ประเมินวงเงินรู้ผลใน 3 นาที

กับ กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท

เริ่มประเมินวงเงินพร้อมสตาร์ท
ผ่านมือถือ สแกนเลย

ดูวงเงินพร้อมสตาร์ทที่ได้รับ

x
icon-filter ค้นหารถยนต์
product filter
product filter
product filter
product filter
product filter

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือกแบบไหนดี?

icon 27 พ.ย. 62 icon 118,528
เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือกแบบไหนดี?

เปลี่ยนยางรถยนต์ เลือกแบบไหนดี?

ยางรถยนต์ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่สัมผัสพื้นผิวถนนโดยตรง ช่วยให้รถยนต์มีสมรรถนะที่ดี เกาะถนนในทางตรงและทางโค้ง หรือในสภาวะที่ถนนเปียก หรือแห้ง เมื่อครบระยะทางตามกำหนดทุกๆ 3 - 5 ปี หรือตามสภาพความแข็งของดอกยาง การสึกของร่องดอกยาง ควรเปลี่ยนยางรถยนต์เพื่อให้มีสมรรถนะที่ดีและปลอดภัย

อายุการใช้งานของยาง

ผู้ผลิตยางรถยนต์ส่วนใหญ่จะรับประกันอายุการใช้งานอยู่ที่ 4 - 6 ปี นั่นแสดงว่าความทนทานของยางมีมากกว่าที่เราใช้งานจริง ซึ่งความจริงแล้วยางรถยนต์จะถูกระบุมาจากโชว์รูมผู้จำหน่ายรถยนต์ว่า ควรเปลี่ยนทุกๆ 3-5 ปี หรือ 50,000 กม. และสลับยางทุกๆ 10,000 - 15,000 กม.

ภาพจาก www.michelin.co.th และ www.yokohamathailand.com
ส่วนในความเป็นจริงนั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงของรถยนต์แต่ละคัน ประเภทการใช้งาน สภาพผิวถนนที่ใช้งานทุกวัน และพฤติกรรมการขับอีกด้วย ดังนั้น การที่เราเปลี่ยนยางทุกๆ 3 ปี หรือ 50,000 กม. ย่อมเป็นผลดีแน่นอนและเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
ควรเปลี่ยนยางเมื่อไหร่?
สาเหตุที่จำเป็นต้องเปลี่ยนยางใหม่ หรือวิธีการตรวจสอบสภาพยางว่าควรเปลี่ยนใหม่ มีดังนี้

ภาพจาก www.michelin.co.th และ www.yokohamathailand.com
ดอกยางสึกหรอ - การสึกหรอไม่ว่าจะสึกเท่ากันทั้งหน้ายางหรือสึกบางส่วนก็นับว่าต้องเปลี่ยนใหม่ หากความลึกของดอกยางไม่ถึง 1.5 มม. เนื่องจากความลึกระดับนี้จะทำให้รีดน้ำได้ไม่ดี เมื่อขับผ่านจึงเป็นเหตุให้เกิดอันตรายได้ โดยสามารถวัดความลึกของร่องดอกยางได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ การใช้เหรียญบาท เมื่อนำไปเสียบในร่องยางต้องลึกไม่ต่ำกว่าครึ่งนึงของเหรียญบาท หรือจะใช้เครื่องวัดความลึกดอกยางที่มากับด้ามเครื่องมือวัดลมยางก็ดีหรือใช้ไม้บรรทัดวัดก็ได้ วิธีที่นิยมมากที่สุดคือ สังเกตตุ่มในร่องดอกยาง หากพบว่าหน้ายางเสมอกับตุ่มแสดงว่าสึกหรอมาก หรือสังเกตจากสัญลักษณ์สามเหลี่ยมด้านข้างแก้มยางก็ได้ ถ้าพบว่าเสมอกันควรรีบเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที

ภาพจาก www.yokohamathailand.com
ยางบวม - ยางรถยนต์ที่ใช้งานมานานๆ เมื่อหมดสภาพมักมีอาการบวมทั้งที่แก้มยางหรือหน้ายาง หากพบการบวมควรเปลี่ยนทันที เพราะอาจระเบิดได้เมื่อขับที่ความเร็วสูงๆ อาการต้องสงสัยว่ายางบวมแล้วก็คือ เมื่อขับเร็ว ตัวรถจะสะท้านสั่นทั้งคัน ทั้งที่ตั้งศูนย์ถ่วงล้อก็ไม่หาย หรือพวงมาลัยสั่น เป็นต้น 

ภาพจาก www.michelin.co.th
ยางฉีกขาด - ยางมีการฉีกขาดเกิดขึ้นไม่ว่าจุดใดก็ตามควรเปลี่ยนใหม่ทันที

