เคล็ดไม่ลับ ขับขี่ปลอดภัยในช่วงสงกรานต์
เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยยังคงครองแชมป์สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก อ้างอิงจากข้อมูลจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์และรถจักรยานยนต์ นับตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นมา จนถึง ณ วันที่ 7 เม.ย. 2560 ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุได้ทำการรวบรวมสถิติไว้ พบว่ามีความสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากถึง 4,006 ราย และมีผู้บาดเจ็บที่มากถึง 272,936 คน ซึ่งนับเป็นการสูญเสียอันประเมินค่ามิได้ของประเทศชาติ
เนื่องในช่วง "เทศกาลสงกรานต์" ผู้คนที่ทำงานอยู่ในหัวเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร จะเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยว ซึ่งพาหนะในการเดินทางที่นิยมที่สุดคงหนีไม่พ้น การเดินทางด้วยรถยนต์ เช็คราคา.คอม จึงขอนำเสนอบทความ "เคล็ดไม่ลับ ขับขี่ปลอดภัยในช่วงสงกรานต์" เพื่อให้ผู้ขับได้ตรวจเช็คและเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง โดยมีหัวข้อดังนี้
1. เตรียมรถยนต์ให้พร้อม
เริ่มต้นการเดินทางด้วยการตรวจสอบสภาพตัวรถอย่างละเอียดทุกด้าน หากเป็นไปได้ควรใช้เวลาตรวจสอบ 1 อาทิตย์ ก่อนการเดินทาง ตรวจเช็คระดับของเหลวต่างๆ เช่น ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ ระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันคลัตช์ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ และระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ เป็นต้น พร้อมสตาร์ทเครื่องยนต์และเปิดไฟส่องสว่าง ฟังเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ว่าปกติไหม เดินเรียบไหม มีเสียงกุกๆ กักๆ อะไรหรือเปล่า ส่วนระบบไฟหน้าไฟเลี้ยวและไฟท้ายควรติดครบทุกดวง หลังจากนั้นให้สังเกตดูที่พื้นว่ามีคราบน้ำมันหยด คราบน้ำหยด (ที่ไม่ใช่น้ำแอร์) ลงพื้นหรือไม่ รวมไปถึงระดับของลมยาง สภาพยางทั้ง 4 ล้อ และยางอะไหล่พร้อมเครื่องมือประจำรถ ถ้ามีสิ่งใดผิดปกติหรือขาดตกไป ก็รีบดำเนินการแก้ไขเสีย
2. คาดเข็ดขัดนิรภัย
เพื่อความปลอดภัยทุกคนควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งก่อนออกรถ ไม่ว่าจะเบาะหน้าและเบาะหลังก็ตาม หากมีเด็กไปด้วยก็ควรมี Child Seat เพื่อความปลอดภัยอีกขั้น การคาดเข็มขัดนิรภัยเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
3. วางแผนการเดินทาง
ควรศึกษาเส้นทางก่อนการเดินทาง เพื่อเลี่ยงปัญหาจราจรติดขัด หลีกเลี่ยงการขับขี่ระหว่างเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า และระหว่าง 14.00-16.00 น. เพราะความตื่นตัว และสมาธิอาจลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว นักวิจัยยังระบุด้วยว่าจำนวนอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้น 2-6 เท่า ในช่วงเวลาดังกล่าว และไม่ควรละสายตาจากถนนไปจ้องมอง GPS หรือโทรศัพท์มือถือมากนัก เนื่องจากจะทำให้เสียสมาธิเวลาขับรถ วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ Apple CarPlay ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น Siri Eyes Free ที่ช่วยให้ไม่ต้องละสายตาจากท้องถนน มองบนถนนตลอดเวลาและใช้สองมือจับพวงมาลัย
4. รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า
การรักษาระยะห่างระหว่างรถของคุณกับรถคันหน้าอย่างเหมาะสม อย่างน้อย 2 จุด ทำให้มีระยะเวลาตัดสินใจต่อการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้า คุณควรที่จะควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจรของคุณตลอดเวลา อย่าขับเป๋ไปเป๋มา
