รถเก่าจะทำอย่างไร เมื่อยกเลิกเบนซิน 91!

เมื่อกระทรวงพลังงานประกาศยกเลิกการให้บริการน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556  ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และสำรวจพบว่า จะทำให้ผู้ที่เคยใช้น้ำมันเบนซิน 91 ราว 20 ล้านลิตร/วัน เปลี่ยนไปใช้น้ำมันเบนซิน 95 แทน คิดเป็น 11% หรือ 3 ล้านลิตร/วัน ที่เหลือจะหันไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 แก๊สโซฮอล์ 91 อี 20 และอี 85 ตามลำดับ เพราะผู้ค้าน้ำมันจะเปลี่ยนหัวจ่ายเป็นแก๊สโซฮอล์และอี 20 แทน

คำถามคือรถเก่าที่สเปคโรงงานให้ใช้เบนซิน 91 ล่ะ ต้องทำอย่างไร?

วันนี้ Checkraka.com มีทางเลือกสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนจากใช้เบนซิน 91 เป็นชนิดอื่นๆ 5 ข้อง่ายๆ ครับ

1. เปลี่ยนมาใช้เบนซิน 95 ในกรณีที่ไม่เดือดร้อนค่าใช้จ่ายมากนัก เพราะกระทรวงพลังงานสามารถลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลงให้เทียบเท่ากับเบนซิน 91 ได้ เนื่องจากราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันทั้ง 2 ชนิดต่างกันไม่ถึง 1 บาท/ลิตร

2. เปลี่ยนระบบท่อทาง และอุปกรณ์ที่สัมผัสน้ำมันโดยตรง ให้สามารถทนกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ได้

2.1 เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด ท่อทางเดินต่างๆ ที่เคยเป็นท่อยางธรรมดาก็เปลี่ยนเป็นท่อที่ทนการกัดกร่อนของแก๊สโซฮอล ยิ่งสามารถรองรับอี20 ได้ยิ่งดี รวมถึงใส่กรองน้ำมันเบนซิน หรือปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั้มติ๊ก) ด้วย แต่อาจต้องปรับตั้งองศาการจุดระเบิดใหม่บ้างเล็กน้อย เพราะในอนาคตอี20 มาแรงแน่ๆ โดยให้อู่หรือช่างที่มีความชำนาญเปลี่ยนให้ ค่าใช้จ่ายหากรุ่นที่ไม่ต้องเปลี่ยนปั้มติ๊กไม่น่าเกินหลักพันต้นๆ หากต้องเปลี่ยนปั้มติ๊กก็บวกราคาปั้มติ๊กซึ่งแล้วแต่ว่าจะใช้ของใหม่ (ประมาณ 3-6 พันบาทตามรุ่น) หรือมือสอง (900 บาทถึงไม่เกิน 3000 บาทแล้วแต่ยี่ห้อและรุ่นรถ)

2.2 เครื่องยนต์ระบบคาร์บูเรเตอร์ ให้ทำคล้ายข้อ 2.1 แต่แตกต่างตรงที่ในบางรุ่นที่เป็นระบบคาร์บูเรเตอร์รุ่นใหม่ๆ หน่อย อาจมีชุดอะไหล่ที่ซื้อเปลี่ยนเพื่อให้รองรับน้ำมันเบนซินอี10 ได้เลย แต่ในบางรุ่นไม่มีขายจำเป็นต้องใช้เบนซิน 95 เท่านั้น

ข้อ 2 นี้ มีประโยชน์มากแม้อาจจะปฏิบัติตามได้ยากก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นการตรวจเช็กระบบการจ่ายน้ำมันให้กับรถของเราในทางอ้อม เพราะผมเชื่อว่า รถส่วนใหญ่ที่มีอายุเกิน 10 ปี แทบไม่เคยตรวจดูระบบนี้อย่างละเอียดมาก่อนเลย จึงเป็นการป้องกันอุบัติเหตุจากการรั่วซึมได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อเกิดเปลวไฟ หรือไฟไหม้...ก็โทษแก๊สไว้ก่อน ทั้งที่บางคันไม่ได้ติด!

