว์ลแบบแปรผันต่อเนื่องทั้งวาว์ลไอดีและวาว์ลไอเสีย เพื่อคงสมรรถนะของเครื่องยนต์ในการทำงานทุกๆ ความเร็วรอบ ระบบวาล์ว Dual VVT-i Variable Valve Timing Intelligent Electric เป็นการนำเอามอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กมาควบคุมระดับของการแปรผัน ซึ่งระบบไฟฟ้าที่นำมาใช้มีการทำงานที่แม่นยำกว่าระบบ VVT-i แบบเดิมที่ใช้แรงดันน้ำมันเครื่องมาควบคุม เทคโนโลยีนี้ทำให้เครื่องยนต์ของ LS 460L ทำงานได้อย่างราบเรียบและเงียบ ให้ประสิทธิภาพในการทำงานไม่เป็นรองเครื่องยนต์ V8 ของเยอรมนี
เครื่องยนต์ 1UR-FSE ผลิตด้วยวัสดุน้ำหนักเบา เสื้อสูบ ก้านสูบและแบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงหล่อจากอัลลอย ฝาสูบทำจากแมกนีเซียมอัลลอย ท่อร่วมไอดีหล่อจากเส้นใยของวัสดุประเภทเรซิน เพลาข้อเหวี่ยงใช้แกนกลางแบบกลวง นอกจากช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยให้การหล่อลื่นและระบายความร้อนทำได้อย่างทั่วถึง พื้นผิวภายในท่อร่วมไอดี ถูกออกแบบให้ช่วยลดแรงเสียดทาน เพิ่มความคล่องแคล่วในการระบายไอเสีย จุดยึดแท่นเครื่องและแท่นเกียร์ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนขณะขับขี่
ระบบความปลอดภัย
LS 460L สามารถเบรกหยุดรถได้ด้วยตัวเองด้วยระบบ Advanced Pre-Collision System (ACPS) เซ็นเซอร์ด้านหน้าด้านจะยิงสัญญาณอินฟราเรดตรวจสอบวัตถุขีดขวาง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ใช้งาน ระบบนี้จะมีการตรวจสอบคนเดินเท้าโดยสามารถระบุอุปสรรคที่กีดขวาง เช่น คนเดินเท้าหรือรถคันอื่น ๆ ระบบนี้รองรับความเร็วในการทำงานถึง 24 ไมล์/ชม. (38.6 กม./ชม.) ระบบ ACPS จะช่วยให้ครอบคลุมจุดบอดมุมมองของผู้ขับขี่ โดยใช้สัญญาณเสียงทำการแจ้งเตือนถึงสิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น คนกำลังข้ามถนน หรือรถจักรยานยนต์ที่วิ่งเข้ามาใกล้ๆ ซึ่งอาจเข้ามาในบางมุมที่เป็นจุดที่มอง เห็นได้ยาก ระบบเรดาร์ใน LS 460L ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถตรวจจับยานพาหนะรอบข้างที่เข้ามาใกล้ตัวรถแล้วส่ง สัญญาณเตือนให้รับรู้ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการเฉี่ยวชนขณะขับขี่ ระบบเบรกพร้อมตัวช่วยที่พัฒนามาอีกขั้นสำหรับรองรับการเบรกในทุกระดับ ความเร็ว ถุงลมนิรภัย 10 ตำแหน่ง โครงสร้างนิรภัยที่ออกแบบจุดยึดใหม่หมดและใช้วัสดุดูดซับแรงกระแทกหากเกิดการชนปะทะ
ปัจจุบันมีจำหน่าย 2 รุ่น คือ ตัวถังมาตรฐานและแบบยาวพิเศษ
Lexus LS 460 ราคา 9,850,000 บาท
Lexus LS 460L ราคา 11,780,000 บาท * คันทดสอบ
ทดสอบวิ่งจริง คฤหาสน์หรูเคลื่อนที่...