5. มีกล้องติดรถยนต์
ยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า กล้องบันทึกภาพติดรถยนต์ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ไปแล้ว สำหรับบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ขณะขับขี่ และยังเป็นพยานสำคัญได้อีกด้วย ซึ่งราคาของกล้อง DVR ก็ต้ั้งแต่หลักไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงราคาหลายพันบาท ตามคุณภาพ ทั้งแบบมีและไม่มี GPS
6. รักษาความเร็วตามกฎหมายจราจร
รักษาความเร็วตามกฎหมายจราจร ประโยชน์ที่ได้จากการขับขี่ด้วยความเร็วสูง มันไม่คุ้มเลยกับอันตรายและอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น และอาจได้ใบสั่งไปสะสมด้วย
การขับขี่ขณะเมาสุราทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต (ทั้งแก่ตัวเราเองและผู้อื่น) ผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับ ถือว่ามีความผิด ปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาต หากเกิดอุบัติเหตุแล้วตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้เกิน 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันภัยยังสามารถปฏิเสธความคุ้มครองได้
ไม่ควรขับรถเมื่อรู้สึกง่วงหรือเหนื่อย ความเหนื่อยล้าจะลดประสิทธิภาพของผู้ขับขี่ อันนี้สำคัญที่สุด แนะนำว่าให้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่ม สัก 6-8 ชั่วโมง ซึ่งกำลังดีก่อนการเดินทาง รวมถึงไม่ควรทานยาที่ทำให้ง่วงก่อนการขับขี่ และไม่ควรทานอาหารให้อิ่มเกินไปก่อนออกเดินทาง ควรจอดรถเพื่อพักทั้งคนทั้งรถในสถานที่ปลอดภัย ไม่ควรทิ้งเด็กไว้ในรถแม้จะลดกระจกหน้าต่างลงก็ตามเพื่อป้องกันโรคลมแดดจากความร้อนในรถที่สูงเกินไป โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนเช่นนี้
รวบรวมเบอร์โทรฉุกเฉิน สำหรับเวลาเดินทางไกล
หน่วยงาน | หมายเลขโทรศัพท์ |
ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม | 1356 |
ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ กรมการขนส่งทางบก | 1584 |
สายด่วน กรมทางหลวง | 1586 |
ตำรวจทางหลวง | 1193 |
ตำรวจท่องเที่ยว | 1195 |
ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว | 1155 |
ศูนย์นเรนทร (แจ้งป่วยฉุกเฉิน) | 1669 หรือ 02-354-8222 |
หน่วยแพทย์กู้ชีวิต กทม. | 1554 |
ศูนย์วิทยุกรุงธน | 02-451-7228 |
ศูนย์วิทยุรามา | 02-354-6999 |
ศูนย์วิทยุปอเต็กตึ๊ง 24 ชม. | 02-226-4444-8 |
อุบัติเหตุทางน้ำ กองบังคับการตำรวจ | 1196 |
จส.100 | 1137 |
สถานีจราจรเพื่อสังคม FM 99.5 | 1255 |
สวพ.91 | 1644 |
ร่วมด้วยช่วยกัน FM 102.75 | 1677 |
ศูนย์ควบคุมการจราจร | 1197 |
สอบถามหมายเลขโทรศัพท์ทั่วประเทศ | 1133 |
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | 02-132-1888 , 02-132-5140 |
การบินไทย | 1566 หรือ 02-356-1111 |
สอบถามข้อมูลเที่ยวบิน | 02-132-0000 |
- ระหว่างประเทศ | 02-134-5453-6 (24 ชม.) |
- ในประเทศ | 02-134-5473-4 |
นกแอร์ | 1318 หรือ 02-628-2000 |
สถานีขนส่ง | |
- สายตะวันออกเฉียงเหนือ (หมอชิต 2) | 02-936-2852-66 ต่อ 611 |
- สายเหนือ (หมอชิต 2) | 02-936-2852-66 ต่อ 311 |
- สายใต้ (ตลิ่งชัน) | 02-434-7192, 02-435-1195-6 |
- สายตะวันออก (เอกมัย) | 02-391-8097, 02-391-2504 |
การรถไฟแห่งประเทศไทย | 1690 |
สถานีรถไฟกรุงเทพ | 02-223-3777 |
ไฟฟ้าขัดข้อง | 1130 |
น้ำประปาขัดข้อง | 1125 |
สอบถามสภาพจราจร | 1543 |
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ | 192 |