3. เปลี่ยนเครื่องยนต์ ทางลัดที่ง่ายใช้เงินเยอะ แต่ดีในระยะยาวนั่นคือ เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นระบบหัวฉีดจากเชียงกงเก่าญี่ปุ่น ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นใหม่ส่วนมากจะรองรับเบนซินแก๊สโซฮอลอี10 มาแล้ว ทางเลือกนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น เครื่องยนต์เดิมอายุมากแล้ว, แก้ไขระบบไม่ได้จริงๆ หรือคิดจะใช้รถคันนี้ไปอีกอย่างน้อย 3 ขึ้นไป ถึงจะคุ้มในการเปลี่ยนเครื่องยนต์ และทุนทรัพย์ เป็นต้น

4. เปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงร่วม ทางลัดกว่าข้อ 2 อีกคือ ติดแก๊สทั้งแอลพีจี หรือเอ็นจีวี ตามสะดวกครับ ข้อนี้สำหรับผู้ที่กล้าเปลี่ยนแบบข้ามสเต็ปนะครับ จากน้ำมันออกเทน 91 ข้ามไปแก๊สออกเทนประมาณ 110 เลย แต่ต้องดูความเหมาะสมด้วย การติดแก๊สมี 2 ระบบหลักๆ คือ

4.1 ระบบดูด หรือมิกเซอร์ สำหรับเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์, เครื่องหัวฉีดรุ่นเก่า (K-jetronic) ในรถยุโรปบางรุ่น, เครื่องหัวฉีดรุ่นใหม่ (ที่มีงบน้อยก็ใช้ได้) ซึ่งลักษณะการทำงานระบบนี้คล้ายๆ กับระบบคาร์บูเรเตอร์ของเครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ เลย คือ ปล่อยแก๊สเข้าไปในท่อไอดีแล้วให้เครื่องดูดเข้าไปเอง ราคาประมาณหมื่นต้นๆ ขึ้นไปแล้วแต่ยี่ห้อและรุ่นของอุปกรณ์ที่ติดตั้ง

4.2 ระบบหัวฉีด ใช้ได้เฉพาะเครื่องที่เป็นระบบหัวฉีดเท่านั้น เพราะต้องใช้กล่องควบคุมการจ่ายแก๊สพ่วงกับกล่องควบคุมการจ่ายน้ำมันเดิมของรถด้วย ระบบนี้การทำงานคล้ายระบบหัวฉีดเดิมๆ ของเครื่องยนต์เกือบ 80-90% ทีเลยเดียว แต่ปัจจุบันพอมีระบบแก๊สรุ่นใหม่ที่ติดระบบหัวฉีดแบบเก่าหรือ K-jetronic ได้แล้ว สำหรับราคาก็ประมาณ 2 หมื่นต้นขึ้นไป แล้วแต่จำนวนกระบอกสูบ, ยี่ห้อและรุ่นของอุปกรณ์ที่ติดตั้ง

***ข้อ 4 เลือกร้านที่มีประสบการณ์ยาวนานไม่ปิดไม่หนี และรับผิดชอบด้วยนะครับ

5. เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถ เพื่อลดการใช้พลังงาน ลดการใช้รถถ้าไม่จำเป็นหากต้องเจอกับค่าน้ำมันที่สูงขึ้นของเบนซิน 95 เราก็ใช้ให้น้อยลง วางแผนการเดินทางให้มากขึ้น ศึกษาเส้นทางเลี่ยงรถติด และหาใช้รถสาธารณะในบางโอกาส

ปัจจุบันมีแอฟพลิเคชั่นมากมายให้เราดาวน์โหลดไว้ในสมาร์ทโฟน เพื่อตรวจสอบสภาพการจราจร หรือฟังรายการวิทยุจราจรก่อนเดินทางก็ได้ครับทั้ง FM 100, 91 และ 99.5

ทั้ง 5 ข้อนี้เป็นเพียงทางเลือกเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน อาจมีอีกหลายวิธีที่ท่านสามารถปฏิบัติได้เองอีกมากมาย และร่วมแสดงความเห็นได้ทางแฟนเพจ Checkraka.com นะครับ