ภาพจาก www.michelin.co.th
แตกลายงา - ยางบางรุ่นมีความแข็งแรงทนทานของหน้ายางที่ดี ดอกยางสึกหรอน้อย แต่เมื่อสังเกตใกล้ๆ อาจเห็นเป็นรอยแตกลายงาหรือรอยย่น แสดงว่ายางเสื่อมแล้วควรเปลี่ยนทันที

มีอายุ นับจากปีผลิตเกิน 3 ปี - อย่างที่ได้เกริ่นไว้ว่าแม้อายุยางจะใช้ได้เกินกว่า 4 ปี แต่ด้วยสภาพอากาศ ถนนในประเทศที่แปรปวน จึงควรเปลี่ยนแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า และให้สังเกตว่ายางที่ใช้อยู่ผลิตปีไหน เช่น 0713 ผลิตเดือน 7 ปี 2013 ปัจจุบัน ปี 2016 แสดงว่ายางมีอายุ 3 ปี แล้ว เป็นต้น

ยางรถยนต์มีกี่แบบ?

ดอกยางละเอียดเรียบ - การเปลี่ยนยางจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น หากขับขี่ในเมืองถนนเรียบปกติ ควรเลือกดอกละเอียด ร่องยางไม่ห่าง เพื่อไม่ให้พื้นผิวสัมผัสกับหน้าถนนมากจนเกินไป สามารถรีดน้ำออกได้อย่างรวดเร็ว และมีเสียงรบกวนน้อย ไม่ว่าจะยี่ห้ออะไรทั้งผลิตในหรือต่างประเทศก็มีหลักการเลือกที่คล้ายๆ กันครับ

รุ่นย่อยต่างๆ ของยางแต่ละยี่ห้อนั้นขึ้นกับงบประมาณและความชื่นชอบส่วนตัวเป็นหลัก เพราะยางที่ราคาแพงสมรรถนะย่อมดีกว่ารุ่นที่ราคาต่ำๆ แต่ก็อาจมีอัตราการสึกหรอที่สวนทางกันด้วย เช่น ยางที่เกาะถนนมากๆ ก็มักจะสึกเร็วกว่ายางที่เกาะถนนน้อยกว่า วิธีดูค่าความหนึบของยางง่ายๆ คือ เทรดแวร์ (Tradeware) หากตัวเลขยิ่งน้อย = เกาะถนนมาก / ตัวเลขมาก = เกาะถนนน้อย เช่น 140 มักจะเป็นยางประเภทสปอร์ตรุ่นสูงๆ ราคาแรงๆ ส่วนถ้าเทรดแวร์ 300 นั้น มักจะเป็นยางรุ่นล่างๆ เหมาะกับรถที่ต้องการความทนทาน แต่ไม่เน้นขับเร็ว (มั้ง) อย่างแท็กซี่หลายๆ คันที่นิยมใช้กันอยู่มาก  
นอกจากนี้ยังแบ่งเป็นรูปแบบดอกยางได้อีก 3 แบบคือ 
  • ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง (Non-Directional) ดอกยางประเภทนี้ สามารถสลับยางได้ทุกตำแหน่ง ลักษณะมีดอกยางสวนทางกัน จึงไม่เน้นในเรื่องของความเร็วสูงมากนัก แต่ก็ใช้ได้อย่างสะดวกสบาย
  • ดอกยางแบบทิศทางเดียว (Directional) ดอกยางจะมีลักษณะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งยังมีสัญลักษณ์ลูกศร (Rotation) แสดงไว้ที่บริเวณแก้มยาง เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่งของทิศทางของการหมุนของล้อให้เราสามารถใส่ได้อย่างถูกต้อง ดอกยางประเภทนี้ ถูกออกแบบมาให้สามารถรีดน้ำได้ดีกว่าประเภทแบบ Non-Directional เพื่อควบคุมการขับขี่ได้อย่างมั่นคงและสามารถใช้ความเร็วสูงได้ดี
  • ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน (Asymmetric) ลายดอกยางด้านในและด้านนอกจะมีความต่างกัน ซึ่งเกิดจากการออกแบบให้หน้ายางด้านในเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ทางตรง และความเร็วสูง ขณะที่หน้ายางด้านนอกจะทำหน้าที่ยึดเกาะบนทางโค้งได้ดี ยางประเภทนี้จะเหมาะสำหรับเมืองที่มีถนนโค้ง คดเคี้ยวมากๆ หรือ เหมาะสำหรับในรถยนต์บางยี่ห้อที่ออกแบบให้การขับขี่มีการเข้าโค้งในความเร็วสูง แต่สำหรับบ้านเราก็อาจมีไม่มากนัก

ภาพจาก www.deestone.com
ยางรถยนต์ที่ใช้งานสำหรับเส้นทางกึ่งลุย กึ่งเรียบ (All Terrain) สำหรับยางประเภทนี้ เมื่อนำไปใช้บนถนนเรียบ การยึดเกาะทำได้ดีระดับหนึ่งและมีเสียงรบกวนอยู่บ้าง ในขณะที่เมื่อนำไปใช้บนเส้นทางสมบุกสมบัน เช่น ทางลูกรัง หิน กรวด ทราย ก็สามารถใช้งานได้ดี (ยางประเภทนี้จะไม่เหมาะกับถนนที่เป็นดินโคลน)

ดอกยางรถยนต์ที่ใช้งานถนนออฟโรด ลุยโคลน หินหรือใช้งานในเส้นทางวิบาก ดอกยางควรมีดอกยางที่ใหญ่และมีร่องยางห่าง เพื่อเน้นการสลัดโคลน หิน หรือน้ำ หากใช้ดอกยางละเอียด เศษโคลนหรือหิน กรวดอาจเข้าไปติดตามดอกและร่องยาง จนหน้ายางลื่น และถ้านำดอกยางที่ใหญ่มาใช้งานบนทางเรียบ ร่องยางที่ห่างทำให้มีผิวสัมผัสถนนน้อย การยึดเกาะถนนก็น้อยตามไปด้วยและในช่วงความเร็วสูงจะมีเสียงดังจนน่ารำคาญ
 
ภาพจาก www.bridgestone.co.th
สำหรับตัวเลขที่อยู่บนแก้มยางของรถเก๋ง โดยทั่วไปจะมีลักษณะดังตัวอย่างต่อไปนี้
195/60R14 85H 
  • 195 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
  • 60 คือ ซีรีส์ยาง
  • R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
  • 14 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • 85 คือ ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางต่อเส้น
  • H คือ ขีดจำกัดความเร็วสูงสุด
สำหรับความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถกระบะ มีลักษณะดังนี้
195R14C 8PR
  • 195 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
  • R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
  • 14 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • C คือ ยางที่ใช้เพื่อการขนส่ง (มาจากคำว่า commercial)
  • 8PR คือ อัตราชั้นผ้าใบเทียบเท่า 8 ชั้น (ในส่วนของซีรีส์ ถ้าไม่ได้ระบุ คือ ซีรีส์ 80) 
ความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีลักษณะดังนี้
31x10.5R15
  • 31 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • 10.5 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
  • R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล
  • 15 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
พิกัดความเร็วของยางรถยนต์ของท่านจะพิมพ์อยู่บนแก้มยางเป็นตัวอักษร ตัวอย่างเช่น ยางที่ระบุพิกัดความเร็วเป็นอักษร "V" เป็นยางที่ใช้ขับขี่ที่ความเร็วสูงสุด 240 กม./ชม.ได้

เลือกยางให้เหมาะกับรถคุณ

เมื่อเราทราบถึงยางแบบต่างๆ แล้ว ต่อไปก็มาพิจารณาดูว่าโดยปกติเราใช้งานในรูปแบบใดเป็นหลัก และให้เลือกกลุ่มหรือประเภทยางตามนั้น คือ 

ยางที่มีดอกถี่ๆ และเรียบ - เหมาะกับรถยนต์ทั่วไปที่เน้นความนุ่มเงียบ และใช้ความเร็วไม่สูงนัก ยางระดับนี้มักจะมีค่าเทรดแวร์ปานกลางถึงสูง เช่น 240 - 300 เพื่อตอบสนองการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ออกต่างจังหวัดบ้างเป็นครั้งคราวและไม่เน้นขับเร็วหรือซิ่ง 
ยางสปอร์ตหรือมีดอกยางห่างและเรียบ - เหมาะกับรถยนต์ทั่วไปและรถที่มีสมรรถนะสูงๆ เพื่อตอบสนองการขับขี่ที่ความเร็วสูงๆ การเข้าโค้งที่แม่นยำมากขึ้น และการเบรกที่ดียิ่งขึ้น ร่องยางรีดน้ำได้ดี ยางประเภทนี้มักมีเทรดแวร์ระหว่าง 100 - 200 ส่วนใหญ่จะเป็นยางแก้มเตี้ยหรือซีรีส์ต่ำๆ เช่น 215/45R17 เป็นต้น แต่ความหนึบนี้ต้องแลกกับการสึกหรอที่เร็วกว่าและความนุ่มเงียบที่ลดลงไปบ้าง 