Lexus เป็นค่ายรถยนต์ที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อความเหนือกว่าในทุกระดับ โมเดลเรือธง LS นั้น เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนับร้อยรายการ เครื่องยนต์ที่ทรงพลังและระบบขับเคลื่อนที่นิ่มนวลสุดๆ LS 460L มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่จะทำให้การเคลื่อนที่เดินทางของมนุษย์มีความสะดวก สบายสูงสุด ภายใต้ประสิทธิภาพของตัวรถคือรายละเอียดนับพันจุดที่ถูกปรับเปลี่ยนในการก้าวข้ามทศวรรษบนเรือนร่างของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ประจำปี 2013 มันคือที่สุดของยนตรกรรมสายพันธุ์ผู้บริหารจากญี่ปุ่น ที่ผ่านการพิสูจน์ตัวตนมาอย่างโชกโชน ระยะเวลา 5 วันของการขับขี่ทดสอบของผมกับเจ้า LS 460L กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เรือนร่างที่ยาวเหยียดถึง 5,150 มิลลิเมตร ทำให้ห้องโดยสารของ LS 460L มีพื้นที่ในการวางเท้าเหลือเฟือ ภายในใช้โทนสีดำเพื่อเน้นบรรยากาศแบบเขร่งขรึมเอาจริงเอาจัง ลายไม้สีเข้มของขอบวงพวงมาลัยกับงานไม้ที่ใช้กรุคาดกลางคอนโซลต้องใช้เวลาทำถึง 35 วัน วัสดุที่นำมาใช้มีทั้งอัลลอยสีแชมเปญ ลายไม้สีเข้ม หนังและพลาสติกเกรดสูง มันเป็นรถที่มียางขอบประตูเยอะมากที่สุดเท่าที่ผมเคยทดสอบมา นั่นหมายถึงการกักเก็บป้องกันเสียงแปลกปลอมจากภายนอกในระดับที่น่าประทับใจ จอแสดงผลที่สั่งงานด้วยเมนูภาษาไทยขนาด 12.8 นิ้ว ใหญ่ที่สุดในกลุ่มรถหรูแบบลีมูซีนให้ความคมชัดที่ดีเยี่ยม เบาะคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยความจำ 4 ระดับ ภายในเบาะยังฝังพัดลมระบายอากาศที่มีท่อเชื่อมต่อกับระบบปรับอากาศ เมื่อจอดรถตากแดดระบบนี้จะช่วยระบายความร้อนไม่ให้ก้นสุกวันที่มีอากาศร้อนจัด ส่วนเบาะด้านหลังขนาดใหญ่เป็นตำแหน่งที่น่านั่งมากที่สุดบนรถคันนี้ ทั้งระบบนวดและระบบให้ความบันเทิงเริงรมย์ที่สามารถควบคุมด้วยตัวเอง สิ่งที่ดูขัดตาอยู่บ้างคือ จอกลางที่มีรูปร่างเหลี่ยมๆ ทื่อๆ แทนที่จะฝังอยู่หลังเบาะผู้โดยสารตอนหน้าแบบ BMW Series-7
เครื่ิองยนต์สตาร์ตด้วยปุ่มและทำงานอย่างเงียบเชียบ ผมปรับปุ่มโหมดการขับไปที่ Comfort Eco Mode เพื่อลองขับใช้งานบนถนนหนทางในกรุงเทพฯ ท่ามกลางสภาพการจราจรที่หนาแน่นสุดๆ ในช่วงวันศุกร์ตอนหัวค่ำ เรือนร่างที่ยาวมากกว่าปกติทำให้ผมต้องระมัดระวังในการเปลี่ยนเส้นทาง ความยาวของตัวรถและขนาดที่ใหญ่รวมถึงราคาค่าตัว ทำให้การทดสอบบนเส้นทางสุขุมวิทที่จะมุ่งหน้าไปยังโรงแรมอินเตอร์คอนติเนลตันมีความลำบากเล็กๆ จากการที่ต้องระวังมากขึ้นกว่าปกติจากมิติของตัวถังที่เกินหน้าเกินตารถยนต์ทั่วๆ ไป โปรแกรมการขับขี่แบบ Comfort Mode ของ LS 460L ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายจากสัมผัสของคันเร่งไฟฟ้าและระบบส่งกำลังที่ออกแนวนิ่มนวลสูงสุด มันเหมือนกับล่องลอยอยู่บนพรมวิเศษจากการทำหน้าที่ของถุงลมในระบบ Air Suspension เมื่อถนนเรียบมันจะใช้แรงอัดของลมในระบบที่มีความเหมาะสมกับสภาพเส้นทางและปรับการทำงานไปตลอดระยะเวลาของการใช้รถ เมื่อพบกับเส้นทางที่ขรุขระ เซ็นเซอร์จะระบายลมในระบบออกไปอีกจนได้ค่าที่มีความพอดีกับสภาพผิวถนนในห้วงเวลาที่มันแล่นผ่าน แม้จะเคยทดสอบ BMW Series-7 740Li กับ Mercedes Benz S-Class S500 แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับแปลกและแตกต่างไปจากคู่แข่งจากเยอรมนีทั้งสองคันอย่างสิ้นเชิง
สภาพรถติดอย่างสาหัสไม่ได้สร้างปัญหาให้กับ LS 460L ห้องโดยสารที่เงียบราวกับอยู่ในสถานที่ปฏิบัติธรรม มอบสัมผัสที่ตัดแยกออกจากโลกภายนอกไปโดยปริยาย มันเงียบจนคุณสงสัยว่าเครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่หรือไม่หากไม่สังเกตวงวัดรอบที่หน้าปัดมาตรวัด เมื่อถอนเท้าออกจากแป้นเบรก รถจะค่อยๆ ไหลออกไปอย่างนิ่มนวลโดยที่ผมไม่ได้กดคันเร่ง แต่หากเมื่อใดที่ผมขับไปติดสัญญาณไฟจราจรอยู่คันหน้าสุดแล้วทางข้างหน้านั้นโล่งไร้รถราและผู้คน การออกตัวด้วยความรวดเร็วบน LS 460L คือ ความบังเทิงที่ต้องลืมเรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่กลายเป็นของควบคู่กัน สำหรับรถเครื่องโตคันใหญ่ยักษ์ เมื่อลงคันเร่งลึก มันจะพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วปานจรวดจากแรงบิดรอบต่ำอันมหาศาล มันออกตัวได้ดีกว่า GT86 ทั้งๆ ที่หนักกว่าถึง 800 กิโลกรัม จากพลังของเครื่องยนต์ V8 เพลากลางที่ส่งแรงบิดจากชุดเกียร์ 8 สปีดไปยังเฟืองท้าย ถูกพัฒนาให้ลดการสั่นสะเทือนจากการหมุนในทุกรอบเครื่องยนต์ รวมถึงจุดยึดของแท่นเครื่องและแท่นเกียร์ที่ใหญ่โตราวกับรถถัง ช่วยทำให้มันนิ่งสนิทแม้รอบเครื่องยนต์จะกวาดไปถึง 7,000 รอบ/นาที การทำแบบนั้นเป็นอันตรายต่อเงินในกระเป๋าที่จะต้องควักเพิ่มสำหรับค่าเชื้อเพลิงเพื่อแลกกับสมรรถนะอันสุดยอดของการขับขี่ ตัวเลขเฉลี่ย 4.7 กิโลเมตร/ลิตร สำหรับการขับขี่ในเมืองทำให้ขนบนหัวของผมถึงกับตั้งชันเมื่อมองเห็นตัวเลขในบิลค่าน้ำมัน มันคือรถที่กินจุแบบไม่ยั้งหากคุณเป็นคนชอบขับรถเร็วก็จงเตรียมเงินเอาไว้เยอะๆ สำหรับการเดินทาง แต่คนที่ซื้อรถระดับนี้เรื่องราคาค่าเชื้อเพลิงคงไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน
ผมขับทดสอบทางไกลแบบขับยาวๆ ใช้เส้นทางรังสิต-องค์รักษ์ มุ่งหน้าไปยัง จ.นครนายก เจ้า LS 460L ราคาเกือบๆ 12 ล้านดูขัดแย้งกับเส้นทางเลี่ยงเมืองที่มุ่งหน้าไปยังน้ำตกสาริกาและวังตะไคร้ ถนนเลี่ยงเมืองยาวสิบกว่ากิโลเมตรมีความเรียบโล่งไร้รถราขวักไขว่แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมขับขึ้นไปบนถนนเล็กๆ ที่วกวนของเขื่อนขุนด่านปราการชล จอดถ่ายภาพแล้วขับไปยังด่านเนินหอมในเขต จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่วนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทางเขตจังหวัดปราจีนบุรี เส้นทางจากเขื่อนขุนด่านฯ ไปยังทางเข้าวนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ยาวประมาณ 24 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางสองเลนสวนกันที่ค่อนข้างสงบเงียบไม่จอแจเหมือนทางหลัก ระบบนำทางด้วยเมนูภาษาไทยของ Lexus LS 460L แจ้งเพียงแค่ทิศทางที่รถมุ่งหน้าไปโดยบอกแต่เพียงว่ารถกำลังวิ่งอยู่บนทางสุขาภิบาล มันให้รายละเอียดของแผนที่ค่อนข้างครอบคลุม รวมถึงความง่ายของการใช้งานจากเมนูภาษาไทยที่อ่านหรือปรับตั้งได้รวดเร็ว ถนนสุขาภิบาลจากตัวเขื่อนไปยังด่านเนินหอมนอกจากจะแคบแล้วยังลัดเลาะตัดผ่าเข้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เรียงรายสองข้างทาง จนทำให้ LS 460L ดูขัดแย้งกับภูมิประเทศในแถบนี้อย่างสิ้นเชิง ชาวบ้านร้านตลาดต่างพากันจ้องมองรถคันยาวที่วิ่งฝ่าฝุ่นจากทางลูกรังในบางช่วงจนตัวรถโดนฝุ่นเกาะแดงเถือกไปหมด
น้ำหนักที่เบาสบายของพวงมาลัยและระบบบังคับเลี้ยวที่ใช้มอเตอร์แปรผันน้ำหนักไปตามความเร็ว ทำให้การควบคุมตัวรถที่ทั้งใหญ่และยาวมีความสะดวกคล้ายกำลังขับรถเล็กๆ ยังไงยังงั้น โค้งสลับกับทางยาวๆ ทำให้เจ้า LS 460L ต้องใช้ความพลิ้วของระบบรองรับเข้ามาช่วยเสริมการควบคุมที่มอบความรู้สึกมั่นคงและนิ่ง คันเร่งตอบสนองได้ดีเพียงแค่แตะเบาๆ มันก็พุ่งทะยานไปตามกำลังรอบของ เครื่องยนต์ที่เน้นในเรื่องแรงบิดรอบต่ำได้อย่างเฉียบคม ช่วง 200 กิโลเมตรแรกจึงค่อนข้างน่าเบื่ออยู่บ้าง ตัวรถเงียบสนิทหากคุณไม่เปิดเครื่องเสียง การบังคับควบคุมตัวรถไม่ใช่ปัญหาแม้จะมีน้ำหนักมากถึงเกือบ 2 ตัน พวงมาลัยสื่อสารกับสภาพผิวทางในแบบสังเคราะห์และขาดสัมผัสที่ดีแบบสปอร์ตไปบ้างเนื่องจากเป็นรถยนต์ของพวกผู้ดีมีตระกูล เบรกอยู่ในระดับที่ดี ช่วงแรกมันจะให้ความรู้สึกหนืดๆ อยู่บ้างเมื่อต้องเบรกที่ย่านความเร็วต่ำแบบขับในเมือง