ภาพจาก www.yokohamathailand.com
สำหรับรถกระบะหรือรถอเนกประสงค์นั้นก็ เลือกยางสำหรับการใช้งานแต่ละรูปแบบออฟโรดหรือกึ่งออฟโรดโดยเฉพาะ โดยดูจากลายดอกยางให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น ลุยๆ เน้นออฟโรด ก็ดอกหนาๆ บั้งใหญ่ๆ มีความลึกของร่องยางมากสักหน่อย ส่วนผู้ที่ต้องการความนุ่มเงียบก็เลือกดอกยางที่มีเรียบและถี่มากกว่าแบบออฟโรด เป็นต้น

ยางที่ใช้สำหรับอเนกประสงค์ไม่ว่าจะเป็น SUV หรือ PPV ควรจะมีคุณสมบัติที่ให้ความทนทาน พร้อมคอมฟอร์ดหรือนุ่มนวล เกาะถนนมากเป็นพิเศษ เพราะว่ารถที่มีความสูงมากๆ และมีกำลังเครื่องยนต์แรงๆ ยิ่งต้องใส่ใจในการเลือกยางเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อความมั่นใจในทุกการเดินทาง ควบคุมได้ดีทั้งบนถนนเปียกและแห้ง พร้อมความนุ่มนวลและเงียบ รวมไปถึงช่วยประหยัดน้ำมันได้ในรุ่นเดียวก็ยิ่งดี 
ดูรายละเอียดยางรถอเนกประสงค์ BRIDGESTONE ECOPIA H/L001 


เมื่อเปลี่ยนยางชุดใหม่ได้แล้วก็มาดูวิธีดูแลยางเบื้องต้นกันต่อนะครับ

ภาพจาก www.yokohamathailand.com
ควรสลับยางทุกๆ 5,000 กม. เพื่อให้หน้ายางสึกหรอเท่ากันทุกเส้นและทุกพื้นผิวหน้าสัมผัส ในขณะเดียวกันก็เป็นการตรวจเช็คสภาพยางไปพร้อมๆ กันด้วย

ภาพจาก www.yokohamathailand.com
หมั่นตรวจเช็คแรงดันลมยางให้ปกติ ไม่อ่อนมากไป เพราะจะกินน้ำมันหน้ายางสึกในส่วนด้านข้าง และอย่าแข็งเกินไปจะกินหน้ายางเฉพาะส่วนตรงกลาง

ภาพจาก www.yokohamathailand.com
ยางเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของรถยนต์ เพราะต้องสัมผัสผิวถนนตลอดเวลาดังนั้น ใส่ใจและตรวจเช็คบ่อยๆ เพื่อการขับขี่ที่มีสมรรถนะและความปลอดภัยสูงสุด สำหรับการเลือกยี่ห้อยางหรือจะใช้รุ่นไหนก็ขึ้นกับความชอบและกำลังทรัพย์ของเจ้าของรถเอง และควรเลือกยางปีที่ผลิตใหม่ล่าสุดเพื่อให้การรับประกันคุ้มค่ามากที่สุดครับ
แท็กที่เกี่ยวข้อง ยาง เปลี่ยนยางรถยนต์ ยางรถยนต์
CAR GURU
เขียนโดย เช็คราคา.คอม CAR GURU

พูดคุยกับกูรูได้ที่




เว็บไซต์นี้มีการเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ และช่วยให้เราปรับปรุง และนำเสนอเนื้อหาตรงตามความสนใจของท่าน ท่านสามารถดู Privacy Notice และ ดู Cookies Policy ของเราได้ ที่นี่ ทั้งนี้ ท่านจะยินยอมให้เราเก็บคุกกี้ทั้งหมด หรือให้เก็บแค่บางส่วนโดยการคลิกเลือก ตั้งค่า

ท่านสามารถเลือกให้ความยินยอมการเก็บคุกกี้เป็นเรื่องๆ ได้ที่นี่

เมื่อคุณเข้าชมเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น checkraka เราอาจจัดเก็บ หรือดึงข้อมูลจากเบราว์เซอร์ของคุณในรูปแบบของคุกกี้ และเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึง เช่น tag และ pixel (เรียกรวมกันว่า “คุกกี้”) ซึ่งมักเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้โดยตรง แต่ช่วยให้คุณใช้งานเว็บไซต์ได้ปลอดภัย และตรงตามความต้องการมากขึ้น คุณอาจไม่ยินยอมให้เราเก็บคุกกี้บางประเภทได้ โดยการคลิกตามหัวข้อข้างล่างนี้

ประเภทคุกกี้
อ่านเพิ่มเติม ที่นี่
ยินยอม / ไม่ยินยอม
คุกกี้ที่จำเป็นต้องมีเสมอ
(Strictly Necessary)
คุกกี้สำหรับการใช้งานเว็บไซต์
(Functionality)
คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวิเคราะห์
(Performance & Analytics)
คุกกี้เพื่อการตลาด
(Marketing)