แต่พอเพิ่มน้ำหนักก็ตอบสนองได้ดีและให้ความมั่นใจสูงแม้จะอัดเข้าสู่หัวโค้งแล้วเบรกลึกๆ ก่อนจะส่งตัวรถทะยานออกไปสู่ปลายโค้ง ระบบส่งกำลังซึ่งใช้เกียร์ 8 อัตราทดลื่นไหลไร้รอยต่อใดๆ มันลื่นจนดูคล้ายกับรถไฟฟ้าจากอัตราทดที่ขึ้น-ลงไปตามย่านความเร็ว รถทดสอบ LS 460L คันนี้ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และวิ่งมาน้อยมากๆ ถุงลมในระบบ Air Suspension ทำงานได้อย่างไร้ที่ติแม้จะต้องผจญกับทางแย่ๆ ในบางช่วง การขับรถคันโตคนเดียวท่ามกลางสภาพเส้นทางที่เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพรแบบนี้ บ่อยๆ ครั้งทำให้รู้สึกเหงาได้เหมือนกัน
หลังจากที่ขับต่อไปเรื่อยๆ ผมเริ่มหลงรักมันขึ้นมาทีละนิด 2 วันสำหรับการทดสอบทั้งในเมืองและการขับขี่ทางไกลทำให้ผมพบว่าเจ้า LS 460L เป็นรถที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นั่งได้อย่างสบาย วิ่งด้วยความเร็วสูงได้อย่างมั่นคง บนความสมดุลของตัวรถที่สื่อสารกับผู้ขับขี่ได้อย่างหมดจด มันจะส่งถ่ายความรู้สึกทั้งหมดไปยังผู้ขับให้รับรู้ถึงการยึดเกาะ ความนิ่มนวล ความสนุกในบางจังหวะจะโคนและความหรูหรามีระดับได้เป็นอย่างดี เบรกที่เมื่อขับช้าๆ จะให้ความรู้สึกหนืดๆ แต่เมื่อควบมันเร็วขึ้น เบรกจะตอบสนองในแบบที่มันควรจะเป็น มันช่วยชะลอหรือหยุดน้ำหนักขนาดช้างตัวย่อมๆ ได้อย่างมั่นใจ พวงมาลัยมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นในโหมด Sport และยิ่งดีขึ้นไปอีกในโหมด Sport Plus ซึ่งเป็นโหมดสูงสุด ทันทีที่ผมเริ่มใช้ความเร็วและใช้แรงเหวี่ยงในการเข้าโค้งมากกว่าเดิม น้ำหนักของพวงมาลัยที่ถูกควบคุมด้วยเซ็นเซอร์ของระบบ EPS หน่วงมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ มันคมและให้ประสิทธิภาพที่ดีในการหักเลี้ยวไปตามเส้นทางขึ้นเขาใหญ่ที่คดเคี้ยวราวกับงูยักษ์ เกียร์ที่เคยเนือยๆ ในโหมดประหยัดกลับมาขยันขันแข็งอีกครั้งในการปรับอัตราทดให้เข้ากับความเร็วและสภาพของทางแบบขึ้น-ลงเนินเขา ช่วงล่างในโหมดสูงสุดมีการให้ตัวน้อยลงแต่ยังคงระดับของความนุ่มสบายเอาไว้ เหมือนเดิม ระบบรองรับใน LS เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพจากการพัฒนาดูเหมือนกำลังผลักดันตัวรถให้เข้าสู่ขอบเขตที่จำกัดมากยิ่งขึ้น แม้ถนนบนเขาใหญ่จะแคบนิดเดียวเมื่อเทียบกับขนาดของ LS 460L แต่มันผ่านไปได้แบบสบายๆ ไร้กังวลหากคนขับไม่ทำอะไรที่สิ้นคิดหรือบ้าจนเกินไป
LS 460L มีปุ่มสำหรับปิดโหมด ESP แต่ผมเปิดมันไว้ตลอดทางเนื่องจากไม่คิดจะขับจนท้ายรถกวาดซ้ายป่ายขวา การปิดมันทั้งระบบทำให้รถที่มีน้ำหนักตัวเยอะคันนี้สามารถขับแบบดริฟท์ได้ด้วยฝีมือของคุณเองแต่ผมไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น ต้องขอขอบคุณวิศวกรของ Lexus ที่สร้างรถซึ่งมีการขับขี่ที่ดีมากแบบ LS มันคือรถสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่นิยมความแปลกแยกและแตกต่างไปจากกลุ่มชนชั้นสูงอื่นๆ ที่นิยมแบรนด์อย่าง BMW / Jaguar / Audi หรือ Mercedes Benz รถ Lexus มีบางสิ่งบางอย่างที่เทียบเท่าหรือดีกว่า แต่คุณต้องเป็นฝ่ายที่ค้นหาด้วยตัวเองมากกว่าที่จะเชื่อในเนื้อความโฆษณาประชาสัมพันธ์ มันมีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลไม่น้อยหน้ารถยนต์จากเยอรมนี การเรียนรู้ในการสร้างรถยนต์ของชนชาวอาทิตย์อุทัยได้ก่อให้เกิดชาติพันธุ์ของยานยนต์ที่ตอบสนองต่อการขับขี่ควบคุมหรือนั่งโดยสารได้อย่างน่าทึ่ง ระบบต่างๆ ของ LS 460L รองรับทุกอารมณ์ของการขับเคลื่อน มันพร้อมที่จะไหลไปอย่างเนิบๆ หรือพุ่งทะยานราวกับลูกธนู โดยมีนวัตกรรมของการขับเคลื่อนในระดับสูงสุดคอยรองรับ แม้จะน่าเศร้าที่มันยังไม่สามารถเจาะตลาดรถหรูในยุโรปได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ในอเมริกาและเอเชียแล้ว มันคือตัวแทนของความสำเร็จที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป
ตัวถังในรุ่นไมเนอร์เชนจ์เสริมความแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยมีมา เครื่องยนต์ 1UZ-FSE ถูกอัพเกรดปรับแต่งจนมีเรี่ยวแรงมากขึ้นและมีแรงบิดมากถึง 498 นิวตัน-เมตร (50.8 กิโลกรัมเมตร) ตอบสนองต่อการเร่งความเร็วได้เฉียบคมแม้ตัวจะหนัก แรงบิดรอบต่ำตั้งแต่ 1,250 รอบ/นาที ไล่เรียงไปจนถึงเกือบๆ 7,000 รอบ/นาที คุณจะได้ยินเสียงครางและสูดอากาศของเครื่อง V8 ที่ออกแนวทุ้มนุ่มลึกไม่กระโชกโฮกฮากแหลมแสบแก้วหูเหมือนเครื่องยนต์ V8 ของพวกอิตาเลียน พลังของเครื่องยนต์แสดงออกในด้านอัตราเร่ง การไต่ระดับความเร็วหรือการเร่งแซงได้ดีไร้ที่ติ ตัวเลข 0-100 ใน 6.4 วินาที ทำให้ผมรับรู้ได้ว่า LS 460L ไม่ได้เป็นรถที่อืดอาดเลยแม้แต่น้อย แม้โหมดการขับเคลื่อนจะอยู่ในระดับสูงสุดที่ Sport Plus แต่ความนิ่มนวลก็ยังคงอยู่ ที่ชอบมากคือการวิ่งคงความเร็วแบบเดินทางไกลบนไฮเวย์ รถ LS 460L จะมอบความมั่นใจจนคุณใช้ความเร็วบ่อยครั้งเท่าที่ถนนจะอำนวย อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากการใช้งานในเมืองอยู่ที่ 4.7 กิโลเมตร/ลิตร จากที่ต้องออกตัวแล้วหยุด แล้วออกตัวไปตลอดทาง ลดลงเหลือ 7.4 กิโลเมตร/ลิตร เมื่อผมลองวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม.บนทางยาวๆ ที่ตัดผ่านเขาใหญ่ คุณต้องแน่ใจว่าน้ำมันในถังเชื้อเพลิงเหลือเพียงพอที่จะพาคุณให้ถึงจุดหมาย เพราะช่วงที่คุณขับรถเครื่องโตข้ามจากด่านเนินหอมออกไปทางปากช่อง และมีน้ำมันเหลืออยู่ในถังไม่มากนัก ทางขึ้นลงเขาแม้จะไม่ยาวมากแต่ก็ถือว่าเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าทางราบ บางช่วงบางตอนอาจต้องรอโขลงช้างเจ้าถิ่นที่มักออกมาเดินหากินอยู่ใกล้กับถนน ควรหยุดรถให้ไกลจากจุดที่โขลงช้างหากิน กลับรถหรือดับเครื่องยนต์ ห้ามบีบแตร ส่งเสียงดังหรือขับฝ่าเข้าไปแบบทองไม่รู้ร้อน โขลงช้างที่มีลูกเล็กเด็กแดงจะมีตัวแม่เจ้าอารมณ์ที่พร้อมจะปกป้องลูกน้อย มันไม่สนหรอกว่ารถของคุณจะราคากี่ล้าน ทางที่ดีหลบให้เจ้าของบ้านเค้าผ่านไปเถอะ
07.30 น. เช้าวันรุ่งขึ้นในสนามกอล์ฟแรนโช ชาญวีร์ บริเวณตะเข็บรอยต่อกับป่าเขาใหญ่ ผมไหลเจ้าเรือธงไปตามทางเดินรถเล็กๆ ในสนามเพื่อเก็บภาพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขับกลับ ตำแหน่งที่น่านั่งที่สุดคือเบาะผู้โดยสารตอนหลังของเจ้า LS 460L มันมีเบาะแบบนวดที่จะช่วยให้คุณผ่อนคลายไปตลอดเส้นทางบนระบบกันสะเทือนที่นุ่มราวกับพรมวิเศษของอาละดิน มันมีเครื่องเสียงระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าทั้ง Series-7 และ S-Class ให้มิติและความคมชัดของเสียงเพลงที่ร้านรับติดเครื่องเสียงไม่มีวันทำได้แบบนั้น เงิน 11.7 ล้านที่เจ้าของต้องควักกระเป๋าจะตอบแทนกลับมาด้วยการนั่งที่สบายสุดๆ บนรถคันนี้ น่าเสียดายที่เจ้าของรถบางคนไม่เคยได้สัมผัสกับพละกำลังเกือบ 400 แรงม้า และการควบคุมที่อยู่ในระดับเดียวกับเครื่องบินโดยสารส่วนตัว เศรษฐีใหม่บางคนรวมถึงอาแปะ อากง อาม่า ที่ไม่สันทัดภาษาอังกฤษก็ยังสั่งงานปรับโหมดต่างๆ ของเจ้า LS 460L ได้อย่างสะดวกจากเมนูภาษาไทยและโปรแกรมการเข้าใช้งานที่ง่ายดายราวกับของเด็กเล่น ด้วยเงินขนาดนั้นเจ้าของรถจะได้ช่วงล่างแบบ Air Suspension เกียร์ 8 อัตราทดที่ทำงานได้ลื่นไหลราวกับสายน้ำ ห้องโดยสารที่กว้างขวางอย่างกับห้องนั่งเล่น รวมถึงภาพลักษณ์ของผู้ดีมีตระกูลที่เลือกความแตกต่างแทนที่จะเหมือนกับใครบนท้องถนน แบรนด์ Lexus คือ ยนตรกรรมที่คุณต้องเป็นผู้ค้นหาเอาเองว่ามันมีดีอะไรถึงกล้าที่จะไปเทียบรัศมียานยนต์ของพวกเยอรมัน สำหรับผมแล้ว ตลอดระยะเวลา 5 วันกับรถรุ่นสูงสุด LS 460L เป็นความประทับใจยากที่จะลืมจริงๆ
ขอขอบคุณ: ไทยรัฐออนไลน์ที่ให้ความอนุเคราะห์ข้อมูล จากคอลัมน์
Man